Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
อภินิหารแหวนแห่งธาตุ ตอน เด็กผู้ถูกเลือก บทที่ 1 (ลองช่วยกันวิจารณ์หน่อยนะครับ) ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 เซริฟ ดี จอห์นสัน
สายลมอ่อนๆ ในตอนพลบค่ำ พัดผมหน้าม้าสีแดงอ่อนของเด็กชายวัย 9 ขวบให้พลิ้วระริก ราวกับจังหวะดนตรีธรรมชาติที่กำลังขับกล่อมตัวโน๊ตให้เต้นเป็นจังหวะอย่างลงตัว อันที่จริงเขานั่งกอดเข่าแหงนมองดูดาวอยู่บนหน้าต่างของบ้านไม้สองชั้นหลังนี้มานานจนแทบจำได้ว่า กลุ่มดาวไหนอยู่ตรงไหนบ้าง หรือดาวดวงไหนย้ายตำแหน่งไปตรงไหนแล้ว โดยที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนอิริยาบถใดๆ สีหน้าของเขาดูเหมือนผ่านการครุ่นคิดสิ่งต่างๆมามากมาย ทำให้ ณ เวลานี้เขาดูนิ่งและเงียบขรึมเกินกว่าที่เด็กอายุ 9 ขวบสมควรจะเป็น
ครอบครัวของเขาเรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์ หากไม่ขาดพ่อกับแม่อันเป็นที่รัก เขาใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งคิดหาเหตุผลต่างๆมากมายว่าทำไมถึงไม่อยู่กับเขาในเวลาที่เขาต้องการ เพื่อมาลบล้างกับความคิดถึงที่เขามีให้บุคคลทั้งสองอยู่ทุกวัน ถึงแม้ว่าความรักจากยายจะทดแทนส่วนที่ขาดหายตรงนั้น แต่ทว่ายังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาหยุดความคิดถึงนี้ได้
แสงดาวตอนค่ำของวันนี้ดูสดใสเหมือนดวงตาของแม่ ที่แม้จะเคยเห็นตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก แต่เขายังจดจำได้ดี มันสว่างและอบอุ่นอย่างประหลาด ถึงมันจะเลือนลางและห่างไกลก็ตาม ดวงดาวตามปกติมักจะมองเห็นเป็นจุดเล็กๆบนท้องฟ้า แต่ทว่าวันนี้ เวลานี้ทำไมเขากลับรู้สึกว่าดวงดาวมันลอยเข้ามาใกล้เขาจนน่าประหลาดใจ เข้ามาใกล้ ค่อยๆ เข้ามาใกล้ ………….
“ข้าอยู่ตรงนี้…….ชื่อของข้าคือ…….”
“เซริฟ…เซริฟ หลานเป็นอะไร ตอบยายหน่อย” เสียงหญิงชราวัย 70 ปีกระเส่าถามด้วยอาการเหนื่อยหอบจากการใช้แรงที่เหลือเกือบทั้งหมด ดันตัวขึ้นมาจากชั้น 1 ของบ้าน เพื่อมาดูต้นเหตุของเสียงบนชั้นสอง ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่หลานชายเพียงคนเดียวของเธอนอนคุดคู้อยู่ พร้อมกับเขย่าตัวเด็กชาย
เสียงของหญิงชราทำให้ภาพต่างๆ ที่เหมือนอยู่ในนิมิตเริ่มเลือนลางหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยภาพของห้องสีแดงอ่อนๆ ดูอุ่นตา มีภาพโปสเตอร์ของทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดขนาดใหญ่ ทีมในดวงใจติดอยู่บนหัวนอน หนังสือวิชาคณิตศาสตร์ และหนังสือเกมส์ตัวเลข ทั้งแผ่นกระดาน A matt ยังอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม แมวสีขาวนั่งจ้องเขาอยู่ตรงประตูที่เปิดแง้มจากการเข้ามาของหญิงชรา
“โอ พระเจ้า... หลานฟื้นแล้ว หลานเป็นอะไรบ้างรึเปล่า ยายได้ยินเสียงโครมคราม แล้วยายมาดูเห็นหลานนอนอยู่ที่พื้น หลานเป็นยังไงบ้าง” หญิงชรายังคงยิงคำถามไปเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงปนจะร้องไห้
ความจริงเขารู้สึกเจ็บนิดๆจากการหน้ามืดตกลงมาจากขอบหน้าต่างที่เขานั่งอยู่นานสองนาน แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้ยายรู้สึกเป็นห่วงมากกว่าเดิมจึงได้ตอบเลี่ยงๆไป
“ไม่เป็นไรครับยาย…เออ แล้วยายเอาแมวมาเลี้ยงด้วยเหรอครับ” เขาพูดพลางชี้มือไปยังแมวสีขาวตาสีทองสดใสที่นั่งอยู่ที่ริมประตู แต่หลังจากสิ้นเสียงคำเขาพูดแมวตัวนั้นก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ พร้อมกับเดินก้าวออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ แต่เขารู้สึกว่าก่อนมันเดินออกไปจากห้องมันยิ้มที่มุมปากแล้วหันมามองเขาด้วย แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน แมวยิ้มได้ เขานึกขำในใจ สงสัยคงเป็นผลจากการที่เขาหล่นมาจากขอบหน้าต่าง
ยายชราหันหน้าไปในทิศที่เด็กน้อยชี้ แต่ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากสองชีวิตที่อยู่ในห้องสีแดงอ่อนนั้น
“อา….มันไปแล้วหล่ะครับยาย” เด็กชายตอบพลางลดมือลงอย่างผิดหวัง
“เอาหล่ะเด็กน้อย สงสัยเจ้าตาฝาดไป หรือไม่ก็คงเป็นแมวจรจัดที่หลงเข้ามา คราวนี้จะตอบยายได้รึยังว่าเจ้าเป็นอะไร” หญิงชรายังคาดคั้นหาความจริง
“อืมม ผมแค่หน้ามืดนิดหน่อย หน่ะครับยาย แล้วผมก็เห็นยายคนแรกนี่แหล่ะครับ ผมไม่เป็นไรแล้วหล่ะครับ ยายลงไปถักผ้าพันคอของยายต่อเถอะครับ ใกล้ฤดูหนาวแล้ว เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทันนะครับ” เขาพูดพลันดันหลังยายให้พ้นจากห้องเร็วที่สุด
“พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า  รีบเข้านอนด้วยนะหลาน” เสียงหญิงชราแว่วมาจากอีกฝั่งของประตู หลังจากที่เพิ่งถูกทำให้พ้นจากพื้นที่อีกฝั่ง
เซริฟ ดี  จอห์นสัน นึกทวนถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาเอง แต่ด้วยวัยของเด็ก 9 ขวบ คงสงสัยอะไรไม่ได้มากไปกว่า เขาหน้ามืดจนตกมาจากหน้าต่างได้อย่างไรกันทั้งที่เขาแข็งแรง ขนาดที่ป่วยหรือเป็นหวัดซักครั้งยังไม่เคย หญิงสาวในห้วงความฝันที่เขาฝันถึงคือใคร ภาพมันเลือนลางเต็มที เสียงในภวังค์ขาดๆ หายๆ ไม่ปะติดปะต่อ แสงสะท้อนจากโลหะชิ้นเล็กๆบนพื้นหยุดความสงสัยของเขาไว้แค่นั้น………..
ในป่าดิบชื้นใต้ตีนเขาที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงจี้งหรีดป่าที่แข่งกันร้องประชันบทเพลงราวกับเป็นนักร้องของป่าใหญ่ มีเสียงจิ้งจอกหอนเป็นลูกคู่ สลับเป็นระยะ ด้านล่างของตีนเขานั้นมีแสงไฟจากหลอดไฟของบ้านแต่ละหลัง ที่เปิดต้อนรับการมาเยือนของบรรยากาศยามค่ำ ซึ่งมองดูแสงไฟดวงกะจิ๋วเหล่านั้นแล้ว แล้วก็พอให้เป็นสีสันของยามวิกาลได้ดีทีเดียว เสียงสวบสาบจากการเดินสวนทิศทางของหญ้าป่าที่ขึ้นสูงท่วมหัวเข่า ทำให้เหล่านักร้องแห่งป่าใหญ่ต้องหยุดเพื่อฟังเสียงสิ่งมีชีวิตทั้ง 3 ชีวิตที่ดูยังไงก็ไม่ใช่สมาชิกของป่าเป็นแน่
“ข้าว่าที่นี่แหล่ะ เหมาะที่สุดแล้ว   ท่านคิดว่ายังไง คราเคน”
“งานนี้ไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าอย่าเอาความผิดมาลงที่ข้า งานของข้าคือต่อจากเจ้า” เสียงทุ้มต่ำแต่ทรงด้วยอำนาจของผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อ ตอบกลับอย่างทันที
“นี่มันไม่ใช่เวลาที่เราควรมาทะเลาะกัน มันคืองานของเราทั้งหมดนั่นแหล่ะ พวกเจ้าอย่าลืมสิ งานของเราล้มเหลว เราต้องทำให้ท่านพอใจมากที่สุด” เสียงแหลมเล็กบาดหูของสิ่งมีชีวิตชนิดที่ 3 พูดขี้นมาอย่างกราดเกรี้ยว
“ข้าว่าเจ้าพูดถูกเรื่องเดียว รุค เราต้องทำให้ท่านพอใจมากที่สุด แต่งานของเรายังไม่ล้มเหลวซะทีเดียว ข้ามีความรู้สึกว่าข้ากำลังจะพบมันในอีกไม่ช้า” เสียงราบเรียบของบุคคลแรกพูดอย่างมั่นใจ
“หึ...ข้าไม่เห็นว่าความมั่นใจของเจ้า จะถูกต้องไปเสียทุกครั้งนะ มันติคอร์” เสียงทุ้มต่ำกล่าวสำทับอีกรอบ
“หยุดเดี่ยวนี้….” เสียงกราดเกรี้ยวทวีความดังขึ้นมาเพื่อสงบศึกระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งสอง “รีบทำงานให้เสร็จ แล้วจะได้ไปรายงานท่าน คำพิพากษาไม่ได้อยู่ที่เจ้าคนใดคนหนึ่ง แต่ท่านจะเป็นผู้ตัดสิน”

เด็กชายงัวเงียตื่นมาในชุดนอน ผมสีแดงอ่อนพันกันยุ่งเหยิงยิ่งบ่งบอกให้ทราบว่าเขาเพิ่งตื่นนอน ด้วยกลิ่นของขนมปังปิ้งที่หอมเย้ายวน กับคอนเฟล็กกรอบๆ ทำให้เท้าของเขาพาร่างกายที่ยังสลึมสลือมายังโต๊ะอาหารที่ยายได้เตรียมไว้ตั้งแต่เช้า แต่เอ๊ะ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงกรอบของคอนเฟล็กด้วยเหรอ เขาคิดอย่างขำๆ สงสัยอาการคงค้างจากเมื่อคืนแน่ๆ เสียงผู้รายงานข่าวที่แสนน่าเบื่อจากทีวีที่ยายเปิดเพื่อรับข่าวสารใหม่ๆในตอนเช้านั้นยิ่งทำให้เขาอ้าปากหาวหวอดและพร้อมนอนต่อได้อีก
เขาใช้เวลาไม่นานในการจัดการอาหารเช้าแทบจะหมดทุกอย่างบนโต๊ะ ทั้งขนมปังปิ้ง 4 แผ่น คอนเฟร็ก 1 ถ้วย ซุปแครอท พร้อมด้วยไส้กรอก และแฮม จนทำให้ผู้เป็นยายประหลาดใจกับการจัดการอาหารเช้าของหลานชายในมื้อนี้วันนี้  
“ข่าวต่างประเทศในเช้าวันนี้ เกิดเหตุเศร้าสลด ภูเขาไฟเมราปีบนเกาะชวากลางของประเทศอินโดนีเซียได้เกิดประทุพ่นลาวาพร้อมเถ้าถ่าน ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 200 คน พร้อมสูญหายกว่า 30 ราย............”
  เสียงผู้รายงานข่าวสาวยังคงทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้เด็กชายไม่ได้สนใจเลยก็ตาม เขายังคงก้มหน้าจัดการกับสิ่งของที่เหลืออยู่ตรงหน้าเขาให้หมดไปโดยเร็วที่สุด -.
“ยาย...ผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ” เซริฟกล่าวลายายพลางเอามือปาดผมหน้าม้าที่ยังยุ่งเหยิงให้เข้าที่ พร้อมกับจัดชุดเตรียมพร้อมที่จะไปโรงเรียนในเช้าวันนี้
“อย่าไปทะเลาะกับใครมาอีกหล่ะ เจ้าเด็กน้อย ไม่งั้นวันนี้อดกินของอร่อยแน่” เสียงคนสองวัยกล่าวลาตามประสายายหลาน ก่อนที่ผู้ที่อายุน้อยกว่าจะก้าวออกจากบ้านเพื่อไปโรงเรียนตามปกติ
เช้าตรู่อันเสนน่าเบื่อของเซริฟ ยังคงเป็นเหมือนกับสิ่งที่เขาเคยเห็นมาตลอด 9 ปีไม่เคยเปลี่ยน ต้นสนข้างทางยังคงขึ้นเป็นแนวสล้างแข่งกันยืดตัวขึ้นรับแสงแดด และทิ้งให้ต้นที่โตช้ากว่ารับแสงแดดที่เหลือลอดลงมาเท่านั้น บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองและมีสภาพโดยรอบเกือบจะเรียกได้ว่าป่า ทำให้เซริฟต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควรกว่าที่จะถึงโรงเรียน เสียงรถหึ่งๆ ได้ยินมาแต่ไกล เสียงแตรบ่งบอกถึงความวุ่นวาย ทำให้เซริฟรู้ตัวแล้วว่า ชีวิตในโรงเรียนที่แสนน่าเบื่อกำลังใกล้จะเริ่มต้นอีกวัน  
“โอ๊ะ โอ เราเจอหนูแล้วหล่ะพรรคพวก ว่าแต่หนูมันควรอยู่ในกรงสินะ ไม่ควรออกมาเพ่นพ่าน” เสียงที่เขาไม่ปรารถนาที่จะได้ยินที่สุด กลับดังแว่วมาข้างหลัง เซริฟหลับตาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะออกวิ่งสุดพลัง เท่าที่ขา 2 ข้างของเขาจะทำได้ ความจริงเหตุการณ์อย่างนี้เป็นมานานนับตั้งแต่เขาเผลอหลุดปากเรียกหัวโจกประจำโรงเรียนอย่างสนุกปากว่า “เจ้าอ้วน มิคกี้ ขี้มูกเขรอะ” โดยที่ไม่รู้ว่า มิคกี้ อยู่ด้านหลังของเขาและกลุ่มเพื่อน จากนั้นดูเหมือนว่า มิคกี้จะโปรดปรานการแกล้ง เซริฟ เป็นพิเศษ
ตึกแล้วตึกเล่าที่เขาวิ่งผ่าน ร้านแล้วร้านเล่า ทั้งร้านร้านกาแฟหอมกรุ่นที่มีเจ้าของใจดีที่ชื่อไมเคิล ที่ปกติเขาต้องทักทายทุกวัน ร้านดอกไม้ของคุณเฟอร์  ร้านขนมปัง “เดอะ บัน” ที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองที่ตอนนี้ลูกค้ากำลังต่อแถวกันยาวเหยียด เขาจำไม่ได้ว่าเขาวิ่งมาไกลขนาดไหนแล้ว รู้แต่เพียงว่าคงพ้นระยะการจู่โจมของ มิคกี้ หัวโจกร่างอ้วนประจำโรงเรียนแน่นอนแล้ว เขาจึงหยุดที่ซอกตึก แล้วนั่งพักให้หายอาการเหนื่อยหอบจากการวิ่ง โดยที่ตายังคงจับจ้องมายังเส้นทางที่เขาเพิ่งวิ่งผ่านมา เพื่อเป็นการระแวดระวังตัวให้พ้นจากการกลั่นแกล้ง
ความเจ็บแปลบที่ต้นขา ทำให้เขาละสายตาจากสิ่งที่เขากำลังจับจ้องอยู่ แล้วก้มลงมองพร้อมกับล้วงมือเขาไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์เพื่อหยิบเอาต้นเหตุที่กำลังทิ่มต้นขาเขาอยู่ออกมาภายนอก โลหะเคลือบสีแดงอ่อนเป็นรูปมังกรขด วนจนเป็นแหวนขนาดพอดีนิ้ว มีตัวอักษร F โบราณตัวเล็กๆ ฉลุอยู่ตรงกลางของตัวมังกร เขามองด้วยตาแวบเดียวก็รู้ว่าถูกทำขึ้นมาอย่างประณีต แต่มันไม่ได้ทำให้เขามีความรู้สึกว่าอยากใส่ เพราะยังไม่อยากเป็นตัวตลกในกลุ่มเพื่อน ด้วยลักษณะของมันถูกใจเขาอย่างเดียวคือมีสีแดง เอ...เขาจำได้ว่าเขาเห็นมันตกอยู่ที่พื้นในห้องเมื่อคืน เลยหยิบขึ้นมาดู แล้ววางไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือในห้องนี่นา แต่เขาพยายามนึกแค่ไหนก็จำไม่ได้ว่าเอามันใส่มาในกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้วย
“แหวนสวยดีนี่ พรรคพวก” เสียงหนึ่งดังขึ้นและเขารู้โดยทันทีว่าต้องวิ่ง แต่ก่อนที่เขาจะก้าวขาได้ทัน เซริฟ ก็รู้สึกตัวว่าตัวเขากำลังลอยสูงขึ้นจากพื้นดิน
“นายจะเป็นยิปซีหรือไงพวก หรือคิดว่าไอ้แหวนประหลาดนั่นจะช่วยนายได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“อ.อ.อ.เอ่อ มิคกี้นายมาทำอะไรที่นี่” เซริฟตะกุกตะกักถามคำถามทั้งที่ขาลอยจากพื้นเพราะถูกรั้งคอเสื้อขึ้นและถูกผลักให้ติดอยู่กับกำแพงตึกด้วยมืออวบอูม
“ก็มาจับหนูไง หนูมันเยอะ จะจับเข้ากรงหน่อย ฮ่าฮ่า ฮ่า” มิคกี้ตอบคำถามอย่างผู้มีชัย เสียงหัวเราะของเขาเป็นสิ่งที่เซริฟเกลียดที่สุดในโลก เพราะมันเป็นเสียงหัวเราะที่น่าอาเจียนมากในความคิดเซริฟ
“น.น.นายวิ่งเร็วเหมือนกันนะมิคกี้ แล้วพรรคพวกนายหล่ะ”
“นายอย่ามาชมเพื่อให้ฉันปล่อยนายเลย เซริฟ แต่เห็นอย่างนี้ฉันก็ได้ฉายาว่องไวปานสายลมนะ” เสียงพูดเข้าข้างตัวเองทำให้เซริฟอยากจะอาเจียนออกมาจริงๆ แต่มันก็จริงในความคิดของเซริฟ ทั้งที่เขาวิ่งด้วยความเร็วที่ไม่คิดว่าคนอ้วนกลมอย่างมิคกี้จะตามทัน แต่เขากลับโดนจับอย่างง่ายดาย
“เจ้าพวกนั้นฉันปล่อยให้เหนื่อยอยู่นู่นแล้ว ไม่ไหวซักคนจริงๆ นายวิ่งเร็วดีนี่หว่า สนใจเป็นลูกน้องฉันรึเปล่าล่ะ หึหึ หรือนายจะยอมเจ็บตัวเหมือนทุกครั้งล่ะเจ้าหนูขนแดง ฮ่า ฮ่า”
เซริฟได้แต่กำหมัดแน่น ฟังมิคกี้พูดจาข่มขู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
“ว่าไง..จะยอมเป็นลูกน้องหรือจะ......”
ก่อนที่มิคกี้จะพูดจบ หมัดลุนๆของเซริฟเสยขึ้นมาจากด้านล่าง แต่เขาฉากหน้าไปด้านหลังได้หวุดหวิด
“หึ.. สงสัยว่าคำตอบของแกจะไม่อยากเป็นลูกน้อง………..”
มิคกี้เงื้อหมัดเพื่อเป็นการให้รางวัลจากคำตอบของอีกฝ่าย เซริฟหลับตากำหมัดแน่น
ตุ๊บ......เสียงก้นของเซริฟหล่นลงบนพื้นหินเย็นเฉียบเขาจำได้ว่านี่เป็นห้องน้ำชายที่เขาเคยเข้ามาใช้ประจำ มีกลิ่นเหม็นไหม้และควันเล็กน้อยจากกางเกงยีนส์ของเขา เขาใช้มือตบเบาๆ เพื่อให้ควันหายไป แล้วพยุงตัวลุกขึ้น
เสียงนอกห้องน้ำยังคงจอแจ ความเจ็บปวดตุบๆ ที่หัวยังคงทำร้ายเซริฟ คงเป็นผลจากการที่มิคกี้ต่อยเขาเมื่อสักครู่ แต่เขากระเด็นมาอยู่ที่ห้องน้ำได้อย่างไร เขาคิด พักนี้เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับเขาบ่อยเกินไป ยิ่งคิดอาการปวดหัวยิ่งไม่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย เว้นแต่เสียงหนึ่งกลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“นายไปทะเลาะกับมิคกี้มาอีกแล้วหล่ะสิ เซริฟ” เสียงก้องกังวานใสแต่แฝงด้วยอารมณ์เคืองของเด็กหญิงวัยเดียวกัน เธออยู่ในชุดเสื้อยืดสีชมพู กางเกงยีนส์เข้ารูป กับรองเท้าผ้าใบ ผมบ๊อบสั้นสีน้ำตาลอ่อนของเธอดูเข้ากับการแต่งตัวทีเดียว
“อ่า..นิดหน่อยน่าอลิซ” ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงบ่งบอกให้ทราบว่าเขากำลังโกหก
“ฉันละเบื่อที่จะต้องมาคอยดูแลนายเนี่ย นายหัดทำตัวให้มันดีๆหน่อยได้ไหม”
“พอเหอะ อลิซ เธอชักจะเหมือนยาย ฉันขึ้นทุกวันแล้วนะ”
“ก็เพราะฉันรับปากยายของนายไว้หน่ะสิ ตาทึ่ม ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกผู้ชายเนี่ยถึงชอบใช้ความรุนแรงมากกว่าสมองนะ”
“แต่ อลิซ ฉันคิดว่าเธอกำลังทำผิดนะ”
“ฉันกำลังทำและพูดในสิ่งที่ถูกต้องตะหากหล่ะ”
“ใช่ เธอทำถูก แต่นั่นไม่ได้หมายรวมถึงการที่เธอมายืนทะเลาะกับฉันในห้องน้ำชายนะ”
อลิซาเบธ แก้มแดงเรื่อขึ้นแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปพร้อมกับเสียงออดบอกเวลาการเรียนชั่วโมงแรกดังขึ้น ทิ้งรอยยิ้มของผู้มีชัยไว้ในห้องน้ำชาย  
ชั่วโมงแรกของวันเป็นวิชาสังคมศึกษา เขาต้องนั่งฟังอาจารย์บรรยายเกี่ยวกับเปลือกโลก การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกจนเกิดเป็นทวีปใหม่  รวมถึงทฤษฎีการระเบิดครั้งใหญ่ หรือที่เรียกว่า Big bang
“ทฤษฎีการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ หรือบิ๊กแบง (Big Bang Theory) ตั้งขึ้นโดยนักดาราศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม ชื่อ อับเบ จอร์จ ลือเมตเทรต (Abbe Georges Lemaitre) เมื่อปี พ.ศ. 2470 สรุปได้ว่า จักรวาลเกิดมาจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของสารที่อัดแน่นรวมกัน แรงระเบิดทำให้ชิ้นส่วนแตกละเอียดเป็นฝุ่นละอองและก๊าซร้อน กระเด็นออกไปทุกทิศทุกทาง ต่อมาเย็นตัวลงและเกาะรวมกันเป็นกาแลกซี และสิ่งอื่น ๆ รวมกันเป็นองค์ประกอบของจักรวาลในปัจจุบัน คาดว่าเกิดขึ้นมาแล้ว ประมาณ 15,000 – 20,000 ล้านปี…”
ไม่นานเสียงอาจารย์ก็ค่อยๆเลือนไปกับความคิดถึงเรื่องเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นกับเขา เขานั่งทบทวนเหตุการณ์ต่างๆตั้งแต่ตอนแรก แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกซักที
“เซริฟ....ข้าต้องการเจ้า..........” เสียงกับภาพเลือนๆ ที่เขายังปะติดปะต่อคำพูดไม่ได้ผ่านเข้ามาในสมองของเขาอีกแล้ว
“เฮ้..เดี๋ยวสิ รอก่อน....เฮ้ เธอชื่ออะไร”
“พอล......ครูชื่อพอล….เซริฟ” เสียงหัวเราะดังครืนทั่วห้อง เว้นแต่อลิซาเบธคนเดียวที่นั่งทำตาเขียวใส่เขาอยู่ด้านหน้าห้อง
“ถ้าเธอจำชื่อครูไม่ได้ ครูว่าควรไปทำการทบทวนความจำหน้าห้องเรียนซะหน่อยดีกว่า”
เขาลุกขึ้นจากโต๊ะเรียนเดินไปหน้าชั้นตามที่ครูวิชาสังคมศึกษาบอกอย่างว่าง่าย ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากห้อง เขารู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ส่งรังสีอาฆาตมาให้  ขายังรู้สึกเจ็บแปลบๆสภาพของมิคกี้ตอนนี้ทำให้เซริฟนึกขำในใจ แต่ก็ทำได้แค่อมยิ้มเล็กๆที่มุมปากเท่านั้น เขาอยู่ในสภาพเหมือนวิ่งฝ่าเขม่าควันไฟสักกองใหญ่มา หน้าตาติดเขม่าดำที่เหมือนจะล้างแต่ล้างออกไม่หมด ผมหยิกหยอยเป็นจุดๆ มีกลิ่นไหม้ไฟอยู่จางๆ
“แกอย่าคิดว่ากล ปัญญาอ่อนของแก จะเอาชนะฉันได้นะไอ้ลูกหมา” เขาพูดแล้วเดินจากไป พลางหันมาทำมือเฉือนไปที่คอประหนึ่งจะให้เซริฟรู้ว่าเจอกันครั้งหน้า เขาต้องตายสถานเดียว แต่เซริฟก็พออกพอใจกับสภาพที่เขาเห็นยิ่งนัก
เซริฟใช้เวลาเกือบทั้งบ่าย นั่งทบทวนเหตุการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า โลหะสีแดงรูปมังกรที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง ยังคงทำให้ต้นขาเขาเจ็บแปลบเป็นระยะๆ
เสียงออดบอกหมดเวลาของการเรียน เป็นเวลาที่เซริฟคิดว่าเขาถูกปลดปล่อยแล้ว แต่ท่าทางที่อลิซาเบธกำลังยืนกอดอกจ้องเขาอยู่บอกให้รู้ว่าเขากำลังคิดผิด
“นายเป็นอะไรของนาย เซริฟ นายมาเรียนนายก็ควรตั้งใจเรียนนะ” เสียงอลิซาเบธ ยังดังแว้ดเหมือนเดิม
“เธอไม่ยายของฉันนะ อลิซ นี่มันเรื่องของฉันนะ”
“นายทึ่ม เอ๊ย คิดว่าฉันอยากยุ่งกับนายมากเลยรึไง นี่ถ้ายายของนาย…….”
“พอเหอะ อลิซ คำก็ยาย สองคำก็ยาย เธอไม่จำเป็นต้องมายุ่งกับฉันก็ได้นะ เว้นเสียแต่ว่าเธอชอบฉัน…..” คำพูดนี้ได้ผล มันทำให้อลิซาเบธหยุดเงียบไปได้ชั่วขณะแล้วก็ทำท่ากระฟัดกระเฟียดเดินออกไปจากเขาได้ ความจริงเขาใช้แผนนี้กับอลิซาเบธหลายครั้งแล้ว และมันก็ได้ผลแทบจะทุกครั้ง เพราะมันทำให้เขาไม่ต้องทนฟังเสียงบ่นจ้ำจี้จ้ำไชจากผู้ที่เปรียบเสมือนผู้ปกครองคนที่สอง
เสียงยายยังบ่นตามหลังเขามาติดๆ จนเขาได้ปิดประตูห้องแล้วเสียงถึงได้เงียบไป เซริฟทิ้งตัวโครมใหญ่ลงบนเตียงนอนหวังจะคลายความเหน็ดเหนื่อยและความน่าเบื่อหน่ายที่โรงเรียนในวันนี้
“โอ๊ย…..” เขาหลุดปากร้องออกมาเบาๆ พลางถูไปที่ต้นขา แล้วล้วงมือไปหยิบตัวต้นเหตุออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ไอ้แหวนบ้านี่…...” เขาจับมันมาดูแล้วขว้างทิ้งไป เสียงแหวนหล่นกระทบพื้นแล้วกลิ้งไปบริเวณกองเสื้อผ้าที่เขายังไม่ได้เก็บใส่ตระกร้า เซริฟเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเกมตัวเลขที่เขาโปรดปราน ที่วางอยู่บนโต๊ะมานั่งฆ่าเวลา อันที่จริงในวิชาเรียนทั้งหมด ดูเหมือนว่าคณิตศาสตร์และวิชาเกี่ยวกับตัวเลขเขาจะทำได้ดีเกือบเรียกได้ว่าอยู่ระดับต้นๆ ของชั้นเลยทีเดียว แต่วิชาอื่นกลับกันโดยสิ้นเชิง เขานั่งวิเคราะห์เกมในหนังสือ แล้วเอื้อมมือหยิบดินสอที่อยู่บนโต๊ะ โดยที่ตาไม่ได้ละไปจากหนังสือ
   “เฮ้ย…..” เซริฟตกใจ ถอยกรูดจนเกือบตกเตียง โดยที่ยังจ้องวัตถุที่วางอยู่บนโต๊ะ
   โลหะวงกลม สีแดงอ่อน ยังคงวางนิ่งสงบอยู่บนโต๊ะ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กชายวัย 9 ขวบฉงนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาค่อยๆขยับอย่างลังเลเพื่อเข้ามาดูแหวนที่เข้าเพิ่งโยนทิ้งไปใกล้ ๆ มันยังคงไม่ไหวติง อยู่บนโต๊ะ ทิ้งให้เซริฟเกาหัวแกรก แล้วค่อยๆ บรรจงหยิบขึ้นมันมาดู ราวกับเป็นวัตถุที่น่ารังเกียจ
เขาใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ค่อยหยิบแหวนแล้วลุกจากเตียง เพื่อจะนำไปทิ้งในถังขยะ และเป็นการย้ำว่าเขาได้นำมันทิ้งไปแล้วจริงๆ
“คลิ๊ก….” เสียงโลหะกระทบกันเบาๆ ที่นิ้วของเขา มังกรที่เคยขดวนรอบหางตัวเองเป็นแหวนวงธรรมดาวงหนึ่ง บัดนี้มันได้สยายปีกโอบรอบนิ้วชี้ของเซริฟอย่างพอเหมาะ หางที่เคยขดกลับยืดออกแล้วเลื้อยพันนิ้วของเขา ยังกับจะไม่อยากจะหลุดไปไหน
“เหวออออ….” เซริฟ วิ่งสลัดนิ้วพร้อมกับร้องตะโกนไปมา แต่ยิ่งสลัดมันกลับยิ่งรัดแน่นขึ้นทุกที
“ไม่ต้องกลัวหรอกเจ้าหนู…….” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหล เซริฟเหลียวมองรอบห้อง แต่กลับไม่เจอสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่คาดว่าจะเป็นต้นเสียงได้ เว้นเสียแต่ตระกร้าผ้าที่กำลังขยับเหมือนมีบางสิ่งอยู่ในนั้น
“ตุ๊บ….เหมี๊ยวววว” แมวสีขาวดุจหิมะ ดวงตาสีทองโตสดใส กระโดดออกมาพร้อมกับบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนที่มันจะค่อยๆเดินๆมาที่เขา…………………..

จากคุณ : เด็กชายจากดาวพฤหัส
เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 54 22:46:21




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com