ซิอ์บุลมองคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตนอย่างพินิจพิเคราะห์
อาเมียร์ซึ่งคาดทั้งดาบยาว และกริชสั้นไว้ที่เข็มขัดพร้อมมือ ยืนอยู่ห่างจากเขาราวสามสิบก้าว บนลานซ้อมของจวนเจ้ามณฑลยาร์ลาธ ที่ริมสนามมีเจ้ามณฑลนามเบเรคยืนอยู่กับรูอาร์คเหมือนในวันนั้น ที่ขาดไปคือเฟลิมผู้ล่วงลับ ทว่ามีพระมหาเถระลูเธียนกับแม่มดดำมาลิอาเพิ่มเข้ามาแทน
เมื่อครู่ชายหนุ่มเพิ่งถอดปลอกเหล็กที่สวมข้อมือข้อเท้ามาตลอดออก คงหมายจะเพิ่มกำลังร่างกาย และความเร็วของตนยามปราศจากน้ำหนักส่วนเกิน อดีตนักรบจับสังเกตได้นานแล้วว่าอาเมียร์ใช้กลวิธีนี้ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้บอกอะไรเขา เช่นเดียวกับเรื่องแก้อาการกลัวเลือด แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ลูกชายตัดสินใจว่าต้องทำ และไม่จำเป็นต้องรายงานต่อคู่ต่อสู้ไม่ใช่หรือ
อาเมียร์เลือกแล้ว ว่าครั้งนี้จะฝ่าฟันไปด้วยตนเอง และขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเพียงจำเป็นที่สุดเท่านั้น
“ข้าคิดว่า เราตกลงกติกาให้เรียบร้อยกันเสียก่อนดีไหม” ชายหนุ่มเป็นผู้พูดขึ้นก่อน
“ในสนามรบ กติกาของการชนะมีอย่างเดียว คือเจ้าต้องยืนอยู่ให้ได้จนการต่อสู้สิ้นสุด โดยไม่สิ้นความสามารถในการต่อสู้ หรือถูกศัตรูกุมชีวิตเอาไว้” ชายวัยกลางคนตอบ “ก็ตามนี้เอง นอกเหนือจากนั้นเจ้าจะล้มลงไปสักกี่ครั้งก็ได้...หากยังมีแรงลุกไหว หรือใช้กับดักลูกไม้ใดๆ ก็ตามสบาย”
อาเมียร์เพียงแต่พยักหน้า ก่อนจะชักดาบออกถือและสืบเท้า ตั้งท่าเตรียมพร้อม
เป็นการวางท่าที่แน่วแน่ เก็บซ่อนความประหม่าหวั่นไหวใดๆ ไว้ให้มากที่สุด
เพียงมองเท่านี้ ซิอ์บุลก็บอกได้ว่าชายหนุ่มไม่มีแผนการรองรับใดๆ ให้มั่นใจเหมือนครั้งนั้น ทว่าตั้งใจมุ่งมั่นเพียงจะต่อสู้ให้ได้เต็มที่เท่านั้นเอง
อดีตนักรบยิ้มน้อยๆ กับตนเอง ครั้นแล้วก็เลื่อนมือข้างเดียวไปยังด้ามดาบโค้งที่เขาคาดไว้
และปลดตะขอที่เกี่ยวฝักดาบกับเข็มขัด พลิกมันมาถือในมือโดยเร็ว
ครั้นคู่ประลองผู้อ่อนวัยกว่าเลิกคิ้วอย่างสงสัย ซิอ์บุลก็ให้คำอธิบาย
“ดาบข้าทั้งคมทั้งหนัก เจ้าก็รู้ ข้ากลัวเอาจริงขึ้นมาจะรั้งไว้ไม่ทัน แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ดาบทั้งฝักเหมือนกันหรอก”
“หึ” อาเมียร์หัวเราะน้อยๆ “ท่านกำลังจะบอกว่า...ต่อให้ไม่ใช้คมดาบก็ล้มข้าได้ เหมือนตอนล้มนักรบชาวทรายนับสิบโดยไม่แม้แต่จะชักดาบต่อหน้าข้าสินะ”
ชายวัยกลางคนยักไหล่ ก่อนจะตั้งท่า ถือดาบทั้งฝักชี้ปลายตรงมาด้านหน้าเช่นกัน
“ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด” เขาหันไปทางท่านเจ้ามณฑล “ท่านเบเรค ขอท่านให้สัญญาณด้วย”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ซิอ์บุลจึงได้หันหน้ากลับไป จับจ้องคู่ต่อสู้ รวบรวมสมาธิ วิเคราะห์ท่าทางที่เห็น ตลอดจนทุกการกระทำที่จะตามมา
“เริ่มได้!”
อาเมียร์ถีบเท้า ปราดเข้าหาเขาทันทีที่ถ้อยคำแรกถูกตะโกน
ดาบแรกของชายหนุ่มเบี่ยงวิถี จากที่ดูเหมือนจะฟันเฉียงบนลงล่าง กลับเปลี่ยนทิศทางโดยไร้สัญญาณล่วงหน้า หักวกเสยขึ้นบน อย่างไรก็ดี ซิอ์บุลย่อมคาดหมายได้ว่าบุตรชายที่เขาสอนดาบมากับมือย่อมไม่ใช้การโจมตีที่ตรงจนเป็นทื่อ...หากไม่อาจคาดหวังผลว่าศัตรูไร้หนทางหลบหรือปัดป้อง
การเบี่ยงหลบการโจมตีครั้งแรก และครั้งต่อไปจึงไม่ได้ยากเลย
อดีตนักรบหลีกพลางรับพลาง ขณะจับสังเกตคู่ต่อสู้ผู้อ่อนวัย ...อีกฝ่ายว่องไวปราดเปรียวขึ้น สมาธิแน่วนิ่งขึ้น ดาบที่ฟาดเข้ามาแต่ละครั้งมีกำลัง หมายจบการต่อสู้โดยเร็วที่สุด
ซิอ์บุลชื่นชมความพยายามของอีกฝ่าย ด้วยเหตุนี้เองจึงต้องให้เกียรติด้วยความพยายามที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
อาเมียร์โถมโจมตี กระทั่งเปิดช่องว่างของตน ซิอ์บุลสบโอกาสเสือกปลายดาบโค้งทั้งฝักออกไป
ชายหนุ่มกระโจนกลับ หลบพ้นเฉียดฉิว การโจมตีระลอกแรกขาดช่วงในบัดเดี๋ยวนั้น
คู่ต่อสู้ผู้อ่อนวัยกว่าชักดาบขึ้นกันดาบที่อาจตอบโต้ซ้ำแทบทันที ทว่าผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้ไล่ตามต่อ นี่ไม่ใช่การขยี้ปลิดชีพศัตรูโดยเร็วที่สุด แต่เป็นการทดสอบว่าอีกฝ่ายมีความมุ่งมั่นเท่าใด และจะอยู่รอดในสนามรบได้เช่นไรต่างหาก
จังหวะหายใจที่เริ่มถี่เร็วขึ้นของคู่ต่อสู้ บอกต่อซิอ์บุลว่าบางทีเวลาในการต่อสู้ครั้งนี้อาจผ่านไปเกินครึ่ง...ก่อนตัวเขาเองจะได้ชัยชนะ
อาเมียร์เลือกใช้ดาบสองคม ปลายตรงแบบดาบธีร์ดีเร ความยาวปานกลาง น้ำหนักไม่จัดว่ามากหรือน้อย สมดุลทั้งฟันแทง ลักษณะของอาวุธ กอปรกับการฝึกเพิ่มกำลังกายแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการใช้ความเร็วและคล่องตัวที่เหนือกว่าเป็นข้อได้เปรียบ หลอกล่อให้คู่ต่อสู้หลบหลีกหรือกันจนเปิดช่องว่าง แล้วจึงเล็งจู่โจมจุดอ่อนเมื่อสบโอกาส
การโถมโจมตียิ่งสำแดงจุดประสงค์นั้น
อย่างไรก็ดี การโถมโจมตีก็ยังมีข้อเสียเปรียบ หนึ่งคือลดทอนกำลังกายของผู้โจมตีเอง ยิ่งเมื่อฝ่ายรับมองออกว่าการลงดาบครั้งใดเป็นดาบหลอก ครั้งใดเป็นวิถีดาบหวังผล หลบเลี่ยงปัดป้องเท่าที่จำเป็นที่สุดเพื่อออมแรง ก็เท่ากับฝ่ายรุกเปลืองกำลังของตนโดยใช่เหตุ
และสอง ยิ่งรุกยิ่งเป็นการเปิดช่องว่างของตนเอง เสี่ยงต่อการถูกฝ่ายรับตีโต้เช่นเมื่อครู่ ...ที่ซิอ์บุลเลือกสวนกลับด้วยการแทงซึ่งไม่ใช่จุดแข็งของดาบโค้งแบบทะเลทราย แทนที่จะฟันสวนกลับไปนั้น บางคนอาจถือว่ายังกรุณา
แต่ก็เพื่อจะได้รู้ว่าชายหนุ่มจะปรับเปลี่ยนกลวิธีอย่างใดไม่ใช่หรือ
อดีตนักรบรู้เสียก่อนชายหนุ่มถีบเท้าอีกว่าเขาย่อมรุกเข้ามาอีกครั้ง วิถีดาบครานี้เหมือนจะคงเดิม...ฟันหลอกแล้วฟาดดาบตรง
ทว่าไม่
ซิอ์บุลรีบตั้งตัว เลื่อนดาบทั้งฝักไปรับคมดาบที่ฟาดเฉียงลงล่างจากด้านซ้ายของตน ...ก่อนหางตาจะเห็นชายหนุ่มใช้มือซ้ายชักกริชที่ข้างเอวออก แล้วเสือกแทงเข้ามา
แต่ยังช้าไป
ดาบโค้งพลิกกลับตวัดวาบ เล็งโจมตีแขนซ้ายที่ถือกริช พร้อมกับที่อดีตนักรบถีบเท้าออกห่าง เพื่อให้ศีรษะและท่อนบนของตนพ้นจากวิถีดาบตรงทางด้านซ้าย ...อย่างไรก็ดี อาเมียร์ยังไม่ยอมเสี่ยงแลก และถอยกลับเช่นกัน
ทั้งสองสบตากันเพียงชั่วแวบ ก่อนชายผู้อ่อนวัยกว่าจะปราดเข้ามา ทั้งหนึ่งดาบตรงและหนึ่งมีดสั้น
แวบหนึ่ง ชายวัยกลางคนนึกเสียดายมือซ้ายของตนขึ้นมา ใช่เพราะมันไม่ทำให้เขาเสียเปรียบ แต่เป็นเพราะอยากรู้ว่าหากสามารถใช้อาวุธทั้งสองมือปะทะกับชายหนุ่มแล้ว...อีกฝ่ายจะเอาชนะได้หรือไม่
ใช่ นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดี อาวุธสองชิ้นหมายถึงโอกาสโจมตีและปัดป้องที่เพิ่มขึ้น และศัตรูหลบหลีกได้ยากขึ้น แต่ขณะเดียวกันย่อมหมายถึงช่องว่างที่เพิ่มขึ้น
ช่องซึ่งซิอ์บุลค้นพบได้ไม่ยากเย็นนัก
จังหวะที่คู่ต่อสู้โยกตัวไปทางขวาของเขา ดาบซึ่งเงื้อสูงจากทางซ้ายก็ฟาดลงหนักหน่วง รุนแรง
อาเมียร์หลบทัน ราวกับคาดหมายไว้แล้ว และแทงสวนมาในทันใด
...พอดีกับที่อดีตนักรบพลิกข้อมือ เหวี่ยงดาบขึ้นด้วยแรงสะท้อนกลับ
ดาบในฝักปะทะดาบเปลือยจนเกิดเสียงดัง
ชายวัยกลางคนชักเท้าถอยตามสัญชาตญาณ ประมวลและรอดูผล ด้วยประสาทที่ไม่คลายความตื่นตัว
ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ...ไม่สิ...ถอยจากเดิมไปทางขวาของซิอ์บุลเกือบศอก รอยครูดบนพื้นทรายใต้เท้าบอกเช่นนั้น
หยดของเหลวตกกระทบพื้นทราย และซึมกว้างเป็นสีแดง...ขณะที่อาเมียร์ลดสองแขนซึ่งค้างอยู่ในท่าปัดป้องลงมา
...เป็นอะไรมากไหม...
ซิอ์บุลกลับโล่งใจ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้บาดเจ็บมาก บาดแผลนั้นเป็นรอยแตกอยู่แค่เหนือคิ้ว คงเกิดจากแรงสะท้อนซึ่งทำให้ด้ามดาบที่ยกขึ้นป้องกันกระดอนกลับไปกระแทกเข้า
แผลนั้นดูจะไม่ได้รบกวนจิตใจคนเจ็บนัก ชายหนุ่มเพียงแต่ยกหลังมือที่ถือมีดสั้นอยู่ขึ้นปาดคราบเลือด ครั้นแล้วก็ลดมือลงเพ่งมองด้วยสายตาเรียบเฉยอยู่ครู่หนึ่ง...ก่อนจะเช็ดมันกับข้างกางเกง แล้วตั้งท่าเตรียมสู้อีกครั้ง
นัยน์ตาสีดำสนิทดุจเดียวกันทั้งสองคู่สบกันอีกชั่วอึดใจ ก่อนอดีตนักรบจะตอบรับคำเชิญด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก และร่างที่โผนเข้าหาอีกฝ่ายโดยเร็ว
หากอาเมียร์ผ่านพ้นเรื่องนั้นมาได้ เขาเองก็ต้องเอาจริงขึ้นเช่นกัน
* * * * *
...ประมาทเกินไป...
อาเมียร์เตือนตนเองเช่นนั้น หลังจากซิอ์บุลพลิกกลับมาเป็นฝ่ายรุกแทน และเขาต้องถอยพลางหลบการโจมตีอันหนักหน่วงแต่ละครั้ง จนแทบไม่อาจหาโอกาสตอบโต้
จุดได้เปรียบของหมาป่าทมิฬคือดาบโค้งของชาวทะเลทราย ซึ่งยาวกว่าดาบตรงโดยทั่วไปของคนทางตะวันตกราวหนึ่งคืบ รัศมีของดาบที่ต้องระวังยามเข้าโจมตีจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ยิ่งไม่นับว่าดาบโค้งคมเดียวนั้นออกแบบมาสำหรับฟันโดยเฉพาะ และตีด้วยกรรมวิธีเฉพาะของชาวทราย จนได้เนื้อโลหะที่น้ำหนักเบา เนื้อยืดหยุ่น และคมเสียจนเพียงหงายรับผ้าแพรที่ตกลงมา ก็สามารถทำให้ผืนผ้าบางนั้นขาดออกจากกันได้ เรื่องตัดผ่าเนื้อตลอดจนกระดูกภายในให้เรียบกริบเสมอกันนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เขารู้ ที่อีกฝ่ายตัดสินใจไม่เปิดคมดาบให้ หลายคนคงมองว่าเป็นการออมมือ หรือสิ่งที่พึงกระทำเพื่อความปลอดภัย แต่คงน้อยคนที่จะคิดไปว่าเป็นการข่มขวัญ
ทว่าชายหนุ่มมองเป็นอย่างหลังมากที่สุด และอย่างกลางรองลงมา
ท่านอาออมมือให้อาเมียร์ได้อยู่แล้ว...ต่อให้ใช้คมดาบเปลือย ในการประลองครั้งก่อนหน้าเป็นเช่นนั้น ที่กล้าเปิดคมดาบก็เพราะรู้ว่าสามารถเอาชนะเขาได้โดยไม่ต้องอาศัยคมฟาดฟันเข้าเนื้อ แต่เพราะครั้งนี้ตั้งใจว่าจะเอาจริงกว่าครั้งนั้น จึงได้ปรามเขาไปในตัว ว่าฝีมือของลูกศิษย์ยังคู่ควรเพียงกับ ‘การเอาจริง’ ด้วย ‘อาวุธที่เหมือนไม่ได้เอาจริง’ เท่านั้นเอง เพราะต่อให้ดาบไร้คม กำลังที่คนร่างใหญ่อย่างท่านใส่มาในการฟาดดาบแต่ละครั้งก็ยังรุนแรงเสียจนคู่ต่อสู้ปลิวกระเด็นได้ง่าย
นี่คือการข่มขวัญ...ที่เคลือบแฝงไว้ด้วยข้ออ้างเรื่องความปลอดภัย
เป็นครั้งแรก ที่อาเมียร์รู้สึกว่าตนมองท่านอาออกมากที่สุด ยิ่งกว่าครั้งที่เอาชนะได้ด้วยกับดักเสียอีก
ใช่ เพราะครั้งนั้นตั้งใจว่าถึงอย่างไรก็ต้องใช้กับดักช่วย ชายหนุ่มจึงไม่ได้ใส่ใจกับลักษณะของดาบ จุดอ่อนของมัน ตลอดจนทางดาบที่สามารถสกัดและเอาชนะผู้ใช้อาวุธชนิดนี้ได้...ผิดกับครั้งนี้
ท่านอาเป็นผู้สอนเขาเอง ว่าดาบโค้งสำหรับฟันมีจุดอ่อนสำคัญสองประการ
หนึ่ง เป็นอาวุธที่มีวิถียาว เมื่อเทียบกับอาวุธสู้ประชิดตัวอื่นๆ แต่ในวงแคบแล้วถือว่าเสียเปรียบอาวุธที่มีวิถีสั้นกว่า ...อย่างไรก็ดี วิธีแก้ปัญหานี้ง่ายดายจนเหมือนกำปั้นทุบดิน คืออย่าปล่อยให้คู่ต่อสู้เข้าคลุกวงใน หรือหากถูกรุกเข้ามาก็ต้องเร่งถอยออกไปเข้าระยะหวังผลของตนแทน
สอง การฟันเต็มแรงแบบหวังผลแต่ละครั้งจะทำให้ผู้โจมตีถลำออกมาข้างหน้า เปิดช่องว่างให้ถูกตอบโต้ได้...หากคู่ต่อสู้สามารถหลบหลีกการโจมตีก่อนหน้า แต่ผู้ชำนาญในดาบโค้งพึงตระหนักจุดอ่อนนี้ดี จึงได้พัฒนาท่าดาบสวนกลับ เมื่อฟันลงให้แล้วให้พลิกข้อมือปาดดาบเสยขึ้นโดยเร็ว...เมื่อฟันขึ้นก็ให้หมุนข้อมือทิ้งน้ำหนักกลับลงมาอย่างต่อเนื่อง
หมาป่าสะบัดเขี้ยว...เหยี่ยวทะยานฟ้า เหยี่ยวทะยานฟ้า...หมาป่าสะบัดเขี้ยว อาเมียร์ยังรำลึกถึงวันที่ตนถูกท่านอาเคี่ยวเข็ญให้ฝึกใช้ดาบโค้ง และฟันกลับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งติดเป็นสัญชาตญาณว่าฟันหวังผลแบบโถมแรงเมื่อใด...ก็ห้ามลืมปาดดาบกลับทันทีไม่ใช่หรือ
ทีแรก ชายหนุ่มหวังว่ากริชของตนจะไวกว่า ‘ทันที’ ของท่านอา แต่เมื่อครู่ก็ประจักษ์แล้วว่าเป็นไปไม่ได้
เพียงเท่านั้นยังไม่พอ
กับดักต้องซับซ้อนกว่านี้
อาเมียร์แสร้งขยับดาบยาวติดขัด แทบไม่ใช้อาวุธในมือขวาโจมตีหรือปัดป้อง ราวกับหวังพึ่งกริชในมือซ้ายแทนที่ เมื่อครู่ คู่ต่อสู้ย่อมเห็นว่าแขนขวาของเขารับแรงกระแทกเข้าไปด้วยตอนป้องกันกะทันหัน ย่อมไม่แปลกที่จะได้รับบาดเจ็บ
...กลยุทธ์เสือลำบาก...
ท่านอาวาดดาบขึ้น...ชายหนุ่มฉากหลบ ครั้นแล้วก็รีบพลิ้วกายเข้าไปโดยเร็ว ในขณะที่อีกฝ่ายฟาดดาบลงตามกระบวนหมาป่าสะบัดเขี้ยว
เข้าวงใน
อาเมียร์ชิงความได้เปรียบคืนมาด้วยกริช ซึ่งมีความเร็วและคล่องตัวกว่า ครานี้ซิอ์บุลกลับเป็นฝ่ายปัดป้อง ขณะที่ผู้อ่อนวัยกว่าตามรุกอย่างไม่ขาดช่วง ไม่เปิดโอกาสให้ถอยห่าง ทำทีเป็นเร่งร้อนเผด็จศึก...ก่อนอาการบาดเจ็บของตนจะยิ่งถ่วงให้เสียเปรียบไปกว่านี้
ดาบยาวในมือขวามีหน้าที่เพียงสกัดการโจมตี ขณะที่มีดสั้นจ้วงเข้าหวังผล
เสียแต่...ไม่ทันคาดฝ่าเท้าที่สะบัดเข้ามา
ชายหนุ่มรู้ว่าตนกลิ้งหลบไม่ทัน ได้แต่รีบรั้งทั้งสองแขนเข้ามาช่วยกันกระแทก กระนั้นร่างยังแทบลอยไปเกือบวา
เขาเริ่มหอบจริงๆ ก็ตอนรีบตั้งตัวจากการโจมตีเมื่อครู่นั้นเอง
ท่านอาก็คงจะเหนื่อยแล้ว...แต่ยังวัดยาก ว่าขีดจำกัดของร่างกายใครจะมาถึงก่อนกัน เมื่อครู่เขาแอบหวัง...ว่าตนเองสบช่องแล้วจริงๆ ในวงแคบ ทว่าลืมตระหนักไปอีกประการ...ว่าตลอดทั้งร่างกายของหมาป่าทมิฬคืออาวุธ
...ทั้งๆ ที่เราเคยสอนท่านเฟลิมให้หัดใช้เท้าเองแท้ๆ ...
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร สู้จบครั้งนี้ ท่านอาคงบ่นเจ้าเด็กลืมพื้นฐานอย่างเขาเสียโขมงเลยเชียว
แต่นั้นยังไม่ใช่แผนสุดท้าย อาเมียร์ยังคงเหลือสิ่งที่ไม่ได้ทดลอง...ซึ่งเขาเก็บแขนขวาไว้เพื่อการนี้ ชายหนุ่มรับพลางถอยพลาง เน้นอาการหอบของตน...และดาบยาวที่ขยับติดขัด มุ่งอาศัยกริชในมือซ้าย ทำทีเป็นหาจังหวะเข้าวงในอีกครั้ง
เป็นดาบหมาป่าสะบัดเขี้ยวต่างหากที่ลงมาก่อน จากทางซ้าย
อาเมียร์ก้าวเบี่ยงซ้าย กริชแทงสวนออกไป...ขณะที่ซิอ์บุลเอี้ยวตัวหลบไปทางขวา พร้อมกับพลิกดาบ ปัดคืนในท่าเหยี่ยวทะยานฟ้า
ชั่วเสี้ยววินาที ดูเหมือนกริชนั้นจะพลาดเป้า และชายหนุ่มจำต้องถอยหรือปัดป้องดาบโค้งที่ฟันเฉียงตรงมา...ทว่าเขาไม่ทำทั้งสองอย่าง
เป็นแขนขวาซึ่งควรบาดเจ็บต่างหากที่ขยับรวดเร็ว ส่งปลายดาบไปพาดข้างบ่าของคู่ต่อสู้ พร้อมกันนั้นก็เกร็งร่าง เตรียมรับดาบโค้งซึ่งอาจยั้งแรงไว้ไม่ทัน
จากนั้นก็...วัดดวง ว่าอาวุธของใครเข้าถึงจุดตายก่อนกัน ในสายตาของผู้ตัดสิน
* * * * *
ซิอ์บุลยังมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่แปรเปลี่ยน เมื่ออาวุธของเขากับคู่ต่อสู้นิ่งค้าง...ก่อนหน้าเจ้ามณฑลยาร์ลาธจะประกาศยุติการต่อสู้
คมดาบของอาเมียร์จ่ออยู่ริมคอของอดีตนักรบ ส่วนคมดาบของเขาเองค้างอยู่ข้างชายโครงขวาของอีกฝ่าย ห่างผิวเนื้อเพียงชั่วข้อนิ้ว กระทั่งแลดูเหมือนเพิ่งรั้งดาบไว้ทันอย่างฉิวเฉียด
ทว่าเจ้าของดาบเองรู้...ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่เวลาที่ควรพูดไป ชายวัยกลางคนจึงค่อยๆ ลดดาบลง ขณะที่อาเมียร์ทำเช่นเดียวกัน และเก็บดาบกับกริชใส่ฝัก รอกรรมการซึ่งเอ่ยขึ้นในไม่ช้า
“ข้าคิดว่า...ดาบของอาเมียร์ถึงตัวท่านซิอ์บุลก่อน แต่หากท่านซิอ์บุลรั้งดาบไม่ทัน แล้ววัดผลแพ้ชนะกันที่ใครยังอยู่รอดจนการต่อสู้จบลง ก็เห็นจะได้ผลแพ้คู่กระมัง” เบเรคเปรยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะปรายตาไปทางลูกชาย กับพระมหาเถระที่ยืนอยู่ข้างๆ “หรือคนอื่นๆ ว่าอย่างไร”
“เร็วจนข้าแทบมองไม่ทัน แต่ดาบอาเมียร์ไปถึงจุดตายก่อนจริงๆ” รูอาร์ครับ ส่วนลูเธียนเพียงพยักหน้า
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น” ซิอ์บุลรับ “เอาเถอะ ข้าไม่ได้คาดแผนแลกกันตายเอาไว้ ถ้าให้นับว่าใครมีลมหายใจอยู่ได้นานกว่ากัน ลูกข้าก็ควรชนะอยู่ดี”
แวบหนึ่ง ชายหนุ่มเหลือบมองเขาอย่างประหลาดใจ คงไม่ทันคาดฝันว่าอดีตนักรบจะยอมรับความพ่ายแพ้อันหมิ่นเหม่ได้อย่างง่ายดาย และเรียบเฉยนัก
“ถึงขั้นยอมเอาชีวิตเข้าแลก ข้าจะไม่ปล่อยให้ไปทำสิ่งที่เขาอยากทำก็คงไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้” ชายวัยกลางคนเอ่ยต่อ พร้อมกับมองเจ้ามณฑลด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ท่านเบเรค...ไม่ทราบว่าเวลานี้ยังมีตำแหน่งว่างในกองกำลังป้องกันมณฑลของท่านไหม ไม่ต้องเป็นถึงหัวหน้าก็ได้”
ผู้ถูกถามดูจะนิ่งอึ้งไปไม่ต่างจากอาเมียร์ แต่ไม่ช้าก็หัวเราะน้อยๆ
“อะไรกัน ยาร์ลาธมีที่ว่างสำหรับผู้มีความสามารถเสมอ ท่านอย่ากังวลไปเลย”
“แต่ท่าน...” ลูกชายของซิอ์บุลเองกลับตั้งท่าจะถามอย่างลังเล “แล้วแม่กับน้องๆ ...”
“ข้าพูดกับแม่ของเจ้าแล้ว หากสถานการณ์เป็นอย่างที่เจ้าบอก เรื่องนี้ก็ใหญ่โตเกินกว่าจะนิ่งเฉยไม่ใช่หรือ” อดีตนักรบแย้ง “ข้าเองยังอยากให้น้องๆ เจ้ามีที่อยู่ในอาณาจักรนี้ อยากฝากตัวไว้กับที่นี่จนผืนดินกลบหน้า ให้อพยพไปเสียก่อน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาที่ไหนอีกดี ...เจ้าคงไม่บอกให้กลับทะเลทราย หรือขึ้นเรือไปอยู่กับพวกบนทวีปทางเหนือเสียหรอกนะ”
อาเมียร์ยังดูไม่ใคร่แน่ใจ แต่ก็พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก
ซิอ์บุลตอบรับคำเชิญของเจ้าของสถานที่ให้อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวัน แต่หลังจากนั้นก็ขอตัวกลับไปในยามบ่าย เพื่อสะสางงานในไร่ที่ยังค้างอยู่ ด้านมาลิอาเองก็ทำทีขอกลับในเวลาเดียวกัน ทว่าหลังจากพูดคุยกับอดีตนักรบเล็กน้อยแล้วก็แยกตัวไปเข้าเมืองเพื่อ ‘เดินเล่น’ เพียงลำพัง โดยที่เขายิ่งกว่ารู้ดีว่าเธอป้องกันตนเองได้ จึงปล่อยไป
ส่วนชายหนุ่มยังคงรั้งอยู่ที่จวน เนื่องจากเจ้ามณฑลบอกว่าในเมื่อได้รับอนุญาตให้อยู่ช่วยแล้ว ก็มีเรื่องที่ควรรีบหารือโดยไว ทว่าเมื่อใกล้เวลาเย็น เขาก็กลับมาร่วมโต๊ะอาหารเย็น เช่นที่ทำเป็นประจำในช่วงหลัง ตั้งแต่ได้รับการปล่อยตัวจากห้องขังในจวน
ชายวัยกลางคนรู้ เวลานี้ลูกชายคงตระหนักถึงคุณค่าของเวลาที่อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวยิ่งขึ้น...ยิ่งเมื่อตัดสินใจจะแยกตัวออกมาเพื่อจุดมุ่งหมายของตน ก็เท่ากับเวลาเช่นนั้นยิ่งลดน้อยลงทุกที แม้อาเมียร์จะยังไม่ใคร่พูดอะไรกับเขาเช่นเดิม ต่อให้ซิอ์บุลตั้งใจไว้แล้วว่าจะคอยอยู่เป็นกำลังให้เขากับธีร์ดีเรเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีผู้เริ่มต้นพูดก่อน ในเวลาซึ่งถึงอย่างไรก็มีเพียงจำกัดนี้ไม่ใช่หรือ
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ช่วงนี้คนเขียนกำลังโดนสารพัดงานรุมเร้า บวกกับเจอฉากสู้ครั้งทิ้งท้ายของภาค เลยรู้สึกอยากทุ่มกับฉากนี้ให้เต็มที่อยู่เหมือนกัน ทั้งศึกกลางคืน และศึกกลางวันด้วย โดยเฉพาะศึกหลังเป็นของที่ไม่ถนัดอย่างรุนแรง ก็ได้พี่ Dark Master เป็นผู้แนะนำคิวบู๊ตามเคยครับ ^^a
เทียบกับฉากสู้ครั้งอื่นๆ แล้วไม่รู้ว่าละเอียดจนช้าเกินไปหรือเปล่า ก็อาจจะลองดูตอนรีไรท์อีกทีครับ
ที่จริง ตอนนี้ตั้งใจจะให้จบที่พ่อลูกเปิดอกคุยกัน แต่นึกดูอีกทีจะยาวไป เลยยกยอดไปไว้ตอนหน้าแทน แล้วพบกันใหม่ในตอนสุดท้ายของภาค "เจ้าชายแห่งความมืดกับเจ้าหญิงแห่งความฝัน" นะครับ :)
ป.ล. ดาบโค้งของซิอ์บุล ได้ต้นแบบมาจากดาบ Shamshir ดูตัวอย่างจากคลิปข้างล่างได้เลยครับ
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ม.ค. 54 23:02:17
|
|
|
|