Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หมอก (มือใหม่หัดเขียนช่วยแนะนำผมด้วยครับ) ติดต่อทีมงาน

มีเรื่องราวอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายและให้เหตุผลที่ชัดเจนแก่ผู้คนที่ขี้สงสัย ดังเช่นสิ่งที่
เราพบเห็นและรู้จักกันดี คือมหาสมุทร พื้นที่มากมายที่มนุษย์ไม่อาจย่างกายเข้าไปถึง สัตว์หลากหลายสายพันธุ์ที่
นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่ามันมีอยู่จริงบ้างก็ว่าเกิดจากจินตนาการ ของนักเดินเรือที่เปลี่ยวเหงาได้แต่งเรื่องราวขึ้นมาเผื่อคลาย
ความเหงา แต่มีนักเดินเรือหลายต่อหลายคนได้อธิบายถึงเรื่องราวเหล่านี้ตรงกันอย่างมากแม้จะอยู่คนละยุคคนละสมัยก็
ตามแต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์บางคนที่มุ่งมั่นหาคำตอบเหล่านี้ หนึ่งในนั้นคือ ดร ณัฐพล ผู้ที่คลั่งไคล้เรื่องราวลึกลับของ
มหาสมุทร เขาและทีมงานอีกสามคนเชื่อมั่นในสิ่งที่พวกเขาทำแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง วันนี้ ดร ณัฐพล และ
ลูกทีมของเขาเตรียมออกทะเลครั้งที่ยาวนานที่สุดพวกเขาทั้งสี่หวังจะทำฝันให้เป็นจริงสักครั้งก่อนตาย ด้วยเครื่องมือที่
ทันสมัยและความชำนาญของลูกทีมที่พกความเชื่อมั่นมาเต็มกระเป๋า มุ่งสู่ทะเลที่อันตรายน่านน้ำที่ห่างไกลและอาจจะเป็น
ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ทำงานร่วมกัน ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็เตรียมตัวและเตรียมใจที่จะทำ

เรือแล่นออกสู่ทะเลอันแสนกว้างไกลไร้ขอบเขตตอนนี้ห่างไกลจากชายฝั่งมาหลายกิโลเมตร กฤษณะ และ
ธนาธิป นั่งคุยกันอยู่บนด่านฟ้าของเรือกำลังแลกเปลี่ยนความรู้ของมหาสมุทร เขาทั้งคู่ดูจะเข้ากันได้ดีเป็นเพื่อนที่เรียนมา
ด้วย ถึงแม้ว่ากฤษณะจะเป็นนักวิทยาศาสตร์แต่เขาดูเหมือนนักผจญภัยเสียมากกว่าเขาชอบเดินทางหาความรู้ใหม่ๆสำรวจ
พื้นที่ที่ลึกลับต่างๆบนโลกแต่ธนาธิปนั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านฟิสิกส์จริงๆเขามักจะพูดเรื่องวิชาการเสมอ ณัฐพลกับธ
นาธิป ดูจะเป็นคู่กัดกันมากกว่าแต่พวกเขาก็ทำงานมาด้วยกันตลอดเวลาหลายปี ความเห็นที่แตกต่างของ ณัฐพล และธนาธิป
เป็นเรื่องที่ดีเพราะนั่นคือแหล่งความรู้ที่สำคัญ และอีกหนึ่งคนที่ทำหน้าที่บังคับเรือและทำแทบทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรือลำนี้คือ
ธวัชชัย เขาเป็นเหมือนกัปตันบนเรือขนาดกลางลำนี้ ไม่ว่าซ่อมเรือดูทิศทางจากดาวบนท้องฟ้า หรือแม้กระทั่งการเช็คสภาพ
อากาศของมหาสมุทร ธวัชชัยจะเป็นคนดำเนินการแทบทั้งสิ้น พวกเขาทั้งสี่คนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนนั่นทำให้พวก
เขาทำงานเข้ากันได้ดีแม้บางครั้งจะมีเรื่องที่ต้องถกเถียงกันก็ตาม

หลังจากที่ออกจากฝั่งมา นี่ก็เป็นวันที่ห้าแล้วที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในมหาสมุทรสภาพอากาศดีเยี่ยมพวกเขายังไม่
เจอกับอันตรายใดๆและพวกเขาขอให้มันเป็นแบบนั้น  ณัฐพล นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านท้ายของลำเรือพร้อมด้วยถ้วยกาแฟ
และม้วนกระดาษขนาดใหญ่ ณัฐพลกลางม้วนกระดาษออกแล้ววางถ้วยกาแฟทับอีกด้านของกระดาษ กระดาษแผ่นนั้นคือ
แผนที่แสดงความลึกของมหาสมุทร เขาวงจุดที่สำคัญๆไว้สามแห่ง แต่ละแห่งจะมีเรื่องราวลึกลับเกี่ยวกับมหาสมุทรทั้ง
ทะเลดูด รายงานการพบสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ และอื่นๆ แต่ที่เขาอยากลองไปพิสูจน์มากที่สุดคือสถานที่ที่มีชาวประมง
กล่าวว่าเขาพบเมืองใหญ่กลางทะเล มันไม่น่าจะใช่แอตแลนติสในตำนานหรอกเพราะที่นี่คือมหาสมุทรแปซิฟิก ชาวประมง
ถูกกล่าวหาว่ามีสภาพผิดปกติทางจิตไม่มีใครเชื่อเขาแต่กับ ณัฐพล เขาอยากลองไปให้เห็นกลับตา ณัฐพลนั่งจิบกาแฟพลาง
กวาดสายตามองไปยังที่อันกว้างใหญ่ไพศาลกลางทะเลนั้นทำให้จิตใจเขา รู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่มีวันสิ้นสุดไม่ว่าจะมองออกไป
ทางไหนมันก็มีแต่สีน้ำเงินเข้มของมหาสมุทร  แล้ว กฤษณะ ก็เขามาขัดจังหวะความคิดของณัฐพล

“ดูเหมือนว่าตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าเข้าหาพายุลูกใหญ่นะ” กฤษณะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ผมเห็นแต่ฟ้าโปร่งๆ ไม่น่าจะมี
พายุแถวนี้นะเพื่อน” ณัฐพลตอบแบบคนคุ้นเคย  “ก็นายมองอยู่ด้านหลังนะสิ นายลองไปดูที่หัวเรือก็รู้เอง”

“ผู้โดยสารโปรดทราบ ตอนนี้ผมกำลังพาพวกคุณมุ่งหน้าสู่ทะเลแห่งความมืด กรุณาเข้าไปอยู่ข้างในเถอะสหายที่รัก” เสียง
ธวัชชัยกล่าวออกมาทางวิทยุ    แล้วฝนก็เริ่มตกคลื่นเริ่มรุนแรงขึ้น ท้องฟ้ารอบด้านเริ่มมืด เรือโคลงไปมาเหมือนกับโดน
อสุรกายจากท้องทะเลจับเหวี่ยง ธนาธิป นอนอ่านหนังสืออยู่ในห้องประจำตัวอย่างสบายใจเพราะเขาและกฤษณะต่างก็
คุ้นเคยกับสภาพอากาศแบบนี้ดี แถมยังมีกัปตันเรือที่มีประสบการณ์การเดินเรือที่ยอดเยี่ยมอย่าง ธวัชชัย นั่นเลยทำให้
ธนาธิปหมดกังวลเรื่องความปลอดภัย แต่คลื่นทะเลที่คุ้มคลั่งก็กำลังถาโถมใส่เรืออย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับอสุรกายกำลัง
จะกลืนกินเรือลำนี้  ถัดไปห้องข้างๆ คือห้องของกฤษณะนักวิทยาศาสตร์ที่รักการผจญภัย กำลังวุ่นวายอยู่กับเครื่องมือ
วิทยาศาสตร์ของเขาซึ่งใช้งานอย่างยากลำบากในสภาพการณ์อย่างนี้ กฤษณะ ตัดสินใจวางเครื่องมือไว้บนเตียง แล้วเดิน
โซเซออกจากห้องมุ่งหน้าไปห้องบังคับการ ซึ่ง ธวัชชัย กำลังทำหน้าที่ของเขาอย่างดีเยี่ยม กฤษณะ มาถึงห้องบังคับการก็
เห็น ดร ณัฐพล กำลังจับพวงมาลัยเรืออยู่แทนที่จะเป็น ธวัชชัย

“นี่นายเปลี่ยนอาชีพแล้วเรอะ” กฤษณะ พูดแซวเล่น “บ้าเอ้ย!! ถ้าไม่ช่วยก็อย่ามากวนกันซิ” ณัฐพลตอบอย่างหงุดหงิด

“แล้วกัปตันเราไปไหน”

“ดูเหมือนว่าจะออกไปซ่อมอะไรบางอย่างข้างนอกนั่น”

“เดี๋ยวฉันออกไปดูเอง นายขับเรือของนายไปเถอะ”  กฤษณะ เดินโซเซออกมานอกลำเรือ เขาพบเข้ากับสภาพอากาศที่แย่
กว่าที่เขาคิดไว้เยอะ คลื่นซัดเข้ามาบนเรือทำให้ข้าวของกระจัดกระจาย กฤษณะ ปีนขึ้นไปด่านฟ้าที่อยู่ด้านบนสุดของเรือเขา
เห็น ธวัชชัยกำลังวุ่นวายอยู่กับเสาส่งสัณญาณที่ล้มลง “นายทำอะไรของนายหนะเพื่อน”  กฤษณะตะโกนถาม

“มาช่วยกันหน่อย”  พวกเขาทั้งคู่ช่วยกันตั้งเสาอากาศอีกครั้งแต่ความพยายามของทั้งคู่ล้มเหลวเพราะคลื่นและลมที่กระหน่ำ
เข้าใส่อย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ทั้งคู่ต้องยอมแพ้และกลับเข้ามาภายในของเรืออย่างยากลำบาก

เวลาผ่านไปสี่ชั่วโมงหลังจากที่พายุกระหน่ำ ตอนนี้มันเงียบสงบลงแล้วรอบๆด้านคือทะเลที่เงียบสงบราวกับว่า
เมื่อหลายชั่วโมงก่อนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ความเสียหายของเรือที่ได้รับหลังจากฝ่ามรสุมมายืนยันได้ดีว่าเมื่อครู่เกิดพายุลูก
ใหญ่ถึงแม้จะเป็นเรือที่ลำใหญ่พอสมควรแต่มีลูกเรือเพียงสี่คนจึงทำให้การดูแลความเรียบร้อยบนเรือเป็นไปได้ยากลำบาก
และส่วนใหญ่จะเป็นนักวิชาการทั้งสิ้น มีเพียงกัปตันเรือคนเดียวที่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรือดีที่สุด กัปตันเรือและ ดร ณัฐพล
สังเกตเห็นกลุ่มหมองหนาสีออกเขียวๆอยู่ห่างจากพวกเขาไปประมาณ3กิโลเมตร กัปตันตัดสินใจเรียกลูกเรือทั้งหมดมา
รวมกันอยู่ที่ห้องบังคับการ เมื่อทั้งหมดมาอยู่พร้อมหน้ากัน กฤษณะ ก็ถามขึ้นว่า “นี่เราอยู่ที่ไหนกัน แล้วหมอกน่าสยอง
ขวัญนั่นมันคืออะไร”  กัปตันตอบไปอย่างตรงๆว่า ตอนนี้ไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน ตัวบอกพิกัดมันโดนพายุทำพังเสียหายอย่าง
หนัก แถมยังวิทยุขอความช่วยเหลือก็ใช้การไม่ได้  ธนาธิป สังเกตเห็นความผิดปกติบนนาฬิกาข้อมือของเขา เขาวิ่งกลับไปที่
ห้องทิ้งชายทั้งสามยืน งง อยู่กับเหตุการณ์เบื้องหน้า แล้วธนาธิปก็กลับมาด้วยความรวดเร็วพร้อมทั้งอุปกรณ์บางอย่างในมือ
เขาเปิดมันขึ้นแล้วก็ต้องตกใจสุดขีด ชายทั้งสามหันมามอง ธนาธิป แล้ว ณัฐพลก็ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น” ธนาธิปหันจอ
ของอุปกรณ์นั้นให้ดูแต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ ธนาธิปยื่นนาฬิกาข้อมือให้ดู ทั้งสามคนมองนาฬิกาด้วยความ งุนงง แล้วธ
นาธิปก็อธิบายว่าหมอกนั่นมีพลังงานของสนามแม่เหล็กสูงมาก อาจจะสูงกว่าดินแดนลึกลับอย่างสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็ได้
กัปตันคุณรู้ไหมว่าเราอยู่ที่ไหน ธนาธิปถามด้วยความสงสัย  “ผมไม่รู้หรอกว่าเราอยู่ที่ไหนทะเลมันก็เหมือนๆกันหมด ต่อ
ให้ผมใช้ทั้งชีวิตอยู่ในทะเลผมก็ตอบคุณไม่ได้หรอก” กัปตันตอบ และตอนนี้เราก็กำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาหมอกนั่นด้วยราว
กับว่ามันกำลังดูดเราเข้าไป  แล้วเรือก็หายลับเข้าไปในหมอกอย่างลึกลับพวกเขาทั้งสี่รู้สึกถึงอาการแน่นหน้าอกอย่างอธิบาย
ไม่ได้ ณัฐพลทรุดตัวลงเขารู้สึกถึงแรงกดมหาศาลที่กดลงมาบนตัวเขาแล้วก็เริ่มมีอาการคลื่นไส้เขาล้มลงนอนกับพื้นไร้ซึ่ง
เรี่ยวแรง ทุกคนบนเรือตอนนี้สลบไปหมดแล้ว ยกเว้นณัฐพลที่พยายามควานหาตัวเพื่อนๆของเขาภาพใต้หมอกที่หนาทึบ
แล้วณัฐพลก็คว้าไปโดนแขนของ ธนาธิป ณัฐพลพยายามคลานเข้าไปใกล้เขามองไปที่นาฬิกาข้อมือของ ธนาธิป แล้วก็ต้อง
ตกใจอีกครั้งเมื่อเข็มนาฬิกาแกว่งไปมาในทิศทางซ้ายและขวาแล้วทั้งเรือก็เงียบกริบไร้ซึ่งเสียงใดเรือแล่นตัดหมอกไปอย่างช้าๆ

แรงกระแทกของเรือทำให้ ณัฐพล ตื่นขึ้นด้วยอาการ มึนงง สับสน และทุกคนก็รู้สึกตัวไปด้วยพวกเขาช่วยกันพยุง
ตัวให้ยืนขึ้น เมื่อตั้งหลักได้ ณัฐพลก็เดินออกไปสำรวจสภาพการณ์ด้านนอก ตอนนี้เรือแล่นผ่านหมอกมาไกลแล้วแต่ยังเห็น
ได้อยู่ลิบๆไปหมดแล้วเขายังอดสงสัยไม่ได้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนบนโลกกันแน่ ลูกทีมทั้งสามเดินตามออกมา ธวัชชัย
บอกข่าวร้ายกับกับทุกคนว่า เรือคงมาเกยอยู่บนแนวปะการังทำให้ไม่สามารถไปไหนได้จนกว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ กฤษณะ
สังเกตเห็นบางอย่างในน้ำทะเล มันคือฝูงปลาขนาดใหญ่แต่ที่สำคัญคือ ปลาพวกนี้สูญพันธุ์จากโลกไปนานกว่าล้านปีแล้วแต่
มันกับมาอยู่ในทะเลแถบนี้เป็นฝูง กฤษณะเรียก ธนาธิปมาดูเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะมีวันเป็นจริง ธนาธิป ยืนอึ้งไปชั่วครู่ แล้ว
ณัฐพลก็เรียกทีมงานทั้งหมดมาดูภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าปลาทะเลที่น่าจะสูญพันธุ์ไปนานแล้ว “ดูนั่น” ณัฐพลชี้ไปที่สุดเส้นขอบ
ฟ้า “นั่นมันอะไรกัน”  ใครคนนึงพูดขึ้น น่าจะเป็นเกาะหรืออะไรสักอย่างที่มันใหญ่มากๆ  “ผมอยากขึ้นไปบนเกาะนั้น” ณัฐ
พลพูดขึ้น นั้นเอาเรือเล็กขึ้นไปแล้วกันเดี๋ยว ผมจะลองหาวิธีเอาเรือออกจาก แนวปะการังตรงนี้  ทั้งสามคนเอาเรือยนต์เล็ก
มุ่งหน้าตรงไปเกาะและทิ้งธวัชชัยให้แก้ปัญหาอยู่เพียงลำพัง  เมื่อเรือแล่นมาได้ระยะหนึ่งภาพเบื้องหน้าก็ชัดเจนขึ้น ทั้งสาม
คนบนเรือตกต้องตะลึงจนไม่เชื่อสายตาตัวเอง ที่นั่นคือมหานครขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลอันแสนกว้างใหญ่
มหานครนั้นดูเก่าแก่ ถูกทิ้งร้างต้นไม้ขึ้นรกเต็มไปหมด แสดงถึงการขาดความดูแล  เมื่อเรือมาถึงที่หมาย ณัฐพลลงจากเรือ
เป็นคนแรก เขาเดินสำรวจรอบๆแล้วหันมาบอกกับ ธนาธิปและกฤษณะ “ว่าที่นี่ไม่น่าจะมีคนอยู่นะ” แล้วทั้งสามคนก็รวม
หัวกันคิดเรื่องรามที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่ทำให้มาพบดินแดนประหลาด

“ลองคิดดูนะ เราออกจากฝั่งมาประมาณห้าวันกว่าๆ แล้วเจอเข้ากับพายุทำให้อุปกรณ์นำร่องเสียหายแล้วพวกเราก็สลบไป
จนเรือมากระแทกกับแนวปะการัง และก็พบที่นี่ อันที่จริงมันไม่น่าจะมีเกาะนี้ตั้งอยู่บริเวณนี้” ธนาธิปพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่
จริงจัง  “ผมเห็นด้วยนะ เราออกมากลางมหาสมุทรที่เป็นทะเลเปิดขนาดนี้ไม่น่าจะมีเกาะนี้อยู่จริงๆ” กฤษณะแสดงความ
คิดเห็นเพิ่มเติม

“เดี๋ยวก่อนนะ ตอนที่ผมกำลังจะสลบไป” ณัฐพลเว้นวรรคแล้วจับไปที่ข้อมือของ ธนาธิป เพื่อดูนาฬิกา

“ดูนี่สิ นาฬิกาของนายเสียรึเปล่า”

“ไม่มีทาง แต่มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้” ธนาธิปแย้งขึ้น

“ก่อนเราจะมาถึงที่นี่ นายว่านายวัดพลังงานของสนามแม่เหล็กได้นี่ อธิบายให้ฟังบ้างสิ” กฤษณะ พูดขึ้น

“ได้อยู่แล้ว” ธนาธิปพูดขึ้น พวกนายจำได้สินะก่อนที่เราจะสลบไปฉันวัดพลังงานของสนามแม่เหล็กได้มหาศาลเลยล่ะ
พวกนายคงเคยได้ยินเรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ที่ว่า สนามแม่เหล็กทำให้เครื่องบินและเรือต่างๆหลงทิศเป็นเหตุให้เกิด
อุบัติเหตุสยองขวัญ ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเรือและเครื่องบินหลายลำหายไปไหน จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครหาข้อสรุปดีๆได้
พวกเราก็น่าจะโดนแบบเดียวกัน

“มีอีกเรื่องนะ” ณัฐพลพูดแทรกขึ้น มันเป็นเรื่องการทดลองของอเมริกาในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ชื่อว่า การทดลองลับ
ฟิลาเดลเฟีย  มีคนเล่าว่าพวกเขาสามารถทำให้เรือรบหายไปทั้งลำ แล้วก็ไปโพล่อีกที่โดยไม่รู้สาเหตุหรือที่เรียกว่า วาร์ป
เหตุการณ์นี้ทำให้ทหารเรือหลายนายหายตัวไป บางคนที่รอดมาได้ก็บอกว่าตัวเขาเองได้ข้ามเวลาไปอยู่ในโลกอนาคตอีก สี่
สิบปีข้างหน้า บางคนก็เป็นบ้าไปเลย

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้” กฤษณะพูดแทรกขึ้นมา

“ฟังให้จบก่อนสิ” ณัฐพลพูดย้อนกลับไป นักวิทยาศาสตร์ที่คิดทฤษฎีนี้คือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สาเหตุที่ทำให้เรือหายไปได้
ก็คือ ใช้เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ติดตั้งบนเรือรบ พลังงานบนสนามแม่เหล็กจะรวมเข้ากลับแรงโน้ม
ถ่วงบนโลก ทำให้เรือลำนั้นเดินทางข้ามเวลาได้ ไม่แน่นะ ทฤษฎีของ ไอน์สไตน์อาจจะเป็นจริงก็ได้

“นั้นก็แสดงว่าเราเดินทางข้ามเวลามาละสิและถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราจะกลับบ้านกันด้วยวิธีไหน”กฤษณะด้วยความกังวลใจ

“เราอาจจะเดินทางข้ามเวลามาหรือไม่ก็ติดอยู่ในช่องว่างของเวลา” ณัฐพลตอบ พลางยก นาฬิกาของ ธนาธิปขึ้น ลองดูนี่สิถ้า
เราเดินทางย้อนเวลามาหรือข้ามไปในอนาคต นาฬิกาก็น่าจะใช้ได้ตามปกติ แต่นี่มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เรามาถึงมันไม่กระดิก
ไปไหนเลยเข็มมันส่ายไปมาซ้ายขวาอยู่แบบนี้มาตั้งนานแล้ว เราอาจจะไม่มีทางกลับออกไปจากที่ได้

“แล้วนายไม่สงสัยบ้างหรอว่า สิ่งปลูกสร้างใหญ่โตเช่นนี้มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ธนาธิปพูด

“ลองเข้าไปดูด้านในกันเถอะ”

พวกเขาทั้งสามเดินผ่านพุ่มไม้ที่ขึ้นหนาตา ต้นหญ้าที่ขึ้นสูงทำให้วิสัยทัศน์ไม่ค่อยดีเมื่อบุกฝ่าดงหญ้ามาได้ ธนาธิปและณัฐ
พล สังเกตเห็นกฤษณะ ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่เบื้องหน้าห่างไปสักสิบก้าว นายเป็นอะไรของนาย ณัฐพลตะโกนถาม แต่เขาก็ยัง
ยืนนิ่งทั้งคู่จึงรีบเข้าไปดู ธนาธิปและณัฐพล ยืนนิ่งไปด้วย “พวกนายเคยเห็นอะไรแบบนี้บ้างไหม”กฤษณะถามด้วยน้ำเสียงที่
ดูราวกับว่าต้องมนสะกด “ถ้าฉันไม่ฝันฉันก็ต้องตายไปแล้วแน่ๆ” ธนาธิป พูดขึ้น ที่นี่มันมีทุกอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจ
อธิบายได้พวกนายดูนั่นสิ นั่นมันเรือที่หายไปบริเวณ ทะเลซากัสโซ่ แล้วนั่นเครื่องบินลำนั้นที่หายไปบริเวณสามเหลี่ยม
เบอร์มิวด้า และเมืองพวกนี้มันดูคุ้นมาก ใช่นั่นมันกำแพงที่ถูกสร้างด้วยทองคำ วิหารต่างๆถูกสร้างด้วยเงิน ตามที่เพลโตเคย
เขียนไว้เลย ดินแดนแห่งนี้คือ แอตแลนติส พวกเขาเดินผ่านกำแพงทองคำขนาดมหึมาเข้าไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปยังวิหารที่
สร้างด้วยเงิน เมื่อทั้งสามคนเข้ามาในวิหาร พวกเขาก็เข้าใจสิ่งที่เพลโตได้อธิบายเกี่ยวกับ แอตแลนติส ว่ามีวิวัฒนาการมาก
เพียงใด พวกเขาเป็นต้นกำเนิดของวิทยาศาสตร์โดยแท้ “พวกนายมาดูนี่สิ” กฤษณะพบเข้ากับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งอยู่ในหีบ
ที่เต็มไปด้วยเอกสารที่เขียนเกี่ยวกับแผนผังเมืองที่ดูคล้ายๆพิมพ์เขียว “สมุดบันทึกเล่มนี้ทำไมเหมือนถูกเขียนโดยคนยุคของ
พวกเราเลยล่ะ” ธนาธิปสงสัย ดูหน้านี้สิเขาเขียนว่า “เช้าวันธรรมดาของผม ผมนั่งตกปลาอยู่บนเรือของผมพร้อมด้วยลูกเรือ
อีกสี่คน อยู่ดีๆก็เกิดพายุขึ้นโดยไม่มีสัณญาญเตือน และทันทีที่พายุสงบลงพวกเราก็พบกับหมอกสีเขียวเข้มมันดูดเราเข้าไป
ลูกเรือทั้งหมดสลบรวมทั้งผม พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเรือเราก็มาเกยอยู่บนฝั่ง ทีแรกพวกเราคิดว่าพวกเราคงสลบไปจนเหลือไป
เกยเข้าฝั่งที่ใดที่หนึ่ง แต่ที่แห่งนี้ไม่เหมือนที่อื่นมันเป็นมันเป็นดินแดนที่สาบสูญ พวกเราสำรวจที่นี่และพบของลำค่า
มากมายด้วยความโลภหวังจะเอาสมบัติและหลักฐานพวกนี้ไปพิสูจน์ในโลกของเรา แต่พอเรากลับออกมาหมอกสีเขียวได้
จางหายไปแล้ว พวกเราคิดแค่ว่าจะออกเรือไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบหมอกสีเขียวแต่ไม่ว่าเราจะออกทะเลไปไกลแค่ไหนก็ต้อง
มาเกยบนฝั่งที่นี่เสมอ ทางเดียวที่จะออกไปจากที่นี่ได้คือผ่านหมอกสีเขียวนั่นไป ใครได้อ่านบันทึกเล่มนี้ก็โปรดจงออกจาก
ที่นี่ก่อนจะสายเกินไป” เมื่อธนาธิปอ่านจบเขาหันมาสบตากับเพื่อนทั้งสอง “เก็บหีบแล้วออกจากที่นี่กันเถอะ” กฤษณะพูด


ทั้งสามช่วยกันยกหีบกลับมาด้วยแล้วรีบเร่งไปที่เรือเล็ก แต่ณัฐพลสะดุดตาเข้ากับบางอย่าง “ดูนั่น!! ขวามือของพวกนาย”
แม้แต่ยานพาหนะที่ล้ำสมัยที่พวกเราคุ้นเคยกันในชื่อของ UFO ก็มาจบลงในที่แห่งนี้ “ชั่งมันเหอะ เรารีบไปก่อนจะสายเกิน
ดีกว่า” กฤษณะพูดพลางวิ่งเหยาะๆไปที่เรือเล็กเพื่อจะติดเครื่องยนต์รอ เพื่อนทั้งสองที่กำลังขนหีบกันอย่างรีบเร่ง พวกเขายก
หีบไว้บนเรือแล้วกระโดดขึ้นตามมา กฤษณะ ผลักหัวเรือออกสู่ทะเลแล้วกระโดดขึ้นตามแล้วทั้งหมดก็มุ่งหน้ากลับไปยัง
เรือใหญ่ที่ลอยติดแนวประการังอยู่นอกชายฝั่ง เมื่อกลับถึงที่เรือพวกเขาทั้งสามตกตะลึงกับสภาพเรือที่เหมือนมีแรดทั้งฝูงวิ่ง
ชนข้างลำเรือทั้งหมดรีบขึ้นไปดู กฤษณะ แลเห็นธวัชชัยนอนแน่นิ่งไร้สติอยู่บนด่านฟ้าเรือพร้อมปืนฉมวกที่ตกอยู่ข้างๆ
กฤษณะวิ่งไปดูด้วยความเป็นห่วงเพื่อน เขาร้องเรียกชื่อธวัชชัยพร้อมกับเขย่าตัว ธวัชชัยลืมตาขึ้นด้วยความงุงงง “เกิดอะไร
ขึ้นที่นี่” กฤษณะถาม แล้วณัฐพลกับธนาธิปก็เดินมาสมทบพร้อมทั้งวางหีบลงข้างๆ ธวัชชัยมองหน้าพวกเขาตอนนี้ดูเหมือน
ธวัชชัยกำลังสับสนเขายกมือทั้งสองขึ้นมาจับที่ศรีษะ “เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ฉันเห็นเหมือนเรือถูกชน”กฤษณะ ถามอีกครั้งด้วย
น้ำเสียงที่หนักแน่นมากขึ้น  เอ่อ ก็ไม่รู้สิ ตอนแรกฉันก็พยายามจะเอาเรือออกจากที่แถวนี้แต่อยู่ดีๆก็เหมือนมีตัวอะไรพุ่งเข้า
ชนเรืออย่างแรง ราวกับว่าสตาร์ทเครื่องยนต์เรือแล้วทำให้มันโมโห ฉันก็เลยหยิบปืนฉมวกออกมาหวังจะฆ่ามันให้ได้แต่ตัว
มันใหญ่มากของพวกนี้ทำอะไรมันไม่ได้เลยและเหมือนว่ามันจะชนเราจนเรือหลุดจากแนวประการัง “ฉันว่ามันเป็นเต่านะ
แต่แค่มันตัวใหญ่มาก”เมื่อธวัชชัยอธิบายจบ ก็มีเสียงน้ำทะเลแตกกระจายอยู่ข้างลำเรือตรงที่เกิดเหตุ “รีบออกไปจากที่นี่กัน
เถอะ”ธนาธิปพูดขึ้น ณัฐพลและกฤษณะช่วยกันพยุงธวัชชัยขึ้น และรีบตรงไปยัง

ห้องบังคับการ ธวัชชัยพยายามจะติด
เครื่องยนต์เรือด้วยอาการที่ยังมึนอยู่ เมื่อเครื่องยนต์ติดธวัชชัยก็เดินเครื่องเต็มกำลัง ณัฐพลบอกเป้าหมายที่จะไปนั่นก็คือ
หมอกที่พวกเขาผ่านเข้ามา เรือแล่นมาได้สักพักโซน่าร์ ก็ตรวจพบสิ่งประหลาดที่กำลังตรงเข้ามาหาเรือของพวกเขา ธวัชชัย
รีบบอกให้ทุกคนหาที่ยึด ทุกคนทำตามด้วยความสงสัยแล้วทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นทางด้านท้ายของเรือ ทุกคนบนเรือ
ล้มกลิ้งระเนระนาด ทุกคนพยายามลุกขึ้นแต่ไม่ทันได้ยืนเจ้าสัตว์ลึกลับนั่นก็กระแทกเข้ามาอีกเป็นรอบที่สอง ทุกคน
พยายามลุกขึ้นอีกแต่คราวนี้ระวังตัวมากกว่าเดิมมันกระแทกเข้ามาอีกเป็นรอบที่สามและสี่ไปเรื่อยๆจนเครื่องยนต์เรือดับ
แล้วมันก็เงียบไป ทุกคนสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเรือลำนี้จะไม่ใหญ่เท่าเรือส่งสินค้าแต่ก็นับว่าใหญ่มากถ้าเทียบกับเรือ
ขนาดกลางอีกทั้งยังมีความแข็งแรงและทนทานสูงแต่เจ้าสัตว์ลึกลับใต้ทะเลกับทำให้เรือเสียหายได้อย่างน่ากลัว “ดูหมอก
นั่นสิ เหมือนมันเริ่มจางแล้วนะ” ธนาธิปพูดขึ้น กฤษณะรู้ดีว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้จะจู่โจมเมื่อมีมันได้รับแรงสั่นสะเทือนของน้ำ
ทะเลหรือเรียกง่ายๆว่ามันมีประสาทรับรู้ที่ไวมาก กฤษณะจึงคิดหาวิธี เขาวิ่งออกไปนอกห้องบังคับการ กวาดตามองว่า
พอจะมีอะไรช่วยได้กฤษณะเห็นเรือเล็กสองลำใช้สำหรับกู้ชีพยามจำเป็นที่ขับเครื่องด้วยเครื่องยนต์ “นี่น่าจะช่วยได้”
กฤษณะ พูดกับตัวเองเบาๆ  เขาส่งเรือเล็กทั้งสองลำลงน้ำ “อย่าพึ่งติดเครื่องเรือนี้นะ”กฤษณะตะโกนออกไป กฤษณะ
กระโดดลงไปในเรือเล็กลำหนึ่ง แล้วจัดการกับคันเร่งของเรือเอาเชือกมัดเพื่อให้คันเร่งค้างไว้ กฤษณะติดเครื่องยนต์ลำแรก
เรือพุ่งออกไปในทันที กฤษณะ กระโดดข้ามไปยังเรือเล็กอีกลำ ยังไม่ทันได้ทำอะไรกับเรือลำที่สอง กฤษณะก็เห็นคลื่นทะเล
ลูกหนึ่งแล่นผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว เขาติดเครื่องเรือลำที่สองเอาเชือกมัดคันเร่งเรือเข้ากับพวงมาลัยของเรือให้ตึงที่สุด

เรือแล่นออกไปอย่างรวเร็วแต่คนละทางกับเรือลำแรก กฤษณะ กระโดดออกจากเรือลงน้ำทะเลและรีบว่ายกลับมาที่เรือใหญ่
ธนาธิปและณัฐพลส่งเชือกให้กฤษณะและดึงเขาขึ้นมาบนเรือโดยมีธวัชชัยยืนอยู่ข้างๆ “ฉลาดดีนี่”ธนาธิปชื่นชม   ตูมมมม!!
เสียงน้ำแตกกระจาย เผยให้เห็นสัตว์ตัวโตมีลักษณะคอยาวฟันแหลมคม “นั่นไม่ใช่เต่าแล้วเพื่อน” ณัฐพลพูดด้วยน้ำเสียงที่ดู
กังวล  “นั่นมัน สไตล์โซซอรัส ไดโนเสาร์กินเนื้อ”กฤษณะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้น มันเป็นนักล่าในมหาสมุทรที่น่ากลัว
กว่าฉลามหลายเท่ามากมันโจมตีเรือเรือเล็กลำแรกอย่างไม่มีชิ้นดี   “หมอกนั่นกำลังจะหายไปแล้ว” ธนาธิปพูดด้วยน้ำเสียง
เคร่งเครียด ออกเรือกันเถอะไม่ไกลเท่าไหร่เราก็เข้าหมอกกันแล้ว “ทำไมเราต้องเข้าไปในหมอกนั่นอีก น่ากลัวจะตาย” ธวัช
ชัยยิงคำถามที่คาใจมากนาน ทั้งสามคนลืมไปสนิทว่าธวัชชัยยังไม่รู้เรื่องบนเกาะ “ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้เดินเครื่องเต็ม
กำลังไปที่หมอกบ้านั่นด่วน” ณัฐพลพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด พวกเขาเดินเครื่องเต็มกำลังอีกครั้งโดยมีนักล่ากำลังตามล่าเรือ
เล็กลำที่สองและทันทีที่มันกำจัดลำนั้นเสร็จเป้าหมายของมันก็คงจะมุ่งหน้ามาที่เรือลำนี้แน่นอน ตูมมมม!! เสียงนี้ทำให้ทุก
คนสะดุ้งโหยง พวกเขารู้ดีว่าเรือลำที่สองคงเสร็จมันแล้ว “อีกนิดเดียวน่า” ธวัชชัยพึมพำกับตัวเอง เรือแล่นได้ช้ากว่าที่มัน

ควรจะเป็นเนื่องจากความเสียหายที่สไตล์โซซอรัสได้ทำไว้  “ไม่ทันจะไปถึงหมอกนั่นเรือคงได้พังก่อนแน่ถ้าโดนสไตล์โซ
ซอรัสชนอีกสักสองสามที” ณัฐพลคิด “ต้องทำอะไรซักอย่างบ้างแล้ว” ณัฐพลพูดกับตัวเอง ณัฐพลวิ่งไปที่ห้องครัวเขากลิ้ง
ถังแก๊สออกมาไปยังท้ายเรือ “นายสองคนมาช่วยกันหน่อย” ณัฐพลบอกกับกฤษณะและธนาธิป  พวกเขาทั้งสามวางถังใน
แนวนอนเฉียงขึ้นสี่สิบห้าองศา ก้นถังชี้ออกทะเล แล้วทันใด คอยาวของสไตล์โซซอรัสก็โผล่ขึ้นมากะทันหัน พวกเขาตกใจ
ถึงกับกระโดดถอยไปพร้อมๆกัน ธนาธิปมองหน้าณัฐพลราวกับว่ารู้ใจกันว่าจะทำอะไรต่อ ณัฐพลก็คว้าปืนยิงพุไฟออกมาธ
นาธิปใช้ขวานจามไปที่หัวถังแก๊สอย่างแรงจนถังแก๊สพุ่งออกไปอย่างเร็วด้วยแรงของแก๊สที่พุ่งออกมามุ่งขึ้นไปยังหัวของ
สไตล์โซซอรัส  ณัฐพลที่ถือปืนยิงพุไฟอยู่ก็เล็งไปที่ถังแก๊สอย่างสุขุมเยือกเย็นราวกับมือปืนอาชีพ เขายิงพุไฟออกไป ไฟกับ
แก๊สเมื่อเจอกันแก๊สก็ติดไฟเกิดแรงระเบิดขึ้นส่งร่างทั้งสามปลิวไปไกล สองสามเมตร   เสียงร้องโหยหวนของสไตล์โซ
ซอรัสแสดงได้ถึงอาการเจ็บปวด   แล้วเรือก็แล่นผ่านหมอกไปอย่างลึกลับก่อนที่หมอกจะจางหายไป

เรือแล่นข้ามเวลามายังทะเลที่เงียบสงบแต่ตอนนี้ทุกคนกำลังสลบอยู่ พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาไม่ได้กลับมา
ยังโลกปัจจุบันแต่พวกเขาเดินทางข้ามเวลาไปนานนับพันปี

แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 54 01:55:40

แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 54 01:54:42

จากคุณ : Mr.Feynman
เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 54 01:52:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com