Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(เรื่องสั้นการเมือง) เรื่องเล่าจากแนวรั้ว กับความเชื่อมั่นที่มีต่อหลวงในเมืองกรุง ติดต่อทีมงาน

      “บัวลา ห้ามไปเล่นที่ท้องนาฝากกะโน้นนะลูก” เสียงตะโกนไล่หลังเด็กชายตัวน้อย3-4 คนที่กำลังวิ่งออกจากบ้านดังขึ้น จากชายกลางคนผู้มีร่างกายสันทัดกำยำ ผิวกายดูหยาบกร้านจากแดดลมตามประสาชาวไร่ชาวนา

     “รู้แล้ว พ่อ ไปเล่นที่โรงเรียนนี้เอง” เด็กชายวัย 7 ขวบคนหนึ่งตะโกนตอบโดยไม่หันหน้ากลับมามอง วิ่งออกไปอย่างร่าเริงกับเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกัน ราวกับนกที่เพิ่งหลุดจากกรง

     ผู้เป็นพ่อยังทอดสายตามองตามเด็กน้อยผู้เปรียบประดุจแก้วตาดวงใจของเขา ที่วิ่งแนบผ่านประตูรั้วบ้านไป รั้วธรรมชาติที่สร้างด้วยการปลูกชะอมเป็นแนวเตี้ยๆตลอดแถวบริเวณอนาเขตบ้าน ความจริงรั้วบ้านไม่ได้จำเป็นเลยสำหรับคนยากคนจนอย่างครอบครัวของเขา สมบัติภัสถานอะไรก็ไม่มีให้ต้องกังวล อีกทั้งน้ำจิตน้ำใจของคนบ้านนอกคอกนานั้น ประเสิรฐเกินกว่า จะมาจ้องลักขโมยของที่ไม่ใช่ของตัว

     แต่รั้วนั้นไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อหวังจะใช้เป็นกำแพงกันภัยอันตรายที่มาจากภายนอก แต่สร้างขึ้นก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่หวังจะเก็บเอาผลผลิตมาใช้ประกอบอาหารสำหรับครอบครัว เมื่อวานซืนโชคดีมีฝนตกลงมา ฝนนำมาซึ่งความหวังกับชาวอีสานเสมอ เพราะเขาเองก็เตรียมตัวที่จะเสี่ยงทำนาปรังในปีนี้ เพราะเห็นว่าน้ำท่าน่าจะพอทำนาปรังไหว

     ความหวังเปล่งปลั่งเรืองรอง เหมือนอย่างยอดชะอมแตกใหม่สีเขียวอ่อนมีให้เห็นตลอดแนวรั้ว เขานึกอยู่ว่าจะไปเก็บยอดชะอมมาทำเป็นกับข้าวเย็น ส่วนหนึ่งจะเอาไว้กินสดๆกับแจ่วบ่องที่เหลือจากเมื่อวาน อีกส่วนจะเอาไว้ทำไข่เขียวชะอม ซึ่งเคยเป็นของโปรดของลูกชาย แต่สงสัยเขาทำให้กินบ่อยเกินไปหน่อย พักหลังๆเจ้าบัวลามักทำหน้ากร่อยๆเมื่อเห็นกับข้าวเหล่านี้

     ความจริงของโปรดของเจ้าบัวลามีเยอะแยะ ทั้งผัดกะเพราอึ่ง แกงมะขามเทศ ที่เพื่อนบ้านเอามาฝาก หรืออาหารประจำถิ่นอย่าง ตำบักหุ่ง ลาบ ก้อย ซกเล็ก ที่เขาซื้อมาเป็นกับข้าวยามเข้าไปในเมือง เนื่องจากผู้เป็นพ่อไม่ถนัดเรื่องการทำอาหาร และไม่ได้เป็นคนอีสานโดยกำเนิด จึงทำได้เพียงอาหารง่ายๆอย่าง ไข่เจียว ไข่ดาว กับแจ่วสองสามอย่างที่แม่ไอ้หนูเคยสอนไว้

     “นี้ถ้าแม่ไอ้หนูมันยังอยู่ บัวลามันคงได้กินอะไรๆดีกว่านี้ เนอะ” เขาบ่นกับตัวเองก็จะเดินไปคว้าเสื้อมาใส่แล้วเดินออกจากรั้วบ้านไป โดยที่ไม่ต้องปิดบ้าน ประตูกุญแจคล้ายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าสำหรับคนที่นี้

     เส่ย ชายหนุ่มผลัดถิ่นจากกาญจนบุรีที่ย้ายมาตั้งหลักปักฐานที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เนื่องจาก 10 ปีก่อน เขาพบรักกับนางเวียน แม่ของไอ้หนูมัน ตอนที่ไปเป็นกรรมกรแบกหามช่วงหมดหน้าทำนาที่ไซต์ก่อสร้างที่กรุงเทพ เขากับแม่ไอ้หนู ตกลงครองคู่กันโดยไม่ต้องมีพิธีรีตองใดๆ อาศัยแคมป์คนงานที่สร้างจากสังกะสีปะผุ เป็นเรือนหอ หลังหมดงานก่อสร้าง เขาได้ย้ายตามนางเวียน มาที่นี้ เพราะแม่ยายของเขาแก่มากแล้ว แม่ไอ้หนูเป็นลูกสาวคนเดียวจึงอยากอยู่ดูแลแม่ของตัวเอง ไม่อยากปล่อยให้แม่ต้องอยู่คนเดียว เพราะพ่อตาเขาได้ตายจากไปนานแล้ว เมื่อคู่ครองไม่ยอมติดตามเขากลับไปอยู่ที่กาญจนบุรี เขาจึงต้องเป็นฝ่ายย้ายตามมาอยู่ที่นี้เอง

     แต่มาอยู่ได้ไม่ถึง 3 ปีก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เขาจำได้ดี ว่าตอนนั้น เมียเขาที่ท้องแก่กำลังจะคลอด เขาเองก็พาเมียไปที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ทิ้งแม่ยายที่ป่วยด้วยโรคประจำตัวไว้ที่บ้านโดยลำพัง แม้เขากับเมียจะพยายามทำทุกวิธีทางให้แกไปโรงพยาบาลพร้อมกัน แต่แม่ยายก็ไม่ยอมไป จำได้ติดหูเลยว่า “30 บาท มันไม่เหมือนเดิมแล้ว”

     อาจเป็นความเชื่อของคนแก่ที่คิดไปเอง เพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงหลังการปฏิวัติใหม่ๆ ทำให้คนรู้สึกว่า นโยบายเดิมของรัฐบาลก่อนต้องถูกยกเลิกหรือมีอยู่แต่ไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่แม่ยายแกยืนยันเสียงแข็งว่ามันไม่เหมือนเดิม เพราะก่อนหน้านั้น แกไปโรงพยาบาลทีไรต้องหอบยาถุงใหญ่กลับบ้านมาทุกที แถมต้องไปตั้งแต่ตีสี่ตีห้า เพื่อรอคิวตรวจเลือด อดข้าวอดน้ำก่อนล่วงหน้าเป็นวันๆ

     แต่พอมีการปฏิวัติ ยาที่ได้จากหมอก็น้อยลงทุกที แถมยังไม่ต้องตรวจเลือดด้วย เรียกว่าไปโรงพยาบาลปุ๊บ แล้วหมอจำหน้าได้ เพราะว่ามาบ่อย ก็จัดยาให้ได้โดยไม่ต้องตรวจให้ละเอียด ซึ่งแม่ยายแกก็บ่นกระปอดกระแปดทุกทีว่า “ถ้าทักษิณอยู่น๊า...ป่านนี้โรคข้าหายขาดไปแล้ว” จนในที่สุดแกก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาลอีก แม่ยายเส่ยจัดได้ว่าเป็นคนที่ฝักใฝ่ฝ่ายการเมืองเต็มขั้น เส่ยเชื่อว่าที่แกตายก็เพราะมีอคติทางการเมืองมากเกินไป

     เขาเฝ้าเมียอยู่นานสองวันสองคืน กว่าแม่ไอ้หนูจะคลอดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาให้เขาชื่นชม พอเขาหอบหิ้วลูกเมียกลับมาที่บ้าน หวังจะให้แม่ยายเขาได้ชื่นชมกับสมาชิกคนใหม่ของครอบครัว ก็มาพบร่างแม่ยายเขานอนสิ้นใจอยู่บนฝูกหลังเก่า แต่มันสายเกินไป หนึ่งชีวิตกำเนิดใหม่ แต่ก็มีชีวิตที่จากไป แทนที่กันในครอบครัวเล็กๆแห่งนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะสมดุลกันเสมอไป เพราะไม่นานนักหลังจากที่แม่ยายเขาตาย เมียเขาที่ร่างกายอ่อนล้าจากการคลอด ก็เฝ้าเอาแต่โทษตัวเองจนลืมสนใจดูแลสุขภาพตัวเอง

     ยังดีที่ผู้เป็นลูกได้ดูดดื่มน้ำนมจากอกผู้เป็นแม่ได้เกือบปี เพราะในที่สุด เมียเขาก็สิ้นลมไปในลักษณะที่ชาวบ้านเรียกว่าตรอมใจตาย เพราะคิดว่าแม่ของตัวเองต้องตายเพราะคนเป็นลูกอย่างเธอดูแลได้ไม่ดีพอ ครอบครัวนี้จึงเหลือแค่เขากับลูกชายตัวตัวน้อยนับแต่นั้นเป็นต้นมา ไอ้ครั้นที่จะหอบลูกกลับไปบ้านเกิด ก็ติดคำสั่งเสียที่เมียมีต่อเขา ว่าให้ช่วยดูแลผืนนาซึ่งเป็นมรดกตกทอดของเธอด้วย เธออยากมอบให้เจ้าบัวลาผู้เป็นลูกชายให้มันดูแลต่อไปในอนาคต

     เส่ยนึกถึงความหลังขณะก้าวย่างอยู่บนทางลูกรังสายเล็กๆ อันเป็นทางสัญจรเพียงสายเดียวของหมู่บ้าน เดินไปไกลพอควรเพราะฝุ่นลูกรังเกาะเท้าที่ใส่รองเท้าแตะหูคีบคู่เก่าเต็มสองเท้า ก็มาถึงบ้านที่สร้างจากอิฐจากปูนหลังเดียวของหมู่บ้าน ซึ่งบ่งบอกฐานะของเจ้าของบ้านได้ดี ว่ามีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกับชาวบ้านคนอื่นๆ นั้นเป็นบ้านของผู้ใหญ่บ้านที่นี้ บ้านผู้ใหญ่ผาด

     เพิงหมาแหงนคอนกรีตที่ปลูกอยู่ริมถนน อันเป็นร้านค้าแห่งเดียวในหมู่บ้าน เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างแยกออกมาจากตัวบ้าน เขากับเมียเป็นคนลงแรงก่อสร้างขึ้นเอง ตอนสมัยที่ย้ายมาอยู่ที่นี้ใหม่ๆ สร้างทั้งตัวบ้าน และในส่วนของร้านค้า โดยแทบไม่ได้คิดค่าแรงอะไร ซึ่งนางเวียนเมียเขาเป็นคนต้นคิด บอกว่าจะได้เป็นการซื้อน้ำใจคนที่นี้ ต้องการผูกสัมพันธ์กับผู้ใหญ่บ้านคนนี้ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านและร้านค้า ตอนที่ย้ายมาอยู่ที่นี้ใหม่ๆ เขาคิดว่าจะเป็นช่างรับเหมาก่อสร้างเล็กๆควบคู่กับการทำนาไปด้วย จะได้ไม่ต้องลงไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพอีก เวลาที่หมดฤดูทำนา

     แต่ก็อีกนั้นแหละ ความตั้งใจที่ดูเหมือนจะไปได้ดีในช่วงแรกๆ ที่มีงานก่อสร้างเล็กๆเช่นเทปูน มุงหลังคา เข้ามาเป็นรายได้ให้เขาใช้เลี้ยงครอบครัวเพิ่มจากการทำนา และอาจถือว่าเป็นรายได้หลักของเขาในช่วงนั้น แต่รายได้เป็นกอบเป็นกำก็ค่อยๆหดหายไปในช่วง3-4 ปีหลัง จนเดี๋ยวนี้ไม่มีงานแบบนั้นอีกเลย ทำไมน๊า.....รึเป็นเพราะว่า คนในหมู่บ้านไม่มีสตางค์เหมือนแต่ก่อน เหมือนในยุคทักษิณ ที่งานเข้าแทบไม่เว้นแต่ล่ะวัน แต่ก็ช่างมันเถอะ อีกหน่อยเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง เห็นรัฐบาลนี้บอกจีดีพีโตขึ้นไม่รู้ตั้งเท่าไร แสดงว่าต่อไปคนจะกลับมามีสตางค์เหมือนเดิม คนที่เรียนมาน้อยอย่างเขา ได้แต่ปลอบใจตัวเองไปแบบนั้น หาได้เข้าใจความหมายของไอ้จีดีพี หรืออัตราเติมโตทางเศรษฐกิจเลย คนที่เมืองกรุงเขาบอกเช่นไร ชาวบ้านอย่างเขาก็เชื่อ

     “เอาอะไรจ๊ะ พี่เส่ย” เสียงสำเนียงลิ้นอ่อน ตามประสาคนที่อยู่ชายแดนเขมรพูดขแมร์จนเคยชินถามเขา ต้นเสียงมาจากป่านลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่ผาด ถามเขาทันที ที่เห็นเขาเดินฝ่าลมฝุ่นเข้ามาในร้าน ผู้รับหน้าที่ดูแลร้านค้าแห่งนี้ อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนจากครอบครัวเดียวในหมู่บ้านนี้ ที่ยังพูดไทยภาคกลางอยู่ เจ้าบัวลาลูกชายเขาก็พูดไทย อาจเป็นเพราะที่บ้านไม่เหลือใครที่จะสอนพูดขแมร์อีกแล้ว เธอก็เลยพยายามพูดจาภาษาเดียวกับเขา ทั้งๆที่เขาเองก็ฟังแขร์ได้รู้เรื่องและเข้าใจได้ดี เพียงแต่เขินอายที่พูดแบบคนอื่นเพราะลิ้นของเขาแข็ง ซึ่งนั้นทำให้เขาและลูกกลายเป็นครอบครัวเดียวที่ทุกคนในหมู่บ้านต้องพูดไทยกลางด้วย ซึ่งนั้นถือว่าเป็นน้ำใจที่คนที่นี้มีให้กับคนต่างถิ่นเช่นเขา

     “เอาไข่ 3 ฟอง น้ำมันพืชขวดหนึ่งจ๊ะ” เขายิ้มทักทายก่อนจะบอกสิ่งที่เขาต้องการไป
     “อีกหน่อยไข่ จะไม่ขายเป็นฟองแล้วนะจ๊ะ พี่เส่ย หลวงเขาให้ขายเป็นกิโล” หลวงที่แม่ค้าสาวกล่าวถึง คือคำเรียกขานหน่วยงานของรัฐ เธอหันไปหยิบของมาให้เขาตามต้องการ บ่นไปหยิบของไป

     “ยุ่งยากตายโหงเลย สงสัยอีกหน่อยคงต้องเลิกขายไข่” ผู้ใหญ่บ้านเดินแบกร่างท้วม ออกมาจากในร้านกล่าวระบายความอัดอั้นด้วยเสียงสำเนียงขแมร์ ไม่ต่างจากลูกสาว
     “หวัดดีจ๊ะ ผู้ใหญ่” เส่ยยกมือขึ้นไหว้ แต่ไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา ได้แต่คิดในใจว่า การที่หลวงคิดจะชั่งกิโลขาย ก็เพื่อลดต้นทุน เพื่ออีกหน่อยไข่จะได้ถูกลง ชาวบ้านธรรมดาแบบเขาไม่เคยคิดว่ามันถูกลงจริงหรือเปล่า หลวงออกข่าวว่ามันจะถูกลง เขาก็เชื่อ

     “เอ่อ หวัดดี”ผู้ใหญ่ผาดยกมือรับไหว้ ก่อนจะเดินมานั่งในร้าน
     “ได้แล้วจ๊ะ พี่เส่ย”เสียงป่านซึ่งยิ้มหวานเดินถือของที่เขาต้องการใส่ไว้ในถุงผลาสติกเรียบร้อย
     “เดี๋ยวก่อน นังป่าน ข้าจะคุยกับไอ้เส่ยมันแป๊บ เอ็งไปเตรียมกับข้าวเย็นเถอะ เดี๋ยวข้าเฝ้าร้านให้เอง” ผู้ใหญ่ผาดรับถุงพลาสติกใส่ของมาจากลูกสาว แต่ยังไม่ยอมส่งให้เขาผู้ซึ่งเป็นลูกค้า

     “เมื่อคืน ตอนหวอดัง เอ็งพาลูกไปหลบที่ไหน ทำไมข้าไม่เจอเอ็งที่หลุม” เส่ยได้แต่ยิ้มแห้งๆแทนคำตอบ เขาไม่กล้าบอกไปว่า ตอนหวอสัญญานเตือนภัยดังเมื่อคืน อาจเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนพื้นที่โดยกำเนิด เขาจึงไม่ได้ใส่ใจเหมือนอย่างชาวบ้านในละแวกชายแดนพื้นที่พิพาทใส่ใจกัน หากว่าเมียเขายังอยู่คงฉุดลากกันไปลงหลุมหลบภัย ที่โรงเรียนประจำหมู่บ้านแล้ว เวียนเมียเขาเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆว่า สมัยก่อนที่เธอยังเด็กๆ ตอนที่เขมรแดงยังอยู่ ชายแดนแถบนี้ ต้องวิ่งหลบลงหลุมเมื่อหวอดัง เพราะนั้นอาจมีลูกปืนใหญ่ที่หลงปลิวมาจากการปะทะกันระหว่างทหารเขมรกับเขมรแดง จากฝากโน้นมาตกในหมู่บ้าน ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งไทย

     เขามาอยู่ที่นี้ 10 ปี เพิ่งได้ยินเสียงหวอเป็นครั้งแรกเมื่อคืน เขาได้แต่ปลอบลูกชายซึ่งตกใจกลัวอยู่บนบ้าน พร่ำบอกเหมือนนายกคนกรุงที่ข่าวในทีวีออก บอกว่าไม่มีอะไร
     “เอ็งอย่าไปไว้ใจมากนะ ไอ้เส่ย ถึงไอ้ทีผู้กองตะหารฝั่งโน้น มันจะเป็นเพื่อนเอ็ง แล้วไอ้ตะหารคนอื่นๆมันจะรู้จักมักคุ้นกับหมู่บ้านเราทุกคน แต่ถ้านายมันสั่งให้ยิง มันก็ต้องยิงนะ” ผู้ใหญ่ผาดกล่าวเตือนด้วยความหวังดี เพราะพอจะคาดเดาออกว่าลูกบ้านคนนี้คิดอย่างไร

     “จ๊ะ ผู้ใหญ่ แต่ฉันเชื่อนะ ว่าพวกตะหารไทย คงไม่ปล่อยให้เราเป็นอะไรหรอกจ๊ะ”
     “แถมบ้านฉันยังอยู่ห่างชายแดนตั้งไกล ไกลสุดในหมู่บ้านนี้เลยนะ”
เส่ยพยายามชี้แจงความเชื่อของตัวเอง

     “เอ่อ ข้าจะบอกให้ว่าจะ 3 กิโลจากชายแดนถ้านับจากบ้านข้า รึ 4 กิโลถึงบ้านเอ็ง ลูกปืนใหญ่มันก็ไปถึงทั้งนั้นแหละ”
     “จ๊ะ ผู้ใหญ่ คราวหน้าถ้าหวอดัง ฉันจะพาลูกไปลงหลุมจ๊ะ”
เขารับคำเพื่อตัดรำคาญไปอย่างนั้นเอง เพราะในใจไม่ได้คิดว่าต้องตื่นตระหนกอะไรในเรื่องนี้เลย เขาเชื่อว่าสงครามมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ยังไงเสีย พวกหลวงในเมืองกรุงอย่างรัฐบาลก็ต้องหาทางแก้ไขเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว

     “เอ่อ ปลอดภัยไว้ก่อน”ผู้ใหญ่ผาดพยักหน้าอย่างพอใจ หาได้ล่วงรู้ความคิดในใจของลูกบ้านคนนี้ไม่
     “นังป่าน น้ำมันพืชมันขวดเท่าไรว่ะ”แกตะโกน ถามลูกสาวที่เข้าบ้านไปแล้ว

     “46 บาทจ๊ะ ขึ้นราคาจากเดิม 9 บาท รวมค่าไข่ด้วย ก็เป็น 54 บาทจ๊ะพ่อ”เสียงตะโกนตอบกลับมาพร้อมบอกราคารวมมาอย่างเสร็จสรรพ
     “อ้าว ตายจริง ฉันหยิบแบงค์ 50 บาทมาใบเดียว ทำไงดีเนี๊ยะ เอางี้แล้วกัน ไข่ฉันเอาใบเดียวพอจ๊ะ”เส่ยบอกหน้าเหย่ๆ เมื่อรู้ว่าราคาของแพงกว่าเงินที่ตัวเองหยิบออกมาจากบ้าน คงเป็นเพราะคำนวนราคามาจากบ้านตามราคาเก่า จึงหยิบเงินมาแค่พอดี ถึงตอนนี้เขาเลยต้องตัดสินใจลดปริมาณไข่เหลือพอทอดให้ลูกชายกินคนเดียว ตัวเขาอดก็ไม่เป็นไร

     “ไม่ต้องหรอก แค่ 4 บาทเองลงบัญชีไว้ก่อน วันหลังค่อยเอามาให้”ผู้ใหญ่ผาดบอกเขา
     “ข้าวของมันแพงขึ้นทุกวัน ไม่รู้หลวงทำอะไรอยู่นะ เวลาชาวบ้านเดือดร้อนเคยรู้บ้างไหม รึมัวแต่ไปสนใจไอ้พวกคนกรุงกลุ่มนั้น” แกบ่นปนอารมณ์เสียหน่อย แต่เส่ยซึ่งได้แต่ยิ้มรับฟังอย่างเดียว ก็รู้ความหมายที่แกบ่น คนกรุงกลุ่มนั้น ผู้ใหญ่ผาดคงหมายถึง คนไทย 7 คนที่เป็นข่าวครึกโครมเมื่อช่วงก่อน พวกที่เดินไปให้ทหารเขมรจับตัว จนเกิดเป็นประเด็นปัญหาในขณะนี้ และรู้อีกว่าผู้ใหญ่ผาดเป็นหัวคะแนนให้กับนักการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาลในขณะนี้

     “เอาน่า เราคนไทยด้วยกัน มีอะไรก็ต้องช่วยกันสิจ๊ะ”เส่ยมองโลกในแง่ดีเสมอ เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายการเมืองเหมือนอย่างแม่ยาย หรือผู้ใหญ่บ้านคนนี้
     “ช่วยทำหอกอะไร ถ้าไม่ใช่พวกมัน บ้านเราไม่ต้องวิ่งหนีระเบิดแบบนี้หรอก”

     “เอ่อ ผู้ใหญ่จ๊ะ ปุ๋ยที่ฉันฝากผู้ใหญ่สั่ง มาวันไหนจ๊ะ”เส่ยเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ เพราะเห็นว่าคุยเรื่องนี้ต่อไป ผู้ใหญ่ผาดคงอารมณ์เสียกว่านี้แน่ๆ
     “มะรืนนี้ แต่เอ็งจะเอาจริงเรอะ ข้าว่าเว้นทำนาปรังไปสักปีเถอะ เหตุการณ์ไม่สู้ดี ที่นาเอ็งใกล้ชายแดนฝากโน้นซะด้วย ข้าเป็นห่วง”

     “เว้นไม่ได้หรอกจ๊ะ ไม่งั้นฉันจะเอาอะไรเลี้ยงลูกล่ะ”เส่ยตอบก่อนส่งแบงค์ 50 จ่ายค่าสิ่งของที่เขาซื้อ พร้อมกับอำลาผู้ใหญ่ผาด หันหลังกลับบ้าน ผู้ใหญ่ผาดตะโกนไล่หลังมาเตือนด้วยความเป็นห่วงอีกหลายคำ ซึ่งเขาเองก็ทราบซึ้งน้ำใจ และตั้งใจว่าหากหวอดังอีก จะพาลูกมาลงหลุมหลบภัยให้แกชื่นใจสักครั้ง แต่เรื่องทำมาหากินเขาคงยอมทำตามที่แกเตือนไม่ได้ โชคชะตาลิขิตให้คนจนไม่มีทางเลือก ไม่ออกไปทำนาได้อดตายแน่ๆ แต่ถ้าลองออกไปเสี่ยงทำนาเขากับลูกอาจจะรอด แผ่นดินตั้งกว้างใหญ่ ลูกระเบิดมันคงไม่วิ่งมาชนเขาง่ายๆหรอก

     เขาแวะเก็บยอดชะอมที่รั้วหน้าบ้าน ปากตะโกนเรียกหาจ้าบัวลาลูกชาย แต่เงียบไม่มีเสียงตอบ แต่ก็เอาเถอะ ขอเพียงลูกชายไม่ได้ไปเล่นแถวท้องนาเขาก็พอใจ แม้วันนี้อาจต้องจ่ายค่ากับข้าวแพงกว่าที่คิด แพงทั้งๆกับข้าวส่วนหนึ่งเป็นของเหลือจากเมื่อวาน แพงทั้งๆที่บางอย่างเป็นของที่ไม่ต้องซื้อหาอย่างยอดชะอม แต่คนอย่างเขาก็ยังเชื่อว่าหลวงที่อยู่ในเมืองกรุงคงกำลังหาทางช่วยประชาชนคนยากคนจนอย่างเขาอยู่แน่ๆ

     “หวอ..........................อออ”เสียงสัญญานเตือนภัยดังขึ้น เส่ยใจหายวาบหนึ่งคิดถึงเจ้าบัวลา แต่ยังอุ่นใจอยู่บ้างที่มันไปเล่นที่โรงเรียน ซึ่งมีหลุมหลบภัยอยู่ คนแถวนั้นคงช่วยพาลูกเขาลงไปหลบอยู่ในหลุมแน่ๆ เขาเร่งมือพยายามจะเด็ดยอดชะอมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังเพียงให้ลูกชายพอกินตอนออกมาจากหลุมหลบภัย

     เมื่อเก็บได้พอเท่าที่จำเป็นแล้วเขาจะเอาของเข้าไปเก็บในบ้าน แล้วรีบวิ่งไปลงหลุมหลบภัย ที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจำเป็นต่อชีวิตเขา เขาไม่ได้กลัวภัยจากลูกหลงของสงครามเลย เพราะคิดว่าตนอยู่ในที่ที่ปลอดภัยพอ 4 กิโลเมตรที่บ้านเขาห่างจากชายแดน อีกทั้งหลวงในเมืองกรุงยังรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะดูแลชีวิตชาวไทยตามชายแดนอย่างพวกเขา แต่ก็เอาเถอะ จะยอมทำเพื่อความสบายใจของผู้ใหญ่บ้านที่เป็นห่วงเขา

     แต่แล้วทันใดนั้น ขณะที่เขากำลังจะหันหลังออกจากรั้ว เสียง “ตูมมมมม...” ที่ดังสนั่นหวั่นไหว หูทั้งสองข้างอื้ออึงไปหมด รอบกายฝุ่นตลบอบอวลคลุ้งเต็มไปหมดรู้สึกเจ็บแปลบตามเนื้อตัว แล้วต่อไปเจ้าบัวลาจะอยู่อย่างไร ใครจะดูแลลูกชายเพียงคนเดียวของเขา แล้วสติก็วูบดับไป

     กระสุนปืนใหญ่ลูกนั้นเป็นของใคร ใช่เป็นผลจากการกระทำของหลวงที่เส่ยยึดมั่นหรือไม่ หรือเป็นแค่ชะตากรรมของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนเท่านั้น หลังฝุ่นควันที่คละคลุ้งจางลง เห็นร่างชายคนที่เชื่อมั่นต่อหลวงในเมืองกรุง นอนทอดร่างเป็นศพ ในสภาพซากแหลกเหลวจากแรงเบิดอยู่ใกล้รั่วชะอม บริเวณชายแดน4กิโลเมตร ที่เปรียบเสมือนรั้วของประเทศ ในซากมือขวาที่เละเหวอะหวะยังมีถุงพลาสติกที่ใส่น้ำมันพืชกับไข่ไก่ที่แพงขึ้นเพราะนโยบายของหลวง น่าแปลกที่ไข่ไม่แตกสักใบขวดน้ำมันพืชก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างคอยปกป้องสิ่งนี้อยู่

      แต่ทำไมเล่า อะไรบางสิ่งที่ว่านั้น ทำไมไม่ปกป้องชีวิตคนก่อน ไปปกป้องของพวกนั้นทำไม หรือว่าชีวิตคนชายแดนไม่มีคุณค่าพอให้ปกป้อง หลวงล่ะครับ ถ้าเป็นท่าน ท่านจะเลือกปกป้องสิ่งไหน จะเลือกปกป้องคนที่อาศัยตามแนวชายแดนเป็นเสมือนกันชนหรือรั้วของชาติรึเปล่า หรือท่านจะเลือกปกป้องคนไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองกรุงที่แส่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ประเทศชาติ

+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+

     ปล.เรื่องนี้จริงๆแล้วที่ตั้งใจเขียนไว้ในตอนแรก จะเป็นเรื่องสั้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่พอลองเขียนดูกลับพบว่า ตัวเองยังมีข้อด้อยในการเข้าใจประเพณีและวัฒนธรรมของคนที่นั้น จึงได้เปลี่ยนประเด็นมาเขียนเกี่ยวกับชายแดนที่มีสถานการณ์ความตึงเครียดอยู่ในตอนนี้แทน

     สำหรับท่านที่ไม่ชอบการเมือง ผมคงต้องขออภัยด้วยครับ ที่นำเรื่องราวเหล่านี้มากวนใจท่าน แต่ผมเห็นว่าการใช้พื้นที่ห้องถนนนักเขียนแสดงผลงานไม่น่าจะเป็นเป็นสิ่งผิด ผลงานการเขียนไม่น่าจะถูกปิดกั้นและจำกัดด้วยเรื่องราวและมุมมองทางการเมือง

 

 


 

แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 54 08:16:59

แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 54 03:30:35

จากคุณ : พระรองตลอดกาล
เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 54 02:34:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com