Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
We're The Kids From Yesterday -เรื่องที่1 วันปิดเทอม ติดต่อทีมงาน

คุณยังจำความรู้สึกวันสุดท้ายก่อนปิดเทอมตอนเรียนชั้นประถมได้ไหม?

อยากบอกว่าผมจำได้ดีเหมือนมีอะไรบางอย่างติดตรึงในความทรงจำไม่รู้ลืม  แม้กาลเวลาจะผ่านมาร่วมสิบปีแล้วก็ตาม  มันเปลี่ยนผันให้ผมกลายร่างจากเด็กตัวกระเปี๊ยกบ้าการ์ตูนสู่ชายหนุ่มแว่นหนา สูงร้อยเจ็ดสิบเอ็ด หล่อเสร็จแบบครึ่งๆกลางๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่กาลเวลาไม่สามารถเปลี่ยนผมได้  นั่นคือนิสัยของผม

ตั้งแต่เด็กจนโต ผมมีนิสัยบวกความคิดที่แปลกประหลาดไม่เหมือนชาวบ้านเสียเท่าไหร่  ผมชอบจำในสิ่งที่คนอื่นชอบลืมและผมชอบลืมในเรื่องที่คนอื่นชอบจำ จึงไม่แปลกที่วันนี้ผมเห็นนักเรียนประถมกลุ่มหนึ่งโดยสารขึ้นรถเมล์มาด้วยกันพร้อมพูดคุยอย่างดีใจว่าในที่สุดการสอบปลายภาคก็จบลงเสียทีและมันทำให้ผมนึกภาพของตัวเองในวันวานขึ้นมาได้อย่างแจ่มชัด

การเรียนหนังสือวันสุดท้ายก่อนปิดเทอมใหญ่  มักเป็นวันที่พิเศษเสมอในความรู้สึกของพวกเรา  จริงไหม?

หลังฝ่าฟันข้อสอบมาอย่างเหน็ดเหนื่อยแทบล้มประดาตาย  หลังฝ่าอันตรายจากกองหนังสือสำหรับติวก่อนสอบกองสูงที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อเข้าห้องสอบจริงๆเพราะเรามักจะลืมสิ่งที่อ่านมาทั้งหมดจนเกลี้ยงสมอง  ผมจำได้ดีว่าเย็นวันนั้นโรงเรียนเลิกเร็วกว่าปกติ เด็กนักเรียนจะพากันนั่งล้อมวงเลี้ยงฉลองกันเป็นกลุ่มในห้อง  กลุ่มใครกลุ่มมัน  ถ้ากลุ่มไหนสนิทกันก็ลากโต๊ะมานั่งต่อกัน วันนี้จะเป็นวันที่พวกครูอนุญาตเป็นพิเศษ พวกเราจะเลี้ยงฉลองเฮฮายังไงก็ได้ ขอแค่ไม่เสียงดังจนรบกวนเพื่อนห้องข้างๆเท่านั้นพอ   และมีบ่อยครั้งที่ผมเห็นครูประจำชั้นก็เข้ามานั่งร่วมสนุกกับพวกเราด้วย

ผมและเพื่อนอยู่ในโรงเรียนเอกชนขนาดกลางแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด  ถึงจะพูดว่าขนาดกลาง แต่ก็มีนักเรียนร่วมแปดร้อยกว่าคน แถมค่าเทอมก็ไม่ใช่ถูกๆ ที่นี่ไม่มีสระว่ายน้ำ ไม่มีสนามบอล ไม่มีสนามเทนนิสหรือสนามลักบี้อะไรทั้งนั้น อาณาบริเวณที่ผมเคยสำรวจกับเพื่อนก็มีแค่ตึกเรียนต่างๆไล่ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงประถม มีโรงอาหาร มีตึกธุรการซึ่งใช้เป็นที่ตั้งห้องทำงานของครูใหญ่และห้องพยาบาลด้วยในตึกเดียวกัน  ลานว่างหน้าตึกธุรการใช้เป็นที่จอดคิวรถตู้รับ-ส่งเด็กนักเรียน  รอบโรงเรียนมีรั้วรอบขอบชิด  ด้านนอกเป็นหมู่บ้านทั้งแบบจัดสรรและไม่จัดสรร มีร้านขายของมากมายตั้งแต่ร้านขายของเล่นจนถึงร้านขายรถมอเตอร์ไซค์ ไม่ไกลกันนักก็มีตลาดสดอีกแห่ง  ทุกวันที่นั่งรถตู้จากบ้านไปโรงเรียนและจากโรงเรียนไปบ้าน ผมต้องผ่านสถานที่เหล่านั้นก่อนเสมอ

เรื่องต่างๆที่ผมจะเล่าให้คุณฟัง  ก็เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้ทั้งนั้นล่ะ

ในตอนนั้น ผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หก อยู่ห้อง 6/3 แม้ไม่ใช่ห้องที่รวมเด็กระดับหัวกะทิ แต่ผมยืนยันได้เลยว่าทุกคนในห้อง 6/3 “ไม่ธรรมดา”กันทุกคนจริงๆ  ทั้งห้องมีเด็กนักเรียนทั้งสิ้น 35 คน แบ่งกลุ่มสนิมกันบ้าง เขม่นกันบ้างก็หลายกลุ่ม  แต่หากจะพูดถึงกลุ่มที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความแสบสันต์แล้ว คงไม่มีใครเกินหน้าเกินตากลุ่มของผมไปได้แน่นอน

ความแสบสันต์ต่างๆที่กลุ่มของเราได้สร้างวีรกรรมเอาไว้  รับรองว่าแล้วคุณจะได้เห็นในอีกไม่ช้า

กลุ่มของเรามีสมาชิกทั้งสิ้นหกคน ประกอบด้วย บอย  เวศ  เบิ้ล  อาร์ สอง และเดือดซึ่งก็คือตัวผม  ในกลุ่มนี้ประกอบด้วยเด็กที่มีบุคลิกโดดเด่นที่สุดในห้อง ไม่ใช่ว่าผมจะพูดเกินจริงหรอกนะ  คุณลองไล่ดูประวัติและบุคลิกแต่ละคนเอาเองก็แล้วกัน

บอยเป็นคนที่สอบได้ที่หนึ่งประจำรุ่นของเรา  หัวดีที่สุดในห้อง  ตั้งแต่เรียนปอ.หนึ่งด้วยกันมา  หากไม่สอบได้ที่หนึ่งมันก็สอบได้ที่สองตลอด แต่มีนิสัยใจร้อน ค่อนข้างเกเรนิดหน่อยทั้งที่มีแม่เป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ในโรงเรียนรัฐฯแห่งหนึ่งห่างจากโรงเรียนของเราไม่ไกล  บอยมีความฝันที่แปลกมาก  เด็กคนอื่นฝันอยากเป็นทหาร ตำรวจ หมอ พยาบาลไปตามเรื่อง  แต่ไอ้บอยเพื่อนผมคนนี้มันบอกไว้ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกว่า โตขึ้นมันอยากเป็นมือปืน อยากเป็นโจรแบบตี๋ใหญ่ในตำนาน ว่าเข้าไปนั่น

ส่วนเวศกับเบิ้ลเป็นเด็กที่ตัวใหญ่ที่สุดในห้อง แค่อายุสิบขวบมันสองคนก็สูงร้อยหกสิบกว่าๆแตะร้อยเจ็ดสิบแล้ว แถมยังบึกบึนใหญ่โตตัวยังกะควายขนาดแท้  เวศกับเบิ้ลรักกันมาก  แต่ก็ชอบทะเลาะจนถึงขั้นวางมวยกันประจำ เดือดร้อนคนเข้าไปแยกซึ่งก็คือพวกเราทุกที  แต่พอต่อยเสร็จก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พวกมันเป็นพวกโกรธง่ายหายเร็ว ต่อยกันแปปๆ เดี๋ยวเดียวมันมานั่งหัวร่อต่อกระซิกด้วยกันแล้ว  บ้านของเวศเปิดร้านขายของชำ เวลาจัดฉลองกันทีก็มันนี่แหล่ะเป็นคนหาเสบียงแบบประหยัดต้นทุน(พูดง่ายๆก็คือมันขโมยมาจากร้านนั่นเอง)  ด้านฝ่ายของเบิ้ลเท่าที่ผมทราบ ดูเหมือนพ่อของมันจะเป็นลูกน้องคนสนิทของนักการเมืองท้องถิ่น แต่ผมก็ไม่ทราบอะไรมากกว่านั้นนอกจากเห็นรอยเข็มขัดฟาดติดตัวเบิ้ลมาโรงเรียนบ่อยๆในตอนเช้า ผมไม่กล้าถามว่าโดนอะไร เพราะกลัวจะไปทำร้ายจิตใจส่วนลึกของเพื่อน

ด้านอาร์กับสองที่ผมไม่พูดถึงไม่ได้  อาร์เป็นเด็กที่ตัวผอมสูงเก้งก้างเช่นเดียวกับผม  ค่อนข้างเงียบไม่ชอบพูดอะไร  นานๆทีถึงจะยิ้มสักครั้ง ส่วนใหญ่จะหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก เป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก ไม่เคยมีเรื่องกับใครนอกจากจะถูกหาเรื่องก่อนเท่านั้น

ส่วนสอง  มันเป็นเด็กที่โง่และหัวทึบที่สุดในห้อง  เรียนช้าและพูดภาษาไทยไม่ชัดเพราะติดสำเนียงจีนกลางมาจากป๊ากับม๊าซึ่งเปิดร้านขายทองอยู่ในตัวจังหวัด  มันเป็นคนที่รวยที่สุดในกลุ่มของเรา  ไม่ว่ามีของเล่นชิ้นใหม่อะไรมา ไม่ว่าจะมีราคาแพงระยับแค่ไหน ไอ้สองเป็นต้องมีมาอวดพวกเราก่อนเป็นคนแรกเสมอ  แต่ก็อย่างที่บอก สองเป็นเด็กที่หัวทึบที่สุดในห้อง สอบได้ที่โหล่ในชนิดที่ครูประจำชั้นช่วยดันคะแนนให้อย่างสุดชีวิต ป๊าของมันเคยเปรยๆไว้ว่าจะให้มันเรียนแค่ป.6 แล้วออกมาช่วยทางบ้านขายทองดีกว่า

นี่คือสมาชิกในกลุ่มของผม และพวกเราทั้งหมดก็กำลังนั่งล้อมรอบโต๊ะตัวหนึ่งอยู่มุมห้องริมหน้าต่างในวันสุดท้ายก่อนปิดเทอมใหญ่  เด็กทั้งสามสิบห้าคนในชั้นประถมหกทับสามกำลังเฮฮารังสรรค์ ขวดน้ำอัดลมและแก้วน้ำแข็งถูกวางไว้ตามโต๊ะต่างๆพร้อมถุงขนม  มีบ้างบางคนที่เอาสมุดเฟรนด์ ชิปมาไล่ให้เพื่อนๆในห้องเขียนความรู้สึกต่างๆลงไปด้วยเหตุที่ไม่รู้ว่าหมดปิดเทอมเที่ยวนี้จะได้เจอกันอีกหรือเปล่าเพราะโรงเรียนแห่งนี้ไม่มีชั้นเรียนสำหรับศึกษาต่อระดับมัธยม

และส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอนาคตของตัวเองจะเอายังไงต่อไปนอกจากรอให้ผู้เป็นพ่อแม่ตัดสินใจ  เด็กในวัยสิบสองขวบในยุคนั้นย่อมไม่มีสิทธิ์ออกปากเสียงอะไรหรอกแถมยังไม่โตและ”กร้าน”เท่าสมัยนี้อีกด้วย

“สรุปว่าเมิงจะไม่เรียนต่อจริงๆหรอวะ?”ผมส่งเสียงถามไอ้สองซึ่งกำลังนั่งจัดการแกะห่อขนมห่อใหม่กินแกล้มน้ำอัดลมขณะเสียงรอบกายกำลังอึกทึกไปด้วยความคึกคักและเสียงหัวเราะแห่งความสุข  ห่างเราไม่ไกลนัก ครูเอ๋-ครูสาววัยสามสิบซึ่งเป็นครูประจำชั้นของเรากำลังนั่งรวมอยู่กับนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง

“ป๊าอั้วไม่ให้เลีย  อั้วก็ม่ายเลีย  เลียไปก็ม่ายลู้เลื่อง  อั๊วนอนดูการ์ตูนอยู่บ้านดีกว่าแยะ”ไอ้สองตอบด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งหูพลางยัดขนมเข้าปาก “ไงๆพวกลื้อก็อย่าลืมอั้วเลี้ยวกันน่อ”

“เออน่ะ  ไม่มีใครลืมเมิงหรอก”ไอ้บอยพูดก่อนจะกวาดตามองพวกเราที่เหลือ “แล้วพวกเมิงล่ะ จะเรียนที่ไหนต่อ กุคงไม่ได้เจอพวกเมิงอีกแล้ว  เห็นแม่บอกว่าจะให้กุเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำในตัวจังหวัด แล้วอาจจะต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ”

“อยากเป็นมือปืนแล้วเมิงจะเรียนตำรวจทำไมล่ะว้า”เวศแทรกขึ้นเสียงสูงขณะพวกเราหัวเราะก๊าก  เบิ้ลตบโต๊ะปังๆอย่างชอบใจ  ผมเหลียวมองปฏิกิริยาของอาร์  มันเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย  แต่ไม่มีทีท่าจะพูดอะไรออกมานอกจากประกายนัยน์ตาที่วิบวาวไปด้วยอะไรบางอย่าง ซึ่งอาการแบบนี้ ผมมารู้ในภายหลังว่ามันคือ อาการ “น้ำตาคลอเบ้า”นั่นเอง

ในขณะที่บอยและสองทราบค่อนข้างแน่ชัดว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นเช่นไร  พวกเราอีกสี่คนที่เหลือก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะได้ไปเรียนที่ไหนหรือไปทำอะไร  ไม่มีใครตอบได้แน่ชัด  เพียงแต่คาดเดาไปต่างๆนาๆซึ่งหัวข้อสนทนาแบบนี้มันไม่สนุกเอาเสียเลย  ยิ่งคุยก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าพวกเรากำลังจะต้องจากกันไปคนละทิศละทาง  บรรยากาศที่สนุกอยู่เมื่อครู่จึงหดหู่ลงไปโดยปริยาย

สมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน  เด็กในวัยสิบขวบต้นๆไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้อย่างทุกวันนี้  คอมพิวเตอร์ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่มีกันได้ทุกบ้าน โทรศัพท์บ้านแม้จะมีทั่วถึง  แต่ก็มักจะถูกพ่อแม่กำชับว่าอย่าใช้งานบ่อยนักเพราะค่าบริการมันแพง  สำหรับใครที่ไม่ได้มีเพื่อนร่วมโรงเรียนอยู่ในละแวกบ้านเช่นผม  ก็เหมือนถูกตัดขาดจากโลกของเพื่อนทุกครั้งเมื่อถึงเวลาปิดเทอม

แม้จะได้คุยกันบ้างนานๆทีตามสายโทรศัพท์ แต่สำหรับคนที่เคยเห็นหน้ากันทุกเช้า  เฝ้ามองสาวๆด้วยกันทุกเย็น  ได้คุยแค่นี้ไม่เพียงพอหรอกในความรู้สึก แต่จะทำอย่างไรได้  ก็อย่างที่บอกครับ  เด็กสิบสองขวบเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่สุขสบายเหมือนยุคนี้

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 54 21:37:48




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com