We're The Kids From Yesterday -เรื่องที่1 วันปิดเทอม
|
|
คุณยังจำความรู้สึกวันสุดท้ายก่อนปิดเทอมตอนเรียนชั้นประถมได้ไหม?
อยากบอกว่าผมจำได้ดีเหมือนมีอะไรบางอย่างติดตรึงในความทรงจำไม่รู้ลืม แม้กาลเวลาจะผ่านมาร่วมสิบปีแล้วก็ตาม มันเปลี่ยนผันให้ผมกลายร่างจากเด็กตัวกระเปี๊ยกบ้าการ์ตูนสู่ชายหนุ่มแว่นหนา สูงร้อยเจ็ดสิบเอ็ด หล่อเสร็จแบบครึ่งๆกลางๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่กาลเวลาไม่สามารถเปลี่ยนผมได้ นั่นคือนิสัยของผม
ตั้งแต่เด็กจนโต ผมมีนิสัยบวกความคิดที่แปลกประหลาดไม่เหมือนชาวบ้านเสียเท่าไหร่ ผมชอบจำในสิ่งที่คนอื่นชอบลืมและผมชอบลืมในเรื่องที่คนอื่นชอบจำ จึงไม่แปลกที่วันนี้ผมเห็นนักเรียนประถมกลุ่มหนึ่งโดยสารขึ้นรถเมล์มาด้วยกันพร้อมพูดคุยอย่างดีใจว่าในที่สุดการสอบปลายภาคก็จบลงเสียทีและมันทำให้ผมนึกภาพของตัวเองในวันวานขึ้นมาได้อย่างแจ่มชัด
การเรียนหนังสือวันสุดท้ายก่อนปิดเทอมใหญ่ มักเป็นวันที่พิเศษเสมอในความรู้สึกของพวกเรา จริงไหม?
หลังฝ่าฟันข้อสอบมาอย่างเหน็ดเหนื่อยแทบล้มประดาตาย หลังฝ่าอันตรายจากกองหนังสือสำหรับติวก่อนสอบกองสูงที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อเข้าห้องสอบจริงๆเพราะเรามักจะลืมสิ่งที่อ่านมาทั้งหมดจนเกลี้ยงสมอง ผมจำได้ดีว่าเย็นวันนั้นโรงเรียนเลิกเร็วกว่าปกติ เด็กนักเรียนจะพากันนั่งล้อมวงเลี้ยงฉลองกันเป็นกลุ่มในห้อง กลุ่มใครกลุ่มมัน ถ้ากลุ่มไหนสนิทกันก็ลากโต๊ะมานั่งต่อกัน วันนี้จะเป็นวันที่พวกครูอนุญาตเป็นพิเศษ พวกเราจะเลี้ยงฉลองเฮฮายังไงก็ได้ ขอแค่ไม่เสียงดังจนรบกวนเพื่อนห้องข้างๆเท่านั้นพอ และมีบ่อยครั้งที่ผมเห็นครูประจำชั้นก็เข้ามานั่งร่วมสนุกกับพวกเราด้วย
ผมและเพื่อนอยู่ในโรงเรียนเอกชนขนาดกลางแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ถึงจะพูดว่าขนาดกลาง แต่ก็มีนักเรียนร่วมแปดร้อยกว่าคน แถมค่าเทอมก็ไม่ใช่ถูกๆ ที่นี่ไม่มีสระว่ายน้ำ ไม่มีสนามบอล ไม่มีสนามเทนนิสหรือสนามลักบี้อะไรทั้งนั้น อาณาบริเวณที่ผมเคยสำรวจกับเพื่อนก็มีแค่ตึกเรียนต่างๆไล่ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงประถม มีโรงอาหาร มีตึกธุรการซึ่งใช้เป็นที่ตั้งห้องทำงานของครูใหญ่และห้องพยาบาลด้วยในตึกเดียวกัน ลานว่างหน้าตึกธุรการใช้เป็นที่จอดคิวรถตู้รับ-ส่งเด็กนักเรียน รอบโรงเรียนมีรั้วรอบขอบชิด ด้านนอกเป็นหมู่บ้านทั้งแบบจัดสรรและไม่จัดสรร มีร้านขายของมากมายตั้งแต่ร้านขายของเล่นจนถึงร้านขายรถมอเตอร์ไซค์ ไม่ไกลกันนักก็มีตลาดสดอีกแห่ง ทุกวันที่นั่งรถตู้จากบ้านไปโรงเรียนและจากโรงเรียนไปบ้าน ผมต้องผ่านสถานที่เหล่านั้นก่อนเสมอ
เรื่องต่างๆที่ผมจะเล่าให้คุณฟัง ก็เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้ทั้งนั้นล่ะ
ในตอนนั้น ผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หก อยู่ห้อง 6/3 แม้ไม่ใช่ห้องที่รวมเด็กระดับหัวกะทิ แต่ผมยืนยันได้เลยว่าทุกคนในห้อง 6/3 “ไม่ธรรมดา”กันทุกคนจริงๆ ทั้งห้องมีเด็กนักเรียนทั้งสิ้น 35 คน แบ่งกลุ่มสนิมกันบ้าง เขม่นกันบ้างก็หลายกลุ่ม แต่หากจะพูดถึงกลุ่มที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความแสบสันต์แล้ว คงไม่มีใครเกินหน้าเกินตากลุ่มของผมไปได้แน่นอน
ความแสบสันต์ต่างๆที่กลุ่มของเราได้สร้างวีรกรรมเอาไว้ รับรองว่าแล้วคุณจะได้เห็นในอีกไม่ช้า
กลุ่มของเรามีสมาชิกทั้งสิ้นหกคน ประกอบด้วย บอย เวศ เบิ้ล อาร์ สอง และเดือดซึ่งก็คือตัวผม ในกลุ่มนี้ประกอบด้วยเด็กที่มีบุคลิกโดดเด่นที่สุดในห้อง ไม่ใช่ว่าผมจะพูดเกินจริงหรอกนะ คุณลองไล่ดูประวัติและบุคลิกแต่ละคนเอาเองก็แล้วกัน
บอยเป็นคนที่สอบได้ที่หนึ่งประจำรุ่นของเรา หัวดีที่สุดในห้อง ตั้งแต่เรียนปอ.หนึ่งด้วยกันมา หากไม่สอบได้ที่หนึ่งมันก็สอบได้ที่สองตลอด แต่มีนิสัยใจร้อน ค่อนข้างเกเรนิดหน่อยทั้งที่มีแม่เป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ในโรงเรียนรัฐฯแห่งหนึ่งห่างจากโรงเรียนของเราไม่ไกล บอยมีความฝันที่แปลกมาก เด็กคนอื่นฝันอยากเป็นทหาร ตำรวจ หมอ พยาบาลไปตามเรื่อง แต่ไอ้บอยเพื่อนผมคนนี้มันบอกไว้ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกว่า โตขึ้นมันอยากเป็นมือปืน อยากเป็นโจรแบบตี๋ใหญ่ในตำนาน ว่าเข้าไปนั่น
ส่วนเวศกับเบิ้ลเป็นเด็กที่ตัวใหญ่ที่สุดในห้อง แค่อายุสิบขวบมันสองคนก็สูงร้อยหกสิบกว่าๆแตะร้อยเจ็ดสิบแล้ว แถมยังบึกบึนใหญ่โตตัวยังกะควายขนาดแท้ เวศกับเบิ้ลรักกันมาก แต่ก็ชอบทะเลาะจนถึงขั้นวางมวยกันประจำ เดือดร้อนคนเข้าไปแยกซึ่งก็คือพวกเราทุกที แต่พอต่อยเสร็จก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกมันเป็นพวกโกรธง่ายหายเร็ว ต่อยกันแปปๆ เดี๋ยวเดียวมันมานั่งหัวร่อต่อกระซิกด้วยกันแล้ว บ้านของเวศเปิดร้านขายของชำ เวลาจัดฉลองกันทีก็มันนี่แหล่ะเป็นคนหาเสบียงแบบประหยัดต้นทุน(พูดง่ายๆก็คือมันขโมยมาจากร้านนั่นเอง) ด้านฝ่ายของเบิ้ลเท่าที่ผมทราบ ดูเหมือนพ่อของมันจะเป็นลูกน้องคนสนิทของนักการเมืองท้องถิ่น แต่ผมก็ไม่ทราบอะไรมากกว่านั้นนอกจากเห็นรอยเข็มขัดฟาดติดตัวเบิ้ลมาโรงเรียนบ่อยๆในตอนเช้า ผมไม่กล้าถามว่าโดนอะไร เพราะกลัวจะไปทำร้ายจิตใจส่วนลึกของเพื่อน
ด้านอาร์กับสองที่ผมไม่พูดถึงไม่ได้ อาร์เป็นเด็กที่ตัวผอมสูงเก้งก้างเช่นเดียวกับผม ค่อนข้างเงียบไม่ชอบพูดอะไร นานๆทีถึงจะยิ้มสักครั้ง ส่วนใหญ่จะหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก เป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก ไม่เคยมีเรื่องกับใครนอกจากจะถูกหาเรื่องก่อนเท่านั้น
ส่วนสอง มันเป็นเด็กที่โง่และหัวทึบที่สุดในห้อง เรียนช้าและพูดภาษาไทยไม่ชัดเพราะติดสำเนียงจีนกลางมาจากป๊ากับม๊าซึ่งเปิดร้านขายทองอยู่ในตัวจังหวัด มันเป็นคนที่รวยที่สุดในกลุ่มของเรา ไม่ว่ามีของเล่นชิ้นใหม่อะไรมา ไม่ว่าจะมีราคาแพงระยับแค่ไหน ไอ้สองเป็นต้องมีมาอวดพวกเราก่อนเป็นคนแรกเสมอ แต่ก็อย่างที่บอก สองเป็นเด็กที่หัวทึบที่สุดในห้อง สอบได้ที่โหล่ในชนิดที่ครูประจำชั้นช่วยดันคะแนนให้อย่างสุดชีวิต ป๊าของมันเคยเปรยๆไว้ว่าจะให้มันเรียนแค่ป.6 แล้วออกมาช่วยทางบ้านขายทองดีกว่า
นี่คือสมาชิกในกลุ่มของผม และพวกเราทั้งหมดก็กำลังนั่งล้อมรอบโต๊ะตัวหนึ่งอยู่มุมห้องริมหน้าต่างในวันสุดท้ายก่อนปิดเทอมใหญ่ เด็กทั้งสามสิบห้าคนในชั้นประถมหกทับสามกำลังเฮฮารังสรรค์ ขวดน้ำอัดลมและแก้วน้ำแข็งถูกวางไว้ตามโต๊ะต่างๆพร้อมถุงขนม มีบ้างบางคนที่เอาสมุดเฟรนด์ ชิปมาไล่ให้เพื่อนๆในห้องเขียนความรู้สึกต่างๆลงไปด้วยเหตุที่ไม่รู้ว่าหมดปิดเทอมเที่ยวนี้จะได้เจอกันอีกหรือเปล่าเพราะโรงเรียนแห่งนี้ไม่มีชั้นเรียนสำหรับศึกษาต่อระดับมัธยม
และส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอนาคตของตัวเองจะเอายังไงต่อไปนอกจากรอให้ผู้เป็นพ่อแม่ตัดสินใจ เด็กในวัยสิบสองขวบในยุคนั้นย่อมไม่มีสิทธิ์ออกปากเสียงอะไรหรอกแถมยังไม่โตและ”กร้าน”เท่าสมัยนี้อีกด้วย
“สรุปว่าเมิงจะไม่เรียนต่อจริงๆหรอวะ?”ผมส่งเสียงถามไอ้สองซึ่งกำลังนั่งจัดการแกะห่อขนมห่อใหม่กินแกล้มน้ำอัดลมขณะเสียงรอบกายกำลังอึกทึกไปด้วยความคึกคักและเสียงหัวเราะแห่งความสุข ห่างเราไม่ไกลนัก ครูเอ๋-ครูสาววัยสามสิบซึ่งเป็นครูประจำชั้นของเรากำลังนั่งรวมอยู่กับนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง
“ป๊าอั้วไม่ให้เลีย อั้วก็ม่ายเลีย เลียไปก็ม่ายลู้เลื่อง อั๊วนอนดูการ์ตูนอยู่บ้านดีกว่าแยะ”ไอ้สองตอบด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งหูพลางยัดขนมเข้าปาก “ไงๆพวกลื้อก็อย่าลืมอั้วเลี้ยวกันน่อ”
“เออน่ะ ไม่มีใครลืมเมิงหรอก”ไอ้บอยพูดก่อนจะกวาดตามองพวกเราที่เหลือ “แล้วพวกเมิงล่ะ จะเรียนที่ไหนต่อ กุคงไม่ได้เจอพวกเมิงอีกแล้ว เห็นแม่บอกว่าจะให้กุเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำในตัวจังหวัด แล้วอาจจะต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ”
“อยากเป็นมือปืนแล้วเมิงจะเรียนตำรวจทำไมล่ะว้า”เวศแทรกขึ้นเสียงสูงขณะพวกเราหัวเราะก๊าก เบิ้ลตบโต๊ะปังๆอย่างชอบใจ ผมเหลียวมองปฏิกิริยาของอาร์ มันเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่ไม่มีทีท่าจะพูดอะไรออกมานอกจากประกายนัยน์ตาที่วิบวาวไปด้วยอะไรบางอย่าง ซึ่งอาการแบบนี้ ผมมารู้ในภายหลังว่ามันคือ อาการ “น้ำตาคลอเบ้า”นั่นเอง
ในขณะที่บอยและสองทราบค่อนข้างแน่ชัดว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นเช่นไร พวกเราอีกสี่คนที่เหลือก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะได้ไปเรียนที่ไหนหรือไปทำอะไร ไม่มีใครตอบได้แน่ชัด เพียงแต่คาดเดาไปต่างๆนาๆซึ่งหัวข้อสนทนาแบบนี้มันไม่สนุกเอาเสียเลย ยิ่งคุยก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าพวกเรากำลังจะต้องจากกันไปคนละทิศละทาง บรรยากาศที่สนุกอยู่เมื่อครู่จึงหดหู่ลงไปโดยปริยาย
สมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน เด็กในวัยสิบขวบต้นๆไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้อย่างทุกวันนี้ คอมพิวเตอร์ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่มีกันได้ทุกบ้าน โทรศัพท์บ้านแม้จะมีทั่วถึง แต่ก็มักจะถูกพ่อแม่กำชับว่าอย่าใช้งานบ่อยนักเพราะค่าบริการมันแพง สำหรับใครที่ไม่ได้มีเพื่อนร่วมโรงเรียนอยู่ในละแวกบ้านเช่นผม ก็เหมือนถูกตัดขาดจากโลกของเพื่อนทุกครั้งเมื่อถึงเวลาปิดเทอม
แม้จะได้คุยกันบ้างนานๆทีตามสายโทรศัพท์ แต่สำหรับคนที่เคยเห็นหน้ากันทุกเช้า เฝ้ามองสาวๆด้วยกันทุกเย็น ได้คุยแค่นี้ไม่เพียงพอหรอกในความรู้สึก แต่จะทำอย่างไรได้ ก็อย่างที่บอกครับ เด็กสิบสองขวบเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่สุขสบายเหมือนยุคนี้
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ก.พ. 54 21:37:48
|
|
|
|