Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หน้ากากจอมปลอม ติดต่อทีมงาน

     “พระคุณของพี่เอม เปรียบประดุจพระคุณแม่ค่ะ” เสียงที่มาจากปลายเตียง แม้จะดูอ่อนโยน จริงใจ แต่ต่อให้เป็นคำพูดที่ยกย่องเทิดทูนขนาดไหน ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของคนที่นอนอ่อนแรงอยู่บนเตียงรู้สึกดีขึ้นเลย ภายในจิตใจที่อ่อนระโหยโรยแรงจากเหตุการณ์ร้ายๆ กลับลุกโชนราวกองฝืนที่ใกล้จะมอดดับ ได้รับการโหมกระพือมีจนพลังขึ้นมาอีก ติดอยู่ตรงที่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาบอกคนอื่นได้ว่า อย่าได้ไปเชื่อนังนั่น

     แต่สิ่งที่แสดงออกกลับเป็นการพยักหน้าให้กับคำพูดเมื่อครู่ พร้อมน้ำตาที่รินไหลออกมา ทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างเตียงต้องเอื้อมมือมาปาดซับน้ำตาให้ พลางกล่าวปลอบโยนอย่างสงสารว่า

     “โธ่ ดูสิ ยัยเอมคงซึ้งใจมากที่มีน้องสาวแบบนี้ ฉันเอง ปอเพื่อนเธอไง เมื่อกี้เห็นว่าหลับอยู่เลยไม่กล้าปลุก พอได้ข่าวฉันก็รีบมาเยี่ยมเลยทันที ไม่รู้กรรมเวรอะไรนะ ถึงทำให้เธอต้องเจอเรื่องร้ายๆและตกอยู่ในสภาพนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ น้องสาวเธอคงดูแลเธอได้เป็นอย่างดีที่สุด ส่วนฉันจะมาเยี่ยมเธอบ่อยๆนะ ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี้ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆอีกเดี๋ยวก็คงแห่กันมาล่ะ ฉันกระจายข่าวให้ทุกคนรู้กันหมดแล้ว ทุกคนตกใจมากเลยนะ ที่รู้เรื่องว่าเธอเข้าโรงพยาบาล”

     ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนังนั่นคนเดียว นังคนที่วางท่าเป็นหญิงสาวผู้แสนดี คอยปรนนิบัติพัดวีเธออยู่ตลอดเวลา จนคนรอบกายตายใจ หาได้รู้ไม่ว่ามันคือ “นังอสรพิษ” ดีๆนี้เอง

     “เดี๋ยวฉัน ขอตัวกลับก่อนนะ เธอจะได้ให้ยัยอรเช็ดเนื้อเช็ดตัว แล้วจะได้พักผ่อนเยอะๆตามที่หมอสั่ง วันหลังฉันจะมาเยี่ยมใหม่ ใจจริงฉันก็อยากมาอยู่ดูแลเธอให้สมกับเป็นเพื่อนรักกัน แต่ติดที่ฉันต้องทำงาน หวังว่าเธอคงเข้าใจนะ”

     “จ๊ะ ไม่เป็นไร เอมเข้าใจเพื่อนดีเสมอ” คนป่วยตอบมาด้วยสีหน้าแววตาซึ้งใจ
      “แต่ถึงมาดูแลเองได้ ก็คงไม่ดีเท่ากับที่อร น้องสาวเธอทำอยู่หรอกนะ” คนพูดหยุดหันไปมองหน้าสบตาคนที่อยู่ปลายเตียง ที่กำลังใช้ผ้าชุบน้ำ เตรียมเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายให้คนที่นอนอยู่บนเตียง

     “เธอนี้ โชคดีจริงๆ ที่มีน้องสาวแสนดีแบบนี้” คือคำพูดสุดท้ายของเพื่อน ก่อนจะช่วยรูดม่านปิดรอบเตียงแล้วจากไป เพื่อให้คนไข้ได้รับการทำความสะอาดร่างกาย

     ร่างบนเตียงหลับตาลงอย่างคับแค้น โชคร้ายนะสิไม่ว่า ตั้งแต่ 15 ปีก่อนที่นังวายร้ายนั้นก้าวเข้ามาในชีวิตเธอ สิ่งดีๆในชีวิตเธอหดหายไปที่ล่ะอย่างสองอย่าง พ่อที่เคยรักเธอก็แบ่งปันความรักไปให้มัน แม่ซึ่งเป็นแม่ของเธอแท้ๆที่เธอเชื่อว่ารักเธอที่สุด ก็กลับไปเอ็นดูเมตตามัน ทั้งๆที่ตอนแรกก็เกลียดชังมันไม่ต่างกับเธอ เคยทะเลาะกับคุณพ่อยกใหญ่ ในช่วงแรกๆที่คุณพ่อพามันเข้ามาอยู่ในบ้าน แต่วันนี้แม่คนเดิมของเธอกลับไม่มีปฏิกริยาต่อต้านเหมือนเมื่อก่อน หรือว่ามันมารยาจนคุณแม่ใจอ่อนไปแล้ว

     เสียดายนักที่ตัวเองไม่มีความกล้าพอ ซึ่งถ้ามีความกล้านะ เอมอร คนนี้แหละจะฉีกกระชากหน้ากากที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของคนร้อยมารยา ใส่หน้ากากมาตีเสมอนับญาติกับเธอ แต่เมื่อไม่มีความกล้า เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองเธอว่าเป็นคนขี้อิจฉา จึงทำได้แค่คิด ไม่เคยได้แสดงออกมาอย่างเปิดเผย

     “พ่อว่าจะให้น้องเปลี่ยนชื่อเป็น อิงอร จะได้คล้องจองกันกับชื่อพี่สาว เอมว่าดีไหมลูก”
     “อ้าว ทำไมล่ะค่ะ ชื่อเดิม อรอนงค์ ก็เพราะดีอยู่แล้วนี้ค่ะ”
คนเป็นพี่สาวพยายามจะหาเหตุผลแย้งเพราะไม่ต้องการจะไปสนิทชิดเชื้อกับใครก็ไม่รู้ ที่อยู่ๆก็ถูกคุณพ่อหอบหิ้วเอามาแล้วพยายามยัดเยียดให้เป็นน้องสาวเธอ ตอนนั้นเธอเพิ่งแค่ 13 ขวบเพิ่งเข้าเรียนชั้นมัธยม เธอหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว

     ชายผมสีดอกเลาทำนัยตาอ่อนโยนก่อนก้มตัวที่สูงสง่าลงมาลูบหัวเธอเบาๆก่อนบอกว่า
“เพราะน้องคือคนในครอบครัวเรา พ่ออยากให้หนูกับน้องมีสื่อเชื่อมถึงกันได้ วันนี้อาจเป็นเพียงแค่ชื่อ แต่อีกหน่อย พ่อรู้ว่า เอมจะต้องรักน้องแน่ๆ”

     “หนู เป็นลูกคนเดียวค่ะ ไม่เคยมีพี่น้อง” เด็กน้อยสบัดหน้าเดินหนีไป ไม่ฟังเหตุผลใดๆจากผู้เป็นพ่อทั้งนั้น และนั่นอาจเป็นครั้งเดียวที่เธอมีปฏิกิริยาต่อต้านน้องสาวคนนี้ เพราะหลังจากนั้นเธอก็วางตัวเฉย ไม่แสดงออกว่ายินดียินร้ายอะไรให้ใครเห็นเกี่ยวกับน้องสาวคนนี้

     แต่ภายในใจกลับเฝ้าคิดว่า จะเป็นพี่น้องกันได้อย่างไร เมื่อไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมาเลยตั้งแต่เกิด ไม่เคยมีช่วงชีวิตวัยเด็กวิ่งเล่นหยอกล้อกัน แถมวันที่มีมันโผล่เข้ามา ก็ไม่มีอะไรเลยที่คล้ายคลึงกับเธอ ใส่ผ้าที่นังนั่นใส่เข้ามาในวันแรก ก็ช่างดูมอมแมมสกปรกเกินกว่า ที่เป็นลูกสาวนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยหนุ่มอย่างคุณพ่อเธอ

     หัวสมองของนังนั่นก็ทึบทื่อไม่เฉลียวฉลาดคล้ายกับเธอที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณพ่อ เธอจำได้ดี ว่าเธอเรียนได้ที่ 1 ทุกปี แต่มันเรียนย่ำแย่จวนเจียนจะตก จนคุณพ่อ ต้องให้เธอมาคอยสอนการบ้านให้กับมันซึ่งอายุน้อยกว่าเธอ 2 ปี ในวันที่เธอขึ้นชั้นมัธยม แทนที่จะได้ผ่านพ้นแบบเรียนของชั้นประถมไปแล้ว กลับต้องมานั่งสอนวิชาซ้ำซากที่เธอเคยเรียนผ่านมาแล้วให้กับมัน เป็นอย่างนี้มาตลอดจนกระทั่งเธอเข้ามหาวิทยาลัย เธอถึงหลุดพ้นบ่วงกรรมแบบนี้

     แต่บ่วงกรรมแบบใหม่ก็เข้ามาแทนที่ เหมือนชีวิตนี้ของเธอจะต้องถูกนังนั่นตามมาคอยสร้างปัญหาชีวิตให้กับเธอไม่รู้จบ เพราะจากการที่เธอตั้งใจเรียนมาตลอดจนเหนื่อยล้า พอเข้ามหาลัยแล้ว เธอก็อยากจะผ่อนคลายโดยการให้ความสำคัญกับเรื่องสนุกสนานที่เพิ่งมีโอกาสได้พบเจอบ้าง และมันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเธอมากนัก แค่พลาดจากเกียรตินิยมอันดับ 1 ไปด้วย ระดับผลการเรียนเฉลี่ยเพียงนิดเดียวเอง

     แต่นังนั่น นังหัวทืบคนนั้น มันเรียนดีขึ้น จากที่เคยเกือบตกในช่วงแรกๆ แต่เพราะได้รับการสอนจากเธอ ทำให้มันเรียนดีขึ้นมาก จนสุดท้ายเกือบสามารถคว้าเกียรนิยม มาได้ตอนเรียนจบมหาวิทยาลัย

     “ลูกอรเก่งขึ้นมากนะลูก อีกแค่นิดเดียวเองได้เกียรตินิยมแล้ว” คำพูดคำชมตอนนังนั่นรับปริญญายของคุณพ่อ ยังดังก้องหู ชมต่างๆนานาๆว่ามีพัฒนาการบ้างล่ะ ว่าเป็นเพราะขยันบ้างล่ะ เก่งตายเลย..!!

     ซึ่งถ้าเอาผลการเรียนเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ เธอก็ยอมรับว่านังนั่น ทำได้ดีกว่า ในเรื่องพัฒนาการ แต่ก็ยังแพ้เธออยู่ดี แต่ทำไมคุณพ่อ ไม่ดูบ้างล่ะว่า ว่าเป็นเพราะอะไร เธอเรียนสบายๆ ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไร เล่นบ้างเรียนบ้างตามอารมณ์ แต่เธอยังทำได้ดีตามลักษณะของคนหัวดี แต่นังนั่นใช้ความพยายามแทบตาย ทั้งเรียนพิเศษทั้งหมกตัวอยู่กับตำรา ทำตัวเป็นหนอนหนังสือ ต่อให้คนอื่นมองคนอื่นก็ยังรู้ได้ ว่ามันทำไปก็เพราะหวังที่จะประจบเอาใจคุณพ่อเท่านั้น แต่ทำไมคุณพ่อกลับไม่รู้ล่ะ

     ถึงเรื่องเรียนจะจะไม่ทำให้เธอภาคภูมิใจเท่าไร เพราะชนะแบบฉิวเฉียด แต่เรื่องงาน เอมอรมั่นใจว่าไม่มีทางผ่ายแพ้เด็ดขาด เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวเข้ามาทำงานในบริษัทของคุณพ่อเธอ ทุกคนในที่ทำงานต่างก็มองว่าเธอไม่ได้มีความสามารถอะไร แค่อาศัยว่าเป็นลูกเจ้าของบริษัท แต่เธอก็ได้ทุ่มเทแรงใจแรงกายตลอดอย่างความสามารถ จนกระทั่งแผนกที่เธอได้รับมอบหมายให้ดูแล สามารถสร้างผลกำไรให้กับบริษัทอย่างมากมายและต่อเนื่อง ทุกคนในบริษัทล้วนยอมรับในฝีมือของเธอ จนเธอก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าแผนกการตลาด โดยปราศจากข้อครหาว่า ที่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งตั้งแต่ยังสาว เพราะเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทจากเหล่าพนักงาน

     อิงอรซึ่งเรียนจบช้ากว่าพี่สาว 2 ปี อาจเป็นเพราะไม่ได้อยากแข่งขันกับพี่สาวตัวเอง จึงปฎิเสธหน้าตำแหน่งหน้าที่ดีๆ ที่คุณพ่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้ทำ ซึ่งสุดท้ายก็ตกลงกันได้ที่ตำแหน่งเลขานุการของผู้เป็นพ่อ ซึ่งคนทั้งบริษัทก็รู้ว่าที่อิงอรได้ทำงานตำแหน่งนี้ก็เพราะเป็น “เด็กเส้น” เหมือนกับพี่สาวของเธอในครั้งแรกที่เข้ามาทำงานที่นี้ แต่บัดนี้ผู้เป็นพี่สาวใช้ความสามารถสลัดพ้นคำว่าเด็กเส้นไปแล้ว

     ผู้เป็นน้องสาวเลือกทำตัวเรียบง่าย ซึ่งวันๆ ก็ทำงานไปตามหน้าที่ ไม่ได้กระตือรือล้นที่จะแสดงความสามารถอะไร คล้ายกับพอใจที่จะไม่สร้างความโดดเด่นขึ้นมาแข่งกับพี่สาว แต่ด้วยน้ำใจไมตรีที่มีให้กับทุกคน ปฏิบัติอย่างสุภาพเรียบร้อยน่ารัก จึงทำให้น้องสาวสามารถลบเลือนภาพเด็กเส้นออกไปจากสายตาคนอื่นๆได้ แต่นั้นเป็นสิ่งที่เอมอรผู้เป็นพี่สาวรับไม่ได้ เพราะคิดเอาเองว่าเป็นมารยาของน้องสาว และเหมาว่าเป็นชัยชนะของฝ่ายตน เพราะมองจากผลกำไรเป็นหลัก

     ซึ่งทั้งหมดเป็นความคิดของเอมอรเพียงฝ่ายเดียว แต่ความคิดก็อยู่ส่วนความคิด การกระทำเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้ภายนอกอาจจะดูว่าเธอให้ความสนิทสนมกับน้องสาว แต่แท้ที่จริงแล้วเหินห่าง แม้คำพูดคำจาจะฟังไพเราะเสนาะหู แต่แอบเสียดสีทิ่มตำอีกฝ่ายเป็นระยะ เธอคอยคิดแข่งขันกับน้องสาวในทุกๆเรื่อง ต้องการทำให้รู้ ว่าเธอคือผู้ที่อยู่เหนือกว่าอยู่เสมอ แต่เธอทำมันได้เนียบเนียนชนิดที่คนรอบข้างไม่รู้สึก แม้แต่พ่อแม่ของเธอ เว้นแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เธอคิดว่ารู้

     เรื่องความรักก็เป็นอีกเรื่อง ที่ฝ่ายพี่สาวคิดว่าตัวเองไม่มีทางแพ้คู่แค้นต่างสายเลือด เนื่องจากทั้งสองพี่น้องเป็นคนหน้าตาดี ฐานะก็จัดว่าไม่น้อยหน้าใคร คนพี่มีบุคลิกเป็นสาวสมัยใหม่ ที่ดูเก่งและฉลาด มีความมั่นใจ คนน้องเรียบร้อยอ่อนหวาน มีน้ำใจไมตรี จึงไม่แปลกที่มีชายหนุ่มมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาเสนอตัวให้สองพี่น้องพิจารณาอยู่เป็นประจำ

     วรวิทย์ คือชื่อชายหนุ่มที่ทั้งสองคนถูกตาต้องใจ แต่อาจจะด้วยเหตุผลแตกต่างกัน เพราะในตอนแรกที่ผู้ชายคนนี้ก้าวเข้ามาในชีวิตของทั้งสอง เอมอรเห็นน้องสาวมีท่าทีแสดงออกแม้ไม่ชัดเจนนักในสายตาใคร แต่เธอก็รู้ได้ว่าน้องสาวชอบผู้ชายคนนี้ เธอจึงโดดเข้าวงเริ่มเกมส์แย่งชิงรักครั้งนี้ด้วย แต่พอได้มารู้จักผู้ชายคนนี้จริงๆ ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า คนแบบนี้แหละที่เธอฝันหา เขาช่างรู้ใจเธอไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะชอบอะไร อยากได้สิ่งไหน เขาทำให้ถูกใจเธอไปเสียหมด ราวกลับว่าเขาจดได้จดบันทึกเรื่องราวของเธอมาก่อน

     วรวิทย์ เป็นหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง เป็นเจ้าของบริษัทคู่ค้ารายสำคัญของบริษัทพ่อของสองสาว และพ่อของพวกเธอก็พึงพอใจถึงขนาดเปรยว่า อยากให้ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกเขยในอนาคต

     เมื่อผู้ใหญ่เปิดทางให้ วรวิทย์จึงเข้านอกออกในบริษัทของพวกเธอเป็นประจำ อ้างว่ามาติดต่อเรื่องงานไปเรื่อย แต่ใครๆก็รู้ว่า หนุ่มรายนี้หมายปองจะปลูกต้นรักที่นี้ เข้ามาครั้งแรกอาจจะยังดูไม่ออกว่าจะมาสานสัมพันธ์ทางใจกับใคร แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นตลอดไป เพราะไม่นานเขาก็แสดงท่าทีมีใจกับคนผู้น้องมากกว่า แต่เพราะเมื่อทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน ย่อมจะรู้ใจกันเป็นอย่างดี แม้มีฝ่ายหนึ่งคอยตั้งแง่ก็ตาม อิงอรเป็นผู้ที่ล่วงรู้ใจเอมอรที่สุดเพียงคนเดียว ยอมเป็นฝ่ายยอมถอนตัวออกจากไม่แก่งแย่งกับรักสามเส้าไป จนชายหนุ่มต้องกลับลำหันมาคบหาดูใจกับคนพี่แทน

     แต่วันนี้ วันที่เธอกลายเป็นคนพิการ เขายังจะรักเธออยู่ไหม หรือจะเปลี่ยนใจกลับไปหานังนั่นอีก เอมอรนึกกลัวเหลือเกิน

     4 วันก่อน เอมอรประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่งผลให้เธอต้องสูญเสียแขนขาไปอย่างล่ะข้าง เธอเฝ้าโทษว่าน้องสาวเป็นต้นเหตุ เพราะวันนั้นน้องสาวทำทีท่าว่าไม่สบาย จนไปพบลูกค้าคนสำคัญไม่ได้ ซึ่งหากไม่ไปพบลูกค้าในวันนั้น บริษัทอาจสูญเสียรายได้จากการเจรจาธุรกิจครั้งนั้น เอมอรจึงขันอาสาคุณพ่อออกไปทำหน้าที่นี้แทนน้องสาว จนเป็นเหตุให้เธอประสบอุบัติเหตุในที่สุด โทษน้องสาวทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเธอ นี้แหละเอมอร

     “เช็ดตัวเสร็จแล้วคะ พี่เอม” น้องสาวพูดพลางจัดเสื้อผ้าที่ถูกสวมใส่แทนชุดเดิมที่ถูกถอดออกให้เข้าที่ ส่งสายตาบอกคนที่อยู่บนเตียงว่าเธอปรนิบัติด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง ทั้งของเสียจากการขับถ่ายเธอก็จัดการให้อย่างเต็มใจ ไม่เคยออกอาการรังเกียจให้คนป่วยรู้สึกว่าเป็นภาระของคนอื่นเลย ไม่เคยต้องให้พยาบาลต้องมาทำหน้าที่แบบนี้ เธออาสาทำเองทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนคือสายตาที่จ้องมองด้วยความชิงชัง ชิงชังทั้งๆที่ตนพยายามทำดีด้วย

     “ไม่ว่าพี่เอม จะโกรธเกลียดน้องอรเรื่องอะไร น้องอรขอรับไว้ทุกอย่างค่ะ”
     “ขอเพียงอย่างเดียว ขอให้น้องอรได้ทำหน้าที่ปรนนิบัติดูแลพี่เอมบ้างก็เท่านั้น”

     น้องสาวเป็นผู้ที่อ้าปากเปิดใจก่อน หยาดน้ำตาหยดเล็กๆ หยดลงที่มือเอมอร มือซึ่งน้องสาวที่เธอรังเกียจนำเอาไปโอบประคองแนบแก้มไว้ นำมาซึ่งการฉุกใจคิดว่าที่ผ่านมาเธอเข้าใจน้องสาวคนนี้ผิดหรือเปล่า แต่ไม่น่าใช่ เพราะเธอคิดว่าดูไม่ผิด จากสายตาที่ดูอ่อนโยนจริงใจนั้น มันมีบางอย่างแฝงอยู่ด้วย โดยเฉพาะตั้งแต่มีวรวิทย์ก้าวมาในชีวิตของพวกเธอ แต่เอมอรดูไม่ออกว่าคืออะไร นั่นมันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจ จึงตัดสินใจว่าจะเคลียร์ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับน้องสาวให้ชัดเจน

     “รู้ใช่ไหม ว่าพี่ไม่ชอบเธอ”
     “รู้ค่ะ”
น้องสาวก้มหน้านิ่งเงียบไปพักใหญ่ 
     “แล้วจะไม่ถามเหรอ ว่าทำไมพี่ไม่ชอบเธอ” ซึ่งคำตอบที่เธอได้คือการสายหน้า น้ำตาคลอของน้องสาวเท่านั้น

     “แล้วทำไมยังมาทำดีกับพี่” คำถามนี้เป็นคำถามที่เอมอรต้องการรู้คำตอบที่สุด เพราะเธอไม่คิดว่าหน้ากากจอมปลอมที่ใครคนหนึ่งจะใส่ จะทำได้แม้กระทั่งเช็ดขี้เช็ดเหยี่ยวของคนที่ตัวรังเกียจได้ หรือว่ามีแค่เธอเท่านั้นที่คิดรังเกียจอยู่ฝ่ายเดียว

     “ก็น้องอร เป็นต้นเหตุให้พี่เอมรับเคราะห์นี้คะ”พูดจบน้องสาวก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่อายใคร และได้แต่พร่ำร้องขอโทษอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ฝ่ายที่นึกโทษอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา เริ่มหวั่นไหวในใจ เพราะเอมอรรู้ว่าที่เธอประสบอุบัติเหตุนั้น เป็นเพราะตัวเธอเอง ไม่ได้เกี่ยวกับน้องสาวเลย เพียงแต่เธอเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกจิตใจเท่านั้น ปล่อยให้ความชิงชังบดบังความจริงในข้อนี้

     “เธอรู้ใช่ไหมว่าพี่คิดยังไงกับวรวิทย์”แม้จะรู้และว่า อาจเป็นเพียงความชิงชังเพียงฝ่ายเดียวแต่เอมอรก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องนี้ เพราะในใจเธอรักผู้ชายคนนี้จริงๆ แม้ตอนแรกมีวัตถุประสงค์เพียงจะแย่งชิงน้องสาวก็เถอะ

     “รู้ค่ะ น้องอรถึงได้ยอมถอนตัว เปิดทางให้พี่เอมไงคะ” คำตอบน้องสาวทำให้เอมอรถึงกับสะอึก แต่นึกๆดูแล้ว เธอก็เห็นว่าเป็นความจริง เพราะตอนแรกวรวิทย์เข้ามาติดพันน้องสาวก่อนเธอ แม้จะอยากค้านแทบตายว่า เธอเป็นคนแย่งวรวิทย์มาจากน้องสาว ไม่ใช่ได้มาเพราะน้องสาวเปิดทางให้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเห็นกันอยู่ว่าชายหนุ่มมาหาเธอ เพราะน้องสาวไม่เล่นด้วย

     “แล้วตอนนี้ ยังอยากได้เขาอยู่อีกไหม”เธอติดนิสัยเสียดสีน้องสาวมากเกินไป จึงได้เผลอตัวถามออกไปเช่นนี้
     “หากเป็นผู้ชายที่พี่เอมรัก น้องอรไม่มีวันอยากได้ค่ะ” และแล้วเอมอรก็ได้รู้ความจริงใจของน้องสาวจากประโยคนี้ มันทำให้เธอละอายถึงที่สุด เธอรู้แล้วว่าตลอดมา มีแต่เธอเท่านั้นที่ใส่หน้ากากจอมปลอมเข้าหาน้องสาวผู้แสนดีคนนี้ ซึ่งนั้นทำให้รู้ว่า ด้วยจิตใจเธอที่เป็นแบบนี้ และร่างกายที่ไม่สมประกอบเหมือนเก่า มันทำให้เธอไม่คู่ควรกับการได้ครอบครองเขาคนนั้น

     “น้องอร เอาเขาไปเถอะ พี่ไม่คู่ควรกับเขา”เธอบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงที่ละอายถึงที่สุด
     “ไม่ค่ะไม่มีทางที่น้องอรจะแย่งคนที่พี่สาวรักเด็ดขาด”อิงอรตอบหนักแน่น
      “ยิ่งเป็นคุณ วรวิทย์ด้วยแล้ว น้องอรไม่มีทางแต่งงานด้วยเด็ดขาด”

     “ทำไมล่ะ เขาเป็นคนดี น้องอรก็รู้นี้”พี่สาวพยายามหาเหตุผลมาเกลี้ยกลล่อม นี้เป็นครั้งแรกที่เธอหวังดีกับน้องสาวคนนี้
     “ก็เพราะเป็นคนดีไงคะ คุณวรวิทย์ถึงเหมาะกับพี่เอม”
น้องสาวมีท่าทีอึกอักเรียกน้อย ตอนเอ่ยชื่อผู้ชายคนนั้น แต่ก็สำทับหนักแน่นว่า

     “เชื่อน้องอรเถอะคะ ว่าคุณวรวิทย์ ไม่มีทางเปลี่ยนใจจากพี่เอมเพราะเห็นว่าพี่เอมเป็นแบบนี้หรอก”เมื่อน้องสาวยืนยันหนักแน่นแบบนี้ เอมอรก็ไม่คิดเรื่องที่กลายเป็นคนพิการแล้ว เพราะสิ่งหนึ่งที่เธอได้มาแล้ว ก็คือน้องสาวที่แสนดีคนนี้ ซึ่งตอนนี้เธอเชื่อว่าจะดูแลเธอตลอดไป ส่วนเรื่องความรักนั้น จะสมหวังหรือผิดหวังก็ปล่อยไปตามฟ้าลิขิต

     “ขอบใจนะน้องอร ต่อไปนี้พี่สัญญาว่าจะรัก และสัญญาว่าจะไม่คิดตั้งแง่กับน้องอรอีกแล้ว”พี่สาวดึงน้องสาวเข้ามากอดไว้ หวังให้กอดนั้นถ่ายทอดความรู้สึกสำนึกผิดที่เธอมีไปถึงน้องสาว
     “พี่เอม อย่าเพิ่งยอมถอดใจนะคะ” น้องสาวพยายามปลอบเหมือนล่วงรู้สิ่งที่เธอคิด
     “แต่.....”
     “ไม่มีแต่ทั้งนั้นค่ะ ทำใจให้สบายๆเอาไว้ น้องอรเชื่อว่าเขาไม่เปลี่ยนใจด้วยเรื่องแค่นี้หรอกนะคะ คุณวรวิทย์เท่านั้น ที่คู่ควรกับคนอย่างพี่เอม”

     คำว่าแต่ของเอมอรที่สะดุดหยุดไป เธอหมายถึงเขา วรวิทย์ ว่าทำไมไม่เคยมาหามาดูแลเธอบ้างเลย มีเพียงวันแรกที่เธอเข้าห้องผ่าตัดเท่านั้น ที่เขามาเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้คุยกัน เพราะเธอหลับเพราะยาสลบหลังการผ่าตัดช่วยชีวิต วันนี้ก็วันที่ 4 แล้วที่เธอต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เขาก็ไม่เคยโผล่มาอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น

     พ่อแม่เธอก็เหมือนกัน ทำไมไม่มาเยี่ยม ปกติจะมาเฝ้าดูแลเธอตั้งแต่เช้า นี้ก็เลยมาจนจะเย็นแล้ว ทำไมยังไม่เห็นมา นึกได้ไม่ทันไร ประตูห้องพยาบาลก็ถูกเปิดออกอย่างรีบร้อน พร้อมกับเห็นแม่วิ่งเดินปนวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นเต้นดีใจ มีพ่อเดิมตามหลังยิ้มกริ่มเข้ามา

     “เอม ดีใจไหมลูก พี่วรวิทย์เขามาสารภาพว่าเขารักเอม และสู่ขอเอมกับพ่อแม่แล้ว” สิ่งที่เธอได้ยิน ทำให้เธอตกใจแทบชอค มันเป็นไปได้ยังไง เธอคิดไม่ถึงว่าจะมีคนดีขนาดนี้อยู่ในโลก น้องสาวที่ไม่ว่าเธอจะชิงชังสักขนาดไหน ก็ไม่มีวันเกลียดเธอ ผู้ชายที่ยอมแต่งงานเพราะความรักกับผู้หญิงที่เพิ่งพิการ หรือว่าเธอเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่มีจิตใจคับแคบ นอกนั้นเขาเป็นคนดีกันหมดหรืออย่างไร

     “งานแต่งงานจะมีขึ้นทันที ที่ลูกเอมออกจากโรงพยาบาล”พ่อซึ่งยืนลูบหัวเธออยู่ข้างเตียงกล่าวเสริมแม่ ที่กำลังบอกเล่าบอกว่า วันนี้เมื่อเช้าพ่อกับแม่ต้องอยู่ต้อนรับผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่มาสู่ขอลูกสาวตนเอง เป็นเหตุให้วันนี้จึงมาเยี่ยมดูแลช้า เป็นการมาแบบไม่รู้ตัว เพราะทางฝ่ายชายไม่เคยแจ้งล่วงหน้าใดๆมาก่อน

     “เห็นไหมคะ น้องอรบอกแล้ว”น้องสาวยิ้มบอกอย่างจริงใจ และครั้งนี้เอมอรรู้สึกว่านั้นคือรอยยิ้มที่จริงใจที่สุด บ่งบอกถึงความสุขจริงๆ ซึ่งคงเป็นเพราะความยินดีที่น้องสาวมีต่อเธอ

     “คุณวรวิทย์เท่านั้น ที่คู่ควรกับคนอย่างพี่อร” คือคำที่น้องสาวเดินมากระซิบบอกใกล้ๆ ก่อนจะขอตัวกลับไปผักผ่อนที่บ้าน

     ระหว่างทางกลับบ้าน อิงอรยิ้มอย่างมีความสุขตลอดทาง 15 ปีแล้วที่เธอต้องทนกับความเย็นชาจากพี่สาว การมีคนใกล้ชิดแบบนี้มาตลอด มันไม่เคยทำให้เธอมีความสุขเลย แต่เสแสร้งแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้สึกอะไรตลอดเวลา ทั้งที่จริงเธอก็รู้สึกโกรธเหมือนกัน และคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้ผิดอะไร ที่ดันเกิดมาเป็นลูกนอกสมรสของคุณพ่อ และมันไม่สนุกเลยกับการที่ต้องแกล้งยอมแพ้ทุกอย่าง

      วรวิทย์ ก็เป็นผู้ชายที่ดีอยู่หรอกนะ ถ้าเขาไม่เป็นเกย์ อิงอรได้รู้ความจริงเรื่องนี้จากเพื่อนที่เป็นเกย์ที่เคยเรียนด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัย และเคยเป็นคู่ขาของนายคนนี้มาก่อน ที่มาบอกเธอ หลังจากรู้ข่าวว่าวรวิทย์มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทของพ่อเธอ เธอยังรู้มาจากเพื่อนอีกว่า วรวิทย์ต้องการหาใครสักคนมาแต่งงานด้วย เพื่อกลบเกลื่อนอาการเป็นเกย์ไม่ให้คนภายนอกรู้

     เธอจึงแกล้งแสดงท่าทีให้พี่สาวเห็นว่าเธอกำลังปลื้มผู้ชายคนนี้อยู่ ซึ่งก็ได้ผล พี่สาวเธอติดกับ เสนอตัวเข้ามาตามแผนการณ์ของที่สร้างขึ้น ซึ่งเธอก็ถอนตัวออกมา ปล่อยให้พี่สาวเธอคิดว่าเป็นผู้ชนะอีกครั้ง หารู้ไม่ว่า ที่นายวรวิทย์ดูเหมือนจะเข้าอกเข้าใจเธอไปซะทุกเรื่อง เป็นเพราะใส่ใจเธอจริงๆ แต่ที่จริงแล้ว เธอเป็นคนที่แอบบอกข้อมูลส่วนตัวพี่สาวให้นายเกย์คนนี้รู้

      วันแรกที่พี่สาวปลอดภัยจากอุบัติเหตุแต่ต้องกลายเป็นคนพิการ เป็นวันที่อิงอรสะใจมาก แต่แค่นั้นยังไม่พอ การเย็นชากับคนอื่นมาทั้งชีวิต จะมาจบลงแค่เรื่องโชคร้ายแบบนี้มันยังไม่สาสม อิงอรจึงไปบอกนายเกย์คนนี้ ให้รีบมาสู่ขอพี่สาว ทีแรกนายเกย์คนนี้ก็ทำท่าไม่ยอม แต่เธอก็เกลี้ยกล่อมให้เห็นว่า ถ้าต่อไปในอนาคตถึงพี่สาวเธอจะรู้ความจริงว่าเขาเป็นเกย์ ก็ไม่สามารถบอกใครได้ เพราะคนอย่างพี่สาวถือเรื่องหน้าตาเป็นที่สุด อีกทั้งตอนนี้ก็ตกอยู่ในฐานะคนพิการ ยังไงๆซะถึงไม่มีใจให้ พี่สาวก็ต้องตกลงแต่งงานแน่นอน เพราะเธอไม่มีทางเลือกแล้ว ใครเข้ามาในชีวิตก็ต้องคว้าไว้ก่อน ส่วนนายวรวิทย์ที่อยากแต่งงานจนตัวสั่น พอเห็นดีด้วย จึงได้ยกขบวนมาสู่ขอพี่สาวเธอ

     “ถือว่าอรให้เป็นของขวัญแต่งงานแล้วกันนะคะ พี่เอม” หากเอมอรได้มาเห็นรอยยิ้มในตอนนี้ คงแล้วแล้วล่ะ ว่าอะไรคือสิ่งเดียวที่เธอดูไม่ออกของน้องสาว คืออะไร มันคือความแค้นที่เกิดจากถูกชิงชังแบบไร้เหตุผล

     แม้วันนี้พี่สาวเธอจะทำดีกับเธอเป็นครั้งแรกและสัญญาว่าจะเป็นแบบนี้ตลอดไปก็ตาม แต่มันสายไปแล้วล่ะ เพราะหน้ากากแสนดีที่เธอทนสวมมานาน มันหนักอึ้งเกินไป เกินกว่าที่เธอจะยอมทนอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว เธอต้องการให้พี่สาวเธอรู้บ้างว่า การมีคนที่เย็นชาอยู่ใกล้ชิดนั้นเป็นอย่างไร และเกย์ก็จัดได้ว่าเป็นคนที่เย็นชากับภรรยาซะด้วย

     “โชคดีนะคะ พี่เอม”

 

 

 

แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 54 22:40:33

แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 54 17:38:45

แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 54 17:19:48

แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 54 17:18:39

จากคุณ : พระรองตลอดกาล
เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 54 17:05:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com