เช้าวันหนึ่งของฉัน (หรือจะเป็นสายของคุณๆ ก็เป็นได้) เมื่อตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ฉันทำหลังลุกขึ้นจากเตียง สะบัดผ้าห่มออกจากตัวและขยี้ตาให้หายสะลึมสะลือ ก็คือ เดินไปกดปุ่มเปิดโน้ตบุ๊คที่วางอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง...แบบไม่ต้องใช้ความคิดเลย...สักนิด อืม..ถ้าให้พูดจริงๆ แทบจะเป็นสัญชาตญาณเลยมากกว่า เหมือนทุกครั้งที่อาบน้ำเราต้องแปรงฟังหรือล้างหน้า เป็นสิ่งที่ถ้าไม่ได้ทำแล้วเราจะรู้สึก..." แปลก "... ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่อินเตอร์เน็ต ไวไฟ เทคโนโลยี หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของมนุษย์ ฉันไม่เถียงหรอกนะว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าและอารยธรรมที่ทุกคนกำลังพยายามพาตัวเองให้เข้าใกล้ขีดจำกัดของมันอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งๆ ที่ทำไป...เอาเข้าจริง ฉันก็ไม่เห็นว่าจุดจบของการก้าวสู่โลกที่มุ่งไปอย่างไม่หยุดยั้งนี่ มันจะมีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน? และสุดท้ายแล้วเราจะได้อะไรจากความพยายามนั้น เหมือนเรากำลังก้าวเข้าไปสู่กับดักของอะไรบางอย่าง...ที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ ตอนนี้ฉันกำลังนั่งจ้องไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค ซึ่งกำลังเต้นระบำขึ้นๆ ลงๆ เป็นลวดลายวอลเปเปอร์ที่ตั้งไว้อย่างสวยงาม หน้าจอ Inbox ของข้อความที่ฉันกำลังจะส่งหาเพื่อน ถูกเปิดค้างเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจที่จะทำต่อให้จบสิ้นกระบวนความ ฉันกำลังคิด... ...ครั้งสุดท้ายที่ฉันเขียน-ได้รับจดหมาย นี่มันเมื่อไหร่กัน อาจจะเป็นเมื่อเกือบสิบกว่าปีที่แล้ว สมัยที่ฉันยังใส่โบว์กระต่ายกระโปรงน้ำเงิน อยู่ในโรงเรียนมัธยมต้น ตัดผมสั้นเท่าติ่งหู เช่นเดียวกันกับเพื่อนๆ ทุกคน ถึงฉันจะไม่ได้มีความประทับใจอะไรนักกับชีวิตนักเรียนมัธยม แต่อย่างน้อยฉันก็จำได้ว่า เด็กๆ ในสมัยก่อนหน้าตาดูสดใส อิ่มเอิบ เป็นมิตร กว่าเด็กสมัยนี้ ...เพียงเพราะว่าใบหน้าใสๆ เหล่านั้นไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตากดปุ่มโทรศัพท์มือถืออย่างเอาเป็นเอาตายเวลาเจอหน้ากัน... เราเงยหน้าสบตาและพูดคุยกัน ..นี่ฉันบอกไปรึยังว่า เราทักทายด้วยการไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ นั่งจับกลุ่มคุยกันเป็นวงใหญ่ ไม่ใช่ทักด้วย สัญลักษณ์ ^___^ หรือ ;) บนหน้าจอเล็กๆ สี่เหลี่ยมที่เรืองแสงได้... อยากรู้จังว่าเด็กๆ สมัยนี้จะรู้ไหมว่า เพื่อนทางจดหมาย คืออะไร? โอ๊ะ..โอ ไม่ใช่ โปรแกรมใหม่ทาง Facebook จ้ะ ไม่ต้องตกใจ สมัยเรียน ฉันจำได้ว่ามีวิชาหนึ่งซึ่งเราต้องเขียนจดหมายหาคนแปลกหน้าที่เป็นใครก็ไม่รู้ ที่อยู่โรงเรียนอื่นในจังหวัดที่ไกลจากบ้านของฉันตั้งเกือบค่อนประเทศ ความรู้สึกตอนเขียนครั้งแรก บอกได้ว่า พิลึก... ความรู้สึกต่อมา คือ รอคอย... แต่ความรู้สึกเมื่อได้รับจดหมายตอบกลับมาจากคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิงคนนั้น คือ ประหลาดใจ ...และแน่นอน ดีใจ... อาจไม่เหมือนเวลาถูกรางวัลที่หนึ่ง หรือชิงทุนได้ระดับประเทศ หรือเรียนจบได้ภายในระยะเวลาสองปีอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ...แต่ก็ดีใจล่ะ... ฉันชอบความรู้สึกนั้น การซึมซับความสวยงามของช่วงเวลาบางอย่าง ที่ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือเทคโนโลยีใดๆ ก็ไม่อาจให้คุณได้ เช่น การรอคอย (ถ้าคุณคิดว่าการรอคอยให้คนที่อยู่ปลายสายรับโทรศัพท์ถือมือที่ตั้งใจโทรตามจิกยิกๆ นั้น เป็นช่วงเวลาหนึ่งของการรอคอย กรุณากลับไปอ่านใหม่อีกรอบ) ช่วงเวลาแห่งการรอคอยนั้นสวยงาม เพราะมันบรรจุไปด้วยความคาดหวัง ความกังวล ความตื่นเต้น และความใส่ใจ ทุกครั้งที่เราเขียนจดหมาย เราต้องใส่ความตั้งใจของเราไปทั้งหมด ตั้งแต่การหากระดาษเขียนจดหมาย ลายมือที่บรรจงคัดอย่างตั้งใจ คำพูดที่จะบอกไป หรือแม้แต่การพยายามวิ่งไปให้ทันที่ทำการไปรษณีย์เพื่อที่จะส่งจดหมายให้ทันเวลา ทุกอย่าง...ทำด้วยใจ... เช่นเดียวกับตอนที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ทุกคนใช้โทรศัพท์บ้าน ฉันชอบนะ..เวลาต้องนั่งรอให้คนโทรมาหาเรา ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นสายที่โทรเข้ามาเพื่อเรา และการสะดุ้งสุดตัวทุกครั้งที่มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา เพียงเพื่อที่เราจะหวังได้ว่าเขาคือคนที่เรากำลังรอคอยอยู่ แหม..เวลาพูด " สวัสดีค่ะ ที่นี่บ้าน... จะพูดสายกับใครคะ? " มันฟังดูน่ารักออกจะตาย ดีกว่า " เออ..ว่าไง " เยอะล่ะหรือไม่จริง สิ่งที่ฉันอยากจะบอกจากการพล่ามทั้งหมดมานี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ฉันไม่ได้มาย์ดอะไรหรอกนะหากคนเรากำลังจะพยายามพัฒนาตัวเองไปข้างหน้า การพัฒนาเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน เพราะมันจะนำไปสู่ความเจริญ แต่ก่อนที่คนเราจะเจริญได้ ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่เขาเคยมีหรือเคยเป็นมา มันเป็นอย่างไร ฉันแค่รู้สึก (อย่างที่อาจจะคิดไปเอง) ว่าสิ่งที่เราพยายามมีหรือพยายามเป็นในทุกวันนี้ มันทำให้ทุกคนกำลังรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว...จนเกินไปไหม? เคยมีคนบอกฉันว่า เราจะใช้กล้องถ่ายรูปในการบันทึกภาพที่สวยงามไปทำไม ในเมื่อกล้องถ่ายภาพที่ดีที่สุดคือดวงตาของเรา... มนุษย์ในทุกวันนี้ใช้ชีวิตอย่างหลงลืม แม้แต่วิธีการที่จะชื่นชมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ธรรมชาติที่อยู่รอบกาย หรือแม้แต่คนที่อยู่เคียงข้าง เราคุยกันผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยลืมไปแล้วว่าการสบตา สังเกตสีหน้าการแสดงออกของฝ่ายตรงข้าม มันทำให้เรารู้สึกดีเพียงใด การได้รับจดหมายเพียงหนึ่งฉบับ พับเก็บเอาไว้เป็นสมบัติของเราคนเดียว มันดีกว่าการได้รับอีเมล์เป็นหมื่นเป็นแสนใน Inbox อย่างไร ครั้งสุดท้ายที่คุณเดินข้างถนน ทักคนแปลกหน้า และชื่นชมกับทุกสิ่งที่อยู่รอบกายด้วยตนเองนั้นตั้งแต่ตอนไหน บางทีนะ...บางที เราอาจจะรีบเกินไป ...แต่มันก็ไม่มีอะไรที่สายเกินแก้ไขไม่ใช่หรือ?...
แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 54 03:55:59
แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 54 03:54:20
แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 54 03:51:31
จากคุณ |
:
Azure_p
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ก.พ. 54 03:49:57
|
|
|
|