เจ้าหนุ่มชื่อโซลโท เอชาน อายุสิบเก้าปี เดือนหน้าจะยี่สิบแล้ว พ่อแม่เสียชีวิตแต่ยังเด็ก ที่บ้านเป็นครอบครัวขยายมีญาติหลายคน คนที่ใกล้ชิดที่สุดคือพี่สาว ซึ่งเพิ่งแต่งงานไปเมื่อไม่นานนี้ ทุกคนที่บ้านทำไร่ไถนาและเลี้ยงจามี แต่ตัวเขาตอนนี้ทำงานในเมือง มีร้านมังกร
เขายังไม่ได้แต่งงาน กำลังพยายามเก็บเงิน ร้านอยู่ไกลตัวเมืองสักหน่อย แต่ถ้าหากต้องส่งการรับ ส่ง หรือให้ไปเอาอะไรมาก็สามารถกรอกรายละเอียดไว้ได้ รับรองจะจัดการให้ในราคากันเอง แน่นอนว่าข้อสุดท้ายนี้ไม่มีใครถาม แต่โซลโทเติมเข้าไปเอง เทย์สอนเขาว่าโฆษณาได้ให้โฆษณา หน้าด้านเข้าไว้จะได้มีงานทำ
แน่นอนอีกเช่นกันว่าท่านเจ้าของร้านไม่เข้าใจสักนิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น เขาเข้าใจว่าตนยังอยู่ในโลกซึ่งอยู่ในใจใครสักคน และท่านลุงตรงหน้าสองคนนี้ก็คงเป็นตัวละครในโลกนั้นเหมือนซีมาร์ตหรืออัศวินเกราะทอง อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านลุงถามเขาก็ตอบ เผื่อว่าตอบจนเป็นที่พอใจแล้วจะได้มีใครตอบเขาได้บ้างว่าที่นี่มันคือที่ไหน และทั้งหมดนี้มันคืออะไร ตลอดจนทำอย่างไรเขาจะกลับไปได้
พอพูดหมดสิ้นแล้ว ท่านลุงที่ถือพายก็หัวเราะหึ ๆ ในคอ
"เจ้านี่เองสินะที่แม่หนูวิดาถามถึง" เขาว่า
"เอ๋"
"แม่หนูวิดามอรี นัตเซ ที่ชอบตายบ่อย ๆ" คนแจวเรืออธิบาย "เพิ่งไม่นานนี้เองตอนเธอลงมา เธอถามถึงเจ้า กลัวว่าเจ้าจะตาย"
เขาหันไปทางเพื่อนที่กำลังนั่งกอดอกอยู่
"แล้วเจ้าก็บอกเธอว่าไอ้นี่ยังไม่ตาย ไม่ใช่หรือไง"
"ก็ใช่ เขายังไม่ตาย" นายทะเบียนว่า "แต่ตอนนั้นข้ารีบดู กลัวว่าวิดามอรีจะไม่ยอมกลับขึ้นไป แต่วิญญาณแตกลงมาแบบนี้...คงต้องดูอีกรอบแล้วละมัง"
แต่ก่อนที่เขาจะลุกไป เจ้าหนุ่มที่นั่งมองภาพฝาผนังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็เอ่ยขึ้น
"ว่าแต่ที่นี่เป็นที่ไหนหรือขอรับ ข้ากำลังอยู่ในโลกในใจของใครใช่ไหม โลกของใครกัน"
นายทะเบียนหันกลับมา เขาตอบคำถามนี้บ่อยแล้ว บ่อยเกินไปจนเกือบไม่รู้สึกอะไร
“เจ้าตายแล้ว โซลโท เอชาน ที่นี่เป็นแดนคนตาย”
เจ้าของร้านฟังแล้วก็กระพริบตาหนึ่งที
"ขอรับ?"
ผ่านไปยี่สิบนาที โซลโทที่นั่งเบิกตากลมกว้างจึงได้พูดออกมา
"ไม่จริงกระมังขอรับ"
หลังจากนิ่งเงียบอยู่หลายวินาที คนแจวเรือจึงเบือนหน้าไปขอความเห็นเพื่อน
"มันโง่สินะ"
"ก็คงอย่างนั้น" นายทะเบียนเห็นด้วย
"คือ...คนอื่นเขาก็ว่าอย่างนั้นนะขอรับ" ท่านเจ้าของร้านเห็นด้วยอีกคน "แต่ข้าคิดว่าข้าไม่น่าจะตายนะขอรับ คือข้าไม่ได้ป่วยอะไร ไม่ได้เจออุบัติเหตุ ร่างกายก็แข็งแรงดี ไม่ได้ทำเรื่องเสี่ยงสักนิดเดียว อายุก็ยังไม่มากด้วย จู่ ๆ จะตายได้อย่างไรหรือขอรับ"
"คนจะตายมันก็ตาย ไม่มีสาเหตุหรอก" คนแจวเรือพยายามชี้ทางสว่างให้ชายหนุ่มฟัง
"ไม่จริงหรอกขอรับ แม้เป็นลมตายเฉย ๆ ก็ต้องมีสาเหตุ" โซลโทผู้มีเหตุมีผลเสมอยืนยัน "ข้าไม่ป่วยนะขอรับ ข้าเพิ่งไปตรวจร่างกายมา ท่านเจวานบอกว่าเป็นคนขี่มังกรต้องหมั่นตรวจร่างกายสองเดือนครั้ง เพราะทำงานอันตราย ถ้าพบอุบัติเหตุจะมีปัญหามาก ท่านหมอว่าข้าแข็งแรงมาก ไม่มีโรคอะไรแม้แต่นิดเดียว อย่างสุดท้ายที่ข้าจำได้ก่อนจะมาอยู่ที่นี่คือข้ากำลังเดินไปหาเรนา ข้าอาจจะสะดุดหกล้มก็ได้ แต่คนเราหกล้มหัวฟาดพื้นตายในหอไอดาไม่ได้หรอกนะขอรับ เรนาเคยบอกข้าว่าหอไอดาเป็นเขตเวทมนตร์ อาจจะมีใครเจออะไรแปลก ๆ ในนั้นบ้าง แต่จะไม่มีใครตาย"
ท่านเจ้าของร้านมีเหตุผลถึงเพียงนี้ ท่านลุงสองคนที่นั่งฟังอยู่จึงได้เงียบไป หลังจากมองหน้ากันแวบหนึ่ง ท่านลุงคนที่แต่งชุดขุนนางก็ลุกขึ้นยืน บอกว่าตนจะไป "ห้องเทียนไข" หากไปที่นั่นคงจะได้ทราบอะไร
"ว่าแต่เจ้าไม่กลัวตายเลยหรือ" ท่านลุงคนที่ถือพายถามโซลโทหลังจากเพื่อนคล้อยหลังไปแล้ว
"คือ...ว่ากันตรง ๆ ข้ายังไม่คิดว่าตายจริงนะขอรับ เทย์บอกว่าใครบอกอะไรก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ จะซวยเอาได้" อีกฝ่ายเกาหลังคอแกรก ๆ
แต่ที่จริงคือปีหนึ่งที่ผ่านมานี้ หลังจากมีคนรักเป็นคนที่มีโลกประหลาดในหัวใจ พบแม่มดที่ตายแล้วฟื้นตลอดเวลา ท่านชายที่ถูกสาป ลูกจ้างประจำร้านผู้จริง ๆ แล้วเป็นมังกร และจริง ๆ แล้วอีกทีเป็นวิญญาณธาตุน้ำ มาตรฐานความธรรมดาของท่านเจ้าของร้านจึงยิ่งวันยิ่งพุ่งกระฉูดขึ้นจนสูงผิดมนุษย์มนา ซึ่งอาจเห็นได้จากการที่ชายหนุ่มคิดไปเองว่าคนธรรมดาที่สุดเท่าที่ตนพบในรอบปีนี้คือเทย์
...
ผ่านไปนานพอสมควร โซลโทพูดคุยกับท่านลุงถือพายจนเป็นเพื่อนกันไปแล้ว ท่านลุงที่สวมชุดขุนนางจึงได้กลับมา สีหน้าของเขาแปลกไปมาก อธิบายไม่ถูกว่าคิดเห็นอย่างไร เมื่อพบโซลโท ท่านลุงก็บอกเพียงคำเดียวว่าให้ตามมา ชายหนุ่มไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรจึงทำตาม ท่านลุงที่ถือพายเห็นอย่างนั้นก็ลุกขึ้นเช่นกัน
พวกเขาเดินไปตามทางที่ค่อนข้างซับซ้อน อาคารแห่งนี้แปลกยิ่งนัก ไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว แสงเดียวที่ภายในคือแสงตะเกียงเล็ก ๆ ซึ่งมีเปลวไฟสีเขียว ตามไปตลอดผนังและทางเดิน แสงไฟสีเขียวดังกล่าวสะท้อนรูปปิดฝาผนัง ซึ่งโซลโทพบว่าน่าจะเป็นเรื่องราวต่อจากผนังในห้องที่เขานั่งเมื่อครู่ แต่รูปมากมายยิ่งนักจนไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเรื่องราวอะไรกันแน่ ดูเหมือนจะมีตัวละครมากมาย และมีเรื่องหลายเรื่องซ้อนกันอยู่ในที่เดียว มอง ๆ ไปบางครั้งตัวละครจากเรื่องหนึ่งก็เข้ามายุ่งเกี่ยวกับอีกเรื่องหนึ่ง แต่บางครั้งเรื่องก็เพียงขนานกัน มีอยู่หลายคราวเหมือนกันที่เรื่องขนานกันไปเรื่อย ๆ ครั้นถึงจุดหนึ่งกลับมีการมาแต่งงานเกี่ยวพันกันได้ กลายเป็นเรื่องเดียวกันเสียเฉย ๆ อย่างนั้น และมีอีกเหมือนกันที่เรื่องเดียวกันจู่ ๆ ก็แยกทาง แตกกิ่งก้านสาขาเป็นเรื่องอีกไม่รู้เท่าไร ราวกับต้นไม้ทีเดียว
โซลโทเดินไปมองไปเพลิน ๆ รู้ตัวอีกครั้งก็พบว่าทางเดินกลายเป็นโถงใหญ่ เมื่อแรกที่มองเข้าไปในแสงสลัวไม่เห็นอะไรสักอย่างนอกจากเสาต้นใหญ่ ๆ หลายต้นที่ค้ำเพดานโถงไว้ แต่เมื่อมองผ่านตรงกลางระหว่างแนวเสาเข้าไป ชายหนุ่มจึงเห็นบางสิ่งที่สะท้อนแสง เมื่อท่านลุงสองคนนำให้เดินต่อไป โซลโทจึงเห็นว่าของสะท้อนแสงนั้นเป็นกระจกเงาบานใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นตรงสุดด้านในของโถง กระจกบานใหญ่ยิ่งนัก ทว่ายิ่งเดินเข้าไปใกล้กลับยิ่งคุ้นตา ชายหนุ่มงุนงงว่าเพราะอะไรอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเข้าใกล้จริง ๆ จึงทราบ...แม้ว่าจะใหญ่กว่าสักสี่ห้าเท่า แต่กระจกบานนั้นก็เหมือนที่ห้องนอนของเขามาก มีลายเครือเถาตรงกรอบมากมายซึ่งเจ้าของร้านเอชานขัดทำความสะอาดบ่อย ๆ เขาจำได้ว่าเทย์เคยเห็นเงาเจวานเป็นมังกรในกระจกบานนั้น และเจวานก็เคยเห็นไซธีนไม่มีเงาใด ๆ เลย
"เวลานี้จ้าวแห่งความตายไม่อยู่ ท่านเป็นจ้าวแห่งฤดูหนาวด้วย จึงขึ้นไปเปลี่ยนฤดูบนโลกข้างบน" ท่านลุงที่สวมชุดขุนนางบอกเขา "ข้าเป็นผู้ถือสิทธิ์ดูแลที่นี่แทนท่านชั่วคราว เจ้าเป็นวิญญาณแตก ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องเทียนไข จึงอนุญาตให้เจ้าดูเรื่องราวจากกระจกสะท้อนวิญญาณแทน"
โซลโทไม่เข้าใจคำนั้น แต่ยามท่านลุงพยักหน้าให้เขาไปทางกระจกเงา ชายหนุ่มก็ได้แต่ทำตาม เขาเดินขึ้นบันไดสามขั้นของยกพื้น ไปยังกระจกบานนั้น มันสูงท่วมหัวเขาไปหลายเท่า เมื่อแรกชายหนุ่มไม่เห็นเงาตน แต่หลังจากที่งงอยู่วูบหนึ่งกลับต้องกะพริบตา ผิวหน้าของกระจกปั่นป่วนหมุนม้วนรุนแรง กลายเป็นห้วงประหลาดราวน้ำวน มีสีสันมากมายจนจำแนกไม่ถูกว่าเป็นสีอะไร มันหมุนวนเร็วขึ้น เร็วขึ้น ทั้งยังเปล่งแสงแรงขึ้น แรงขึ้น สุดท้ายแสงแรงจนถึงกับพวยพุ่งเป็นลำออกมา โซลโทตกใจ ถอยหลังยกมือขึ้นบังตาไว้ แต่ยามลดมือลง เขาก็สะดุ้ง ครางออกมา
เขาเห็นเรนา...เรนาขดตัวอยู่บนเตียง
จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.พ. 54 22:38:35
|
|
|
|