บทที่ 6 : ตุงแดง
วิวที่แล่นผ่านอย่างช้าๆในยามเย็นช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของสมองได้เป็นอย่างดี แม้รถแดงที่ฉันนั่งจะขับเอื่อยๆเนื่องจากการจราจรยามเลิกเรียนถือว่าติดขัดพอสมควร โดยเฉพาะถนนสายเลียบคูเมืองที่เปรียบเป็นดั่งถนนสายหลักของชีวิตชาวอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ฉันชื่อ นางสาวประกายแก้ว สกุลสุวรรณ เดิมทีฉันก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาเหมือนเช่นวัยรุ่นทั่วไป ทว่าวันหนึ่งกลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันรับรู้ว่าตัวเองมีบางอย่างที่แตกต่างจากคนรอบข้าง ฉันรู้สึกทั้งกังวล ทั้งกลัวสิ่งที่ฉันมี แม้คุณแม่ของฉัน .. คุณแม่วาสนาจะบอกกับฉันว่าสิ่งนั้นคือ พรสวรรค์ แต่ตัวฉันกลับไม่ชอบและคิดว่ามันน่าจะเรียกว่า คำสาป จะถูกต้องมากกว่า และพรสวรรค์หรือคำสาปที่ว่าก็คือการที่ฉันสามารถมองเห็นสิ่งที่คนทั่วๆไปไม่อาจรับรู้
มันคงจะดีหากสามารถบังคับได้ดังเช่นปิดเปิดสวิทช์ไฟ หากแต่ไม่ใช่ดังเช่นที่หวัง บางทีก็เห็น ... บางทีก็ไม่เห็น ที่สำคัญมีน้อยคนนักที่รู้ถึงความสามารถสัมผัสลึกลับของตัวฉัน เหตุหนึ่งก็เพราะฉันกลัวที่จะเปิดเผยให้คนอื่นได้รับรู้ ... กลัวคนอื่นจะหาว่าฉันเป็นคนบ้า เป็นคนเพี้ยน
ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องตัวฉัน ... นั่นคือพ่อแม่ และเพื่อนรักอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือ ยายมิ้นท์ ศศิรัตน์ มิ้นท์เป็นเพื่อนของฉันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น จริงๆแล้วด้วยเหตุของการมองเห็นภูตผีนี่เองที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับมิ้นท์ และนับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่เมื่อเธอรู้เรื่องตัวฉันแล้วเธอไม่ได้แสดงท่าทางหวาดกลัวหรือเห็นฉันเป็นตัวตลก เราทั้งสองจึงคบหาเป็นสหายรักได้อย่างเข้าใจกัน
จริงๆแล้วในวันวานเมื่อราวสองสามสัปดาห์ก่อน ค่ำคืนที่ฉันและเพื่อนอีกสามต้องทำงานในช่วงเย็นที่โรงเรียนจนต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์สยองขวัญ หากเวลานั้นมีมิ้นท์อยู่ด้วย เธอคงช่วยฉันห้ามมิให้เพื่อนคนอื่นอุตริเล่าเรื่องผีในโรงเรียน แต่วันนั้นพวกเรา ... ฉันและเพื่อนอีกสามได้พากันเล่าเรื่องผี ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ร่วมเล่า แต่ก็ร่วมฟัง ดังนั้นหากจะเรียกว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดก็ไม่แปลก พวกเราทุกคนเลยต้องโดนของดีเข้าให้ !?
ผีเปรตที่น่ากลัวตัวนั้น ! หากไม่ได้วิญญาณเจ้าที่ผู้อยู่ในชุดแม่ทัพผู้น่าเกรงขามแล้วล่ะก็ ป่านนี้พวกฉันทุกคนคงต้องจับไข้หัวโกร๋น หรือดีไม่ดีอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตไปแล้ว โดยหลังจากนั้นฉันได้พยายามชวนเพื่อนให้ทำงานเสร็จก่อนอาทิตย์ตกดิน และนั่นจึงทำให้ฉันไม่ต้องพบกับผีเปรตตนนั้นอีก
เอี๊ยดดดดดดดดดด ! เสียงรถแดงเบรกดังลั่นเสียดแทงโสตสัมผัสพร้อมกับทุกคนในรถที่เซตามแรงเฉื่อย ฉันสลัดความคิดเหม่อลอยออกจากศีรษะ เมื่อเหลือบตามองด้านนอกก็พบว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ตรงสี่แยกแห่งหนึ่ง รถแดงที่นั่งมาเบรกกะทันหันด้วยเพราะตกใจเด็กที่วิ่งข้ามถนนโดยไม่ดูสัญญาณไฟ เดินไม่ดูถนน ไม่ดูรถ ! ไอ้เด็กบ้า ! ไม่เห็นเรอะว่าแถวนี้มีตุงแดงน่ะ !
ฉันได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตัก ตุงแดง ที่คนขับรถพูดเมื่อครู่เป็นประเพณีของชาวเหนือ ที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วมีคนเสียชีวิต ญาติพี่น้องผู้ตายจะนำเสาที่ทำจากไม้ยาว โดยตรงปลายจะผูกด้วยผ้าสีแดงยาวๆมาปักไว้ตรงจุดเกิดเหตุ นัยว่าเพื่อให้วิญญาณคนตายไปสู่สวรรค์หรือภพภูมิที่ดีผ่านทางยอดปลายของตุง
เมื่อแรกได้ยิน ในใจฉันเคยคิดว่าน่าจะเป็นกุศโลบายของคนสมัยก่อนที่ปักตุงแดงเอาไว้เพื่อเตือนผู้ขับขี่ยวดยานให้ระวังจุดที่เคยเกิดอุบัติเหตุมากกว่า ... ใช่แล้ว ! เมื่อก่อนฉันไม่เคยเชื่อ
แต่บัดนี้ฉันจำเป็นต้องเชื่อ ! นั่นเพราะพรสวรรค์ที่ฉันไม่สามารถบังคับมันได้ดั่งใจ ... ฉันจึงจำต้องเห็นในสิ่งที่ไม่อยากรับรู้
บัดนี้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ใต้โคนของตุงแดง !?
ฉันรู้ในทันทีว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาด้วยเพราะตรงศีรษะของเขาแบะออกเสียเกือบครึ่ง ! บาดแผลนั้นส่งผลให้เนื้อสมองปนคาวเลือดไหลทะลักเป็นลิ่มๆ ทว่าแม้จะเป็นภาพที่น่าสยองสะพรึงขวัญ แต่แววตาของเด็กหนุ่มผู้นั้นช่างหงอยเหงาและโศกเศร้าเสียนี่กระไร ฉันเห็นเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารยืนเดียวดายอยู่ที่เดิมมาราวๆสองสามเดือนแล้ว
แต่กระนั้นทุกๆครั้งที่ผ่านเส้นทางนี้ฉันจะพยายามหลบตาไม่สนใจเสียทุกครั้ง เพราะหากเขารู้ว่ามีคนที่สามารถมองเห็นเขาได้แล้วล่ะก็ ... บรื๋อออออออ ! ฉันกลัวว่าเขาจะพยายามติดต่อกับฉันเพื่อส่งข่าวให้ทุกคนที่เขารัก ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงประสาทกินแน่ !
รถแดงค่อยๆออกตัวอีกครั้ง รถแล่นผ่านแยกนั้นช้าๆ ฉันลอบชำเลืองไปยังเด็กหนุ่มที่ศีรษะเหวอะหวะด้วยรอยแผล ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่ดูคล้ายกับแววตาโศกเศร้านั้นไม่เหมือนเช่นทุกครั้ง
ดวงตาคู่นั้นราวกับเปี่ยมล้นด้วยความโกรธแค้นชิงชัง ! ...
จากคุณ |
:
Luckard
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ก.พ. 54 13:15:43
|
|
|
|