Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โภคีธรา (ลงใหม่ค่ะ) ตอนที่2-3-4 ติดต่อทีมงาน

ตอนหน้าจะลงตอนใหม่ ตอนเดียวนะคะ
ตอนที่3และ4 มีรีไรท์นิดหน่อยค่ะเพื่อความชัดเจน
เพราะจำได้ว่าคราวที่แล้วมีหลายท่านถาม ว่าทำไมไม่ใช้พรมกล้วยเหาะไป อิอิ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ^^

ลิงค์ บทนำ+ตอนที่1

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10269866/W10269866.html


โภคีธรา  ตอนที่2 สิ่งที่เกิดขึ้น

สำหรับมุกมณีนั้นความตายแม้จะไม่เจ็บปวดหรือทรมานอย่างที่เคยคิดแต่ก็ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียดายต่อชีวิตที่สูญเสียไปอยู่ไม่น้อย เธอเพิ่งเรียนจบแท้ๆ คู่รักหรือก็ไม่มีสักคน ยังไม่ได้ทดแทนคุณของพ่อแม่สักเท่าใดเลยด้วยซ้ำ ความคิดที่เข้าสู่ความหดหู่เกิดขึ้นไม่นานนักน้ำตาใสๆก็ไหลรินหยดลงพื้นดินพร้อมด้วยเสียงสะอื้น

กิริยาโศกเศร้าที่มาแทนแววตาทรงพลังพลอยทำให้สองวิญญาณเก่าก่อนหันมามองหน้ากัน โอบแพรค่อยๆทรุดตัวนั่งพับเพียบข้างๆมุกมณี
“เจ้าชื่อว่ากระไร”
“มุกมณี” หญิงสาวตอบพลางปาดน้ำตา  เธอพยายามกลั้นสะอื้นและกล้ำกลืนความรู้สึกโศกเศร้าอาดูรนั้นไว้อย่างเต็มที่

“ชื่อยาวแลไพเราะราวเป็นเจ้าเป็นนาย เจ้ามีเชื้อมีสายหรือ” หญิงสาวค่อยๆถอนหายใจด้วยความรำคาญเวลานี้เธอต้องการโศกเศร้ากับการตายของตัวเองเสียให้สาแก่ใจมากกว่าแต่ดูเหมือนว่าวิญญาณเก่าแก่ทั้งสองจะไม่ให้โอกาสนั้นเลย มุกมณีเกือบอาละวาดหากไม่เห็นแววตาเป็นห่วงเป็นใยของอีกฝ่าย

“เปล่าค่ะ คนสมัยมุกก็ชื่อยาวๆกันทั้งนั้นล่ะ”แววตาที่แสดงความเห็นอกเห็นใจของทองเอกกับโอบแพรทำให้มุกมณีเสียงอ่อนลง
หญิงสาวตอบพลางมองไปรอบๆหุบเหวแห่งนี้อีกครั้ง  ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้เธอคงหาเวลาที่จะอยู่ลำพังได้ลำบาก เพราะหุบเหวนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเพียงแค่กวาดสายตาสองสามทีก็ทั่วพื้นที่แล้ว

“หักอกหักใจเสียเถิด มีเกิดก็ย่อมมีตายเป็นเรื่องธรรมดาโลก ตายเยี่ยงใดให้สาสมใจที่เกิดมาต่างหากเล่าสำคัญกว่า”ทองเอกยืนปลอบด้วยท่าทีขึงขังห้าวหาญราวกำลังปลุกระดมให้คนไปรบ

“ถูกแล้ว แม่มุกมณี อีกทั้งหากตายไปยังมีชื่อให้ผู้คนสรรเสริญก็ยิ่งดี เยี่ยงข้านั่นเป็นไร ตายแล้วยังมีผู้เคารพนับถือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผ้าแพรเจ็ดสีเจ็ดศอกหายากเพียงไหนในบ้านเมืองที่กำลังฟื้นตัว ผู้คนยังสรรหามาบูชาข้า” โอบแพรกล่าวถึงความรุ่งเรืองในอดีตของเธออย่างภาคภูมิ  มุกมณีได้แต่ฝืนยิ้ม

“มุกไม่รู้ว่าการตายของมุกมันสาสมใจหรือเปล่า จะมีประโยชน์บ้างไหม น้องสาวมุกกับเด็กคนนั้นจะรอดจากน้ำป่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ พ่อแม่ล่ะจะเป็นยังไงบ้าง”
“น้ำป่า? นี่เจ้าก็ถูกพัดพามาที่นี่ด้วยน้ำป่าเยี่ยงกันหรือ” ทองเอกอุทานด้วยความประหลาดใจ
“คุณทั้งสองคนก็ตายเพราะน้ำป่าเหรอคะ”

“มิใช่ดอก ข้านั้นสู้รบกับศัตรูของแผ่นดินจนตัวตาย ครั้นตายไปแล้วจึงสิงสู่อยู่กับปลายดาบที่ฝังอยู่ในกระดูกของพวกพม่ารามัญ จวบจนมันเผาร่างนั้นข้าก็จมดินจมเถ้า ครั้นแล้วก็มีน้ำป่าพัดพาข้ามาที่แห่งนี้”

“ส่วนข้านั้น ตายเพราะไข้ป่า แลเพราะน้ำซัดตลิ่งพังต้นตะเคียนโค่นลง ตาไม้ที่ข้าสิงสู่จึงไหลตามน้ำออกทะเล มาอยู่ที่แห่งนี้ได้เยี่ยงไรข้าก็สงสัยอยู่...ตาไม้อันนั้นอย่างไรเล่า” โอบแพรชี้ให้ดูเศษไม้เล็กเพียงครึ่งฝ่ามือที่ถูกน้ำซัดจนเกยบนฝั่งน้ำสีขุ่น

“ปลายดาบที่ข้าสิงสู่อยู่ในอุทกศิลาเช่นกัน หากงมหาก็คงเจอ”
“แต่พวกคุณดูไม่เหมือนวิญญาณ กลับดูมีเลือดมีเนื้อเหมือนคนธรรมดามากเลยนะคะ”

“พวกข้าไม่ได้เป็นขุน ถึงอ้ายทองเอกมันจะรับราชการแต่ก็เพิ่งรับจึงเป็นเพียงทหารเลวชั้นต่ำต้อยมิต้องเรียกขุนดอกหนา”มุกมณีกะพริบตาปริบๆคล้ายๆว่าเธอกับสองวิญญาณนี่จะพูดกันคนละภาษาอย่างไรพิกล

“ขุนอะไร ...อ๋อ คุณ  คุณเป็นคำสุภาพไว้เรียกคนที่เพิ่งรู้จักหรือว่าคนที่เรายกย่องต่างหากล่ะคะไม่ใช่เรียกยศเรียกตำแหน่งสักหน่อย” มุกมณีอธิบายโดยไม่รู้ตัวเลยว่าความโศกเศร้าที่มีจางหายไปด้วยความช่างพูดช่างถามของโอบแพรและทองเอก  วิญญาณรุ่นพี่ทั้งสองลอบอมยิ้มให้กันเล็กน้อยเมื่อเห็นทีท่าคลายโศกนั้น

“เจ้านี่พูดแปลกหูนัก ผู้คนกรุงรัตนโกสินทร์พูดเยี่ยงเจ้าทุกคนหรือ ฟังดูกระด้างกระดางลางพิกล”โอบแพรบ่นงึมงำ
“นางโอบ เอ็งมันก็พูดไปเรื่อย ฟังกันรู้เรื่องก็พอแล้ว  แม่มุกมณีเรียกข้าว่าพี่ทองเอกเถิด มิต้องเรียกคุณกระไรนั่นฟังดูสูงเกินยศเกินศักดิ์ข้านัก”
“ถูกแล้ว ข้ากับอ้ายทองเอกมีศักดิ์เป็นผีนานกว่าเจ้า สมควรนักที่เจ้าจะเรียกว่าพี่”

“ก็ได้ พี่ทองเอก พี่โอบแพร แล้วพวกพี่จะตอบได้แล้วหรือยังคะว่าทำไมเราทั้งหมดดูมีเลือดมีเนื้อ”ฟังการพูดแนวโบราณของทองเอกและโอบแพรมากเข้ามุกมณีชักเริ่มชินทีละน้อย
“อ้อ เรื่องนี้ข้ากับอ้ายทองเอกก็มิรู้เยี่ยงกัน  สถานที่แห่งนี้คงมีกระไรที่ผิดไปจากที่ที่เราจากมา เจ้ามาอยู่ร่วมด้วยก็ดีแล้ว ข้าเบื่อขี้หน้าอ้ายทองเอกเหลือกำลัง”

“ชิชะ นางโอบ ใช่ว่าข้าอยากจะพูดกับเอ็งนักหนา” มุกมณีมองการโต้เถียงของทั้งคู่ราวกำลังดูเทนนิสคู่เด็ด ฟังๆไปแล้วก็พอจะเข้าใจว่าทั้งสองตนนี้เถียงกันไปเช่นนั้นเองต่างก็ไม่ได้ขุ่นเคืองกันจริงจังแต่อย่างใด
“นอกจากจะมีเลือดมีเนื้อขึ้นมา ข้ากับอ้ายทองเอกก็มีสิ่งวิเศษเกิดขึ้นมากมายนักล่ะเจ้า ไม่มีหิวโหยมิต้องพึ่งเครื่องเซ่นเครื่องไหว้ หากจักพูดได้ว่าอยู่บนสวรรค์ก็น่าเป็นได้”

“สวรรค์เยี่ยงใดของเอ็ง มืดมิดเยี่ยงนี้ หากว่ามิมีต้นกล้วยทองคำของเจ้าหนาแม่มุกมณี ข้ากับนางโอบแพรก็ต้องอยู่ในความมืดอันหาที่สุดมิได้”
“ข้ากับอ้ายทองเอกมีอิทธิฤทธิ์ก็จริงแต่ว่าประหลาดนักที่ออกจากสถานที่นี้มิเคยได้เลยมิว่าจักทำเยี่ยงใดก็ตาม” ทั้งคู่ผลัดกันเล่า ดูเหมือนว่าวิญญาณทั้งสองจะอยู่กันเพียงสองตนมาเป็นร้อยสองร้อยปี และคงพูดคุยกันแค่สองตนจนเบื่อหน่าย เมื่อมีมุกมณีมาเพิ่มจึงพูดคุยมากความด้วยทีท่ายินดีต้อนรับอย่างมากมายเช่นนี้

“อ้าว แล้วอย่างนี้ถ้ามุกอยากไปดูร่างของตัวเองไปงานศพของตัวเอง ไปเจอ พ่อแม่ ญาติพี่น้องของมุกก็ทำไม่ได้น่ะสิคะ”
“ก็คงไม่ได้กระมัง เจ้าลองนึกให้ตนไปสู่ที่ที่เจ้าจากมาดูสิเล่า” โอบแพรนำเสนอก่อนจะจ้องเขม็งมาที่มุกมณี
“ทำยังไงนะคะ”

“เฮอะ  แม่มุกมณีเพิ่งตาย เอ็งอย่าเพิ่งเร่งรัดจนเกินความไป”ทองเอกท้วงติงคู่กัดก่อนจะมองไปที่มุกมณีด้วยความเห็นใจ
เห็นท่าว่าเธอคงต้องใช้เวลาเรียนรู้กับผีรุ่นพี่สองตนนี้ไปอีกสักพักเป็นแน่ มุกมณีมองดูรอบด้านอย่างครุ่นคิด ทุกสิ่งดูใหม่ ดูแปลก และเกินความคาดหมายเป็นอย่างมากจากที่เคยฟังเคยอ่านถึงชีวิตหลังความตาย

เธอไม่ได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนบนโลกมนุษย์ เธอมิได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แต่กลับมาอยู่ในสถานที่แปลกๆ กับวิญญาณแปลกๆ และที่สำคัญ...มุกมณีมองไปที่ต้นกล้วยทองคำกลางน้ำก่อนจะถอนหายใจยาว...เวรกรรมอะไรทำให้ตูต้องกลายมาเป็นนางตานีล่ะเนี่ย

“ก่อนหน้าที่ข้าจักมาอยู่ในที่แห่งนี้ โลกของวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับจิต  จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน อยากไปที่แห่งใดก็เพียงกำหนดจิตให้มั่น ต้องการกินหรือใช้สิ่งใดหากไม่เกินแรงบุญของตน ก็สามารถเสกสรรได้ด้วยจิต  แม่มุกมณีค่อยๆหัดไปเถิด แม้อยู่ในหุบเหวแห่งนี้จะไม่หิวโหย หากแต่ข้ากับนางโอบแพรก็เคยเสกของกินมากินเล่นแก้เหงาปากเช่นกัน” เสียงห้าวจนเหมือนดุดันนั้นอธิบายช้าๆ

จากพลังแรงกล้าของสายตาที่ทั้งคู่ประสบจนผงะกันไปเมื่อครู่ เขาและโอบแพรจึงรู้ดีว่าวิญญาณของมุกมณีมีแรงบุญหนุนนำจนมีพลังและอำนาจมากเสียยิ่งกว่าวิญญาณเก่าแก่อย่างเขาและโอบแพรเสียอีก สองวิญญาณเก่าแก่สบตากันพร้อมกับรู้กันในใจว่าต่างก็มีความหวังในตัวของมุกมณี ว่าอาจจะเป็นผู้ที่ช่วยให้พวกเขาทั้งสองหลุดพ้นจากสถานที่แห่งนี้ไปได้


มุกมณีเดินไปสำรวจดูต้นกล้วยของเธออย่างละเอียด ทองคำที่เปล่งประกายราวเป็นที่กำเนิดแสงสีทองระเรื่อ ดูจะสว่างขึ้นเมื่อเธอยื่นมือลูบไล้ลำต้นที่เรียบเนียนและเย็นนั้น ส่วนของใบที่น่าจะเป็นใบตองก็พลอยเป็นทองคำไปด้วยแม้แต่ความเหนียวนั้นก็ดูจะแข็งแรงและเหนียวแน่นกว่าใบตองธรรมดา ใบที่ยาวเรียวสมบูรณ์มีเพียงสองใบ ใบอ่อนในส่วนที่กำลังเติบโตยังคงม้วนเกลียวอยู่ตรงกลาง รูปลักษณะทุกประการที่เห็นด้วยตาเปล่าก็สามารถบอกได้เลยว่าเป็น ต้นกล้วย ชัดๆ

เมื่อสำรวจต้นไม้ของตัวเองเสร็จสรรพก็เดินดูโดยรอบของหุบเหวนี้โดยมีสองวิญญาณเก่าแก่เดินตามพร้อมมองดูเธออย่างไม่วางตา ควันจางๆที่ลอยขึ้นไปด้านบนทำให้มุกมณีรู้ว่า ณ ที่นี้หนาวเย็นมากเพียงใด หากแปลกที่เธอกลับรู้สึกเพียงความเย็นสบายธรรมดา

แสงสีทองที่ส่องประกายมาจากต้นกล้วย กระทบกับบางสิ่งบางอย่างที่พราวพรายดุจรุ้งงาม เธอรีบเดินไปยังซอกลึกอันเป็นต้นกำเนิดแสงพราวพรายที่ตกกระทบแยงตานั้นด้วยความสงสัย

“เอ๊ะ แสงอะไร”โอบแพรอุทานเมื่อสายตากระทบกับแสงสีรุ้งนั้นบ้าง
“นั่นสิหนา ข้ากับเจ้าอยู่ในหุบเหวนี้มาเป็นนาน แทบทุกซอกมุมก็ไม่เคยรอดพ้นสายตาพวกเรา เหตุใดจึงมิเคยเห็น” ทองเอกพึมพำก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อคิดขึ้นได้ว่าอาจจะเป็นอิทธิฤทธิ์ของมุกมณีที่ทำให้บังเกิดสิ่งแปลกประหลาดนี้ขึ้นมา

สายตาอันคมกล้าของมุกมณีหยุดนิ่งอยู่ที่วัตถุอันมีแสงสีรุ้งนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยื่นมือไปหยิบขึ้นมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“ปิ่น! “ โอบแพรพลอยอุทานไปด้วยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของมุกมณี
ปิ่นดังกล่าวมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม สายสีทองที่สอดในห่วงเล็กๆของปลายทรงบัวตูมนั้นฝังอัญมณีนพรัตน์ทอดดิ่งทิ้งชายยาวราวหนึ่งคืบ ตัวปิ่นเป็นทองสุกปลั่งส่วนที่เป็นยอดหัวบัวเลยห่วงเล็กร้อยสายสีทองนั้นฝังด้วยเพชรขาวที่ส่องประกายรุ้งพราวพราย ทองยอดดอกบัวตูมก็ฝังอัญมณีล้ำค่าหลากสีเปล่งประกายดุจรุ้งงามบนฟากฟ้า

“ปิ่นของใคร ของพี่โอบแพรหรือเปล่าคะ” โอบแพรรีบส่ายหน้า
“มิใช่ของข้า มิใช่ของอ้ายทองเอก แล้วมิใช่ของเจ้ารึ”
“ไม่ใช่อ่ะ มุกไม่เคยใช้ปิ่น เอ...” มุกมณีเงยมองส่วนบนของหุบเหวก็เห็นเพียงหมอกเลือนรางกับความมืดอันหาที่สุดมิได้

“หรือว่าจะมีใครทำหล่นลงมาในหุบเหวนี่ แสดงว่าเหนือหุบเหวนี้ต้องมีคนแน่ๆเลย”พลังอำนาจบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวปิ่นทำให้โอบแพรและทองเอกจ้องอยู่ได้ไม่นานนัก และสิ่งนี้ก็พอจะทำให้สันนิฐานได้ว่าปิ่นอันนี้ไม่ธรรมดา
“ข้ากลัวแต่ไม่ใช่คนธรรมดาน่ะสิ อาจจะเป็นของเทวดาชั้นผู้ใหญ่สักองค์ก็เป็นได้”

“อ้าวพวกพี่เป็นอะไร”ท่าทีหลบเลี่ยงแสงจากปิ่นของโอบแพรและทองเอกทำให้เธออดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย
“ปิ่นนั่นมีแสงจ้าจ้องแล้วพาลแสบตานัก เจ้ามิรู้สึกหรือ”
“ก็เหมือนปิ่นธรรมดานี่คะ เพียงแต่สวยแล้วก็มีรัศมีในตัวเองคล้ายๆต้นกล้วยของมุก”

“นั่นเพราะเจ้าเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกันเจ้าเก็บให้มิดชิดเถิดพวกข้ามิใคร่สบายนักที่ต้องจ้องมองปิ่นอันนี้”
“พวกพี่ทำอย่างกับผีเห็นพระ”มุกมณีพูดกลั้วหัวเราะเป็นครั้งแรกของการมาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ที่มุกมณีเริ่มยิ้มออก
“ปิ่นนี้มีเจ้าของ ข้าว่าเจ้าของคงไม่ปล่อยให้อยู่ที่นี่นานแน่”
“พี่ทองเอกหมายความว่ายังไงหรือ”

“นี่อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้พวกเราทั้งหมดหลุดพ้นจากเหวนี้ได้อย่างไรเล่า แม่มุกมณี”โอบแพรยิ้มกริ่มพอๆกับทองเอกที่ดูจะลิงโลดขึ้นมาทันควันพร้อมกับพากันแหงนมองไปยังเบื้องบนอย่างมีความหวัง

แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 13:46:35

แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 54 16:06:23

จากคุณ : จอมนาง
เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 15:42:17




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com