Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(เรื่องสั้น) Dead Poet Part 12 : [เรื่อง-ระหว่าง-เรา] ติดต่อทีมงาน

Dead Poet Part  12 :   [เรื่อง – ระหว่าง – เรา]

เรื่องราวของเรื่องสั้นเรื่องนี้

“เรื่องของความรักระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวที่ทั้งสองต่างเป็นรักแรกพบของกันและกัน  พวกเขาได้พบกันทุกวัน แต่ไม่เคยได้ทักทายพูดคุยกัน วันหนึ่งพวกเขามีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังภายในลิฟท์ ทั้งคู่พยายามสารภาพความในใจออกมา แต่สุดท้ายลิฟท์กลับชำรุดก่อนร่วงลงสู่พื้น จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมก่อนที่ความรักของทั้งสองจะเริ่มต้นขึ้น”

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 23.30 น.

ในค่ำคืนของวันวาเลนไทน์ ผมกำลังยืนอยู่อย่างอ้างว้างและเดียวดายภายในลิฟท์ตัวหนึ่งที่เหมือนกับห้องเล็กๆ ทรงสี่เหลี่ยมแคบๆ ซึ่งหยุดอยู่บนชั้นที่ยี่สิบของอาคารสำนักงานใจกลางกรุงเทพฯ ประตูลิฟท์ที่กำลังเปิดอ้าอยู่ทำให้แสงสว่างจากแผงหลอดไฟบนเพดานภายนอกสาดส่องเข้ามาภายในนี้ ผมรู้สึกง่วง และอ่อนเพลียเหลือเกินหลังจากที่ผมต้องทำงานนอกเวลา เพื่อจัดการงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จทันวันพรุ่งนี้ ในขณะที่บรรดาเพื่อนร่วมงานของผมต่างยิ้มแย้มแจ่มใส อย่างอารมณ์ดี พวกเขาพูดคุยกันถึงร้านอาหารหรูๆ และเดินทางออกจากที่ทำงาน เพื่อกลับไปดื่มด่ำบรรยากาศแห่งความสุขร่วมกับคนรักของพวกเขาตั้งแต่หกโมงเย็น

‘เวลาที่ทุกคนมีความสุขกัน แต่ทำไมเรากลับต้องมาทำงานจนดึกดื่นเช่นนี้ พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ’ ผมคิดพาลกล่าวโทษโชคชะตา และเบื่อหน่ายกับกระแสวัฒนธรรมตะวันตกที่กำลังกลายเป็นวัฒนธรรมของโลก แผ่นหลังของผมกำลังพิงสัมผัสอยู่กับผนังกระจกในมุมหนึ่งของลิฟท์ตัวนี้ ผมมองเงาตัวเองที่สะท้อนไปทั่วทุกด้านของลิฟท์ ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ยังมีเงาของตัวเองที่อยู่เป็นเพื่อนในเวลาที่เงียบเหงาแบบนี้ ขณะที่ประตูลิฟท์ตรงหน้าผมกำลังเลื่อนปิดเข้าหากัน เหลืออีกไม่ถึงชั่วโมงวันนี้ก็จะผ่านพ้นไป ‘ขอใครสักคนมาเป็นเพื่อนผมในเวลานี้ได้ไหม?’ ผมอธิษฐานโดยที่รู้ว่ามันคงไม่มีทางเป็นจริง ความทุกข์ทรมานที่ต้องอยู่คนเดียวในค่ำคืนของวันแห่งความรัก ทำให้ผมอยากรีบกลับบ้าน และปรารถนาให้วันนี้มันผ่านไปเร็วๆ เสียที

‘รอฉันด้วย อย่าเพิ่งปิดลิฟท์!’ ฉันตะโกนดังก้องอยู่ในใจ พลางวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าไปตามระเบียงทางเดิน แม้มันจะดูยากลำบากไปเสียหน่อยกับการที่ฉันต้องวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าในขณะที่สวมรองเท้าส้นสูงอยู่ สายตาของฉันจับจ้องไปยังประตูลิฟท์ที่อยู่ห่างจากฉันอีกเพียงไม่กี่ก้าว มันกำลังเลื่อนปิดลงอย่างช้าๆ  ‘ขอให้ทันทีเถอะ’  ฉันภาวนาด้วยความหวังแม้ร่างกายจะเหนื่อยจนแทบหมดแรงแล้วก็ตาม ก่อนที่ประตูบานนั้นจะปิดสนิทลง นิ้วชี้ของฉันก็กดลงไปยังปุ่มเปิดลิฟท์ได้สำเร็จ ประตูลิฟท์กลับเปิดอ้าออกอีกครั้ง แสงไฟสีขาวดวงกลมโตที่ติดอยู่บนเพดานสาดแสงส่องสว่าง ทำให้สายตาของฉันประสานเข้ากับดวงตากลมโตของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่กำลังยืนอยู่ภายในนั้น

ก่อนที่ประตูลิฟท์กำลังจะเลื่อนปิดเข้าหากัน ผมได้ยินเสียงส้นรองเท้าดังกระทบกับพื้นกระเบื้องเป็นจังหวะถี่ๆสะท้อนก้องลอดผ่านช่องว่างของประตูเข้ามา เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ  ‘อาจจะมีคนกำลังวิ่งมาเพื่อจะขึ้นลิฟท์ตัวนี้หรือเปล่า?’ ผมคาดเดา พลางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าประมาณสองก้าวก่อนกดลงไปที่ปุ่ม เมื่อประตูลิฟท์ถูกเปิดออกอีกครั้ง ในวินาทีนั้นเอง แม้สายตาของผมได้ประสานเข้ากับดวงตาของเธอเพียงชั่วครู่ แต่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกชุบชีวิตขึ้นใหม่จากทะเลลึกของกาลเวลาอันแสนว่างเปล่า

‘ฝน’ คือชื่อเล่นที่เพื่อนร่วมงานใช้เรียกเธอเป็นประจำ เธอเป็นคนรูปร่างสูง ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาว ดวงตาตี่เล็ก ผมยาวดำขลับ ผิวขาว เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวรัดรูป กระโปรงสั้นสีกรมท่า แขนซ้ายสะพายกระเป๋าถือสีดำใบใหญ่ สวมรองเท้าส้นสูงสีแดง เธออายุประมาณยี่สิบแปดปี (น้อยกว่าผมสองปี) เมื่อปีที่แล้ว ผมและเธอเข้าทำงานในบริษัทวันแรกพร้อมกัน แต่เราทำงานอยู่คนละแผนก เธออยู่แผนกบุคคล ส่วนผมอยู่แผนกการตลาด ตั้งแต่วันที่ผมได้พบเธอเป็นครั้งแรก เธอคือคนที่ทำให้ผมได้รู้จักความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘รักแรกพบ’ ว่ามันช่างอบอุ่นข้างในหัวใจเพียงใด เมื่อประตูลิฟท์เลื่อนเปิดออกจนสุด ผมหลบสายตาเธอมองไปทางอื่น และเดินถอยกลับมายืนอยู่ที่มุมเดิมอีกครั้ง เธอค่อยๆ เดินตรงเข้ามา และเหลือบสายตามองไปที่แผงปุ่มกด  ซึ่งแสงไฟสีแดงปรากฏอยู่ที่ปุ่มหมายเลขหนึ่ง เธอเดินไปหยุดยืนนิ่งอยู่ด้านซ้ายมือของผม ในอีกมุมหนึ่งของลิฟท์ด้วยท่าทีอ่อนแรง ประตูที่อยู่ตรงหน้าเราค่อยๆ เลื่อนปิดเข้าหากันจนแนบสนิท ลิฟท์ที่มีเราสองคนยืนอยู่คนละมุม จึงเริ่มเคลื่อนดิ่งลงสู่ชั้นต่อไป

จากชั้นที่ยี่สิบเรากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังชั้นที่สิบเก้า บรรยากาศภายในนี้เงียบสงัดจนเหมือนผมได้ยินเสียงลมหายใจที่ติดๆขัดๆ ของตัวเอง ความรู้สึกร้อนผ่าวกำลังวิ่งแล่นไปทั่วใบหน้า คงเป็นเพราะผมกำลังตื่นเต้นกับโอกาสที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่ผมในคืนวันวาเลนไทน์นี้ นี่คือความปรารถนาที่ผมเฝ้าวอนขอพระเจ้ามาตลอดหนึ่งปี เพียงแค่ให้ผมได้อยู่ใกล้กับเธอเพียงลำพังสองคนสักครั้ง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าผมกับเธอจะสบตากันขณะเดินสวนกันในที่ทำงาน หรือ นั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในร้านเดียวกัน  แต่คำพูดง่ายๆ ‘สวัสดีครับ’ เพียงขยับปากไม่กี่คำ ผมกลับไม่เคยได้เอ่ยคำทักทายนี้กับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ‘ทำไมเราถึงไม่กล้าพูดกับเธอนะ เป็นเพราะเราเขินอาย หรือเพราะกลัวเธอจะปฏิเสธไมตรีจากเรากันแน่?’

ช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ คือสิ่งที่ฉันฝัน และรอคอยตลอดมา อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าฉันเป็นผู้หญิงประหลาดที่ถวิลหาความสุขจากการอยู่ในสถานที่อันคับแคบแบบนี้ แต่ความปรารถนาที่แท้จริงของฉันคือการได้มีเวลาอยู่กับเขาตามลำพังเพียงสองคนต่างหาก นับตั้งแต่วันแรกที่ฉันได้พบกับเขาในวันปฐมนิเทศพนักงานใหม่ หัวใจของฉันก็ตกลงไปอยู่ในหลุมลึกที่เรียกว่าความรัก จนยังไม่สามารถจะปีนป่ายกลับขึ้นมาได้เลย เขาชื่อ ‘ตั้ม’ ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเหลืองอ่อน กางเกงทรงกระบอกสีดำ สวมรองเท้าหนัง เขากำลังยืนอยู่ทางด้านขวาของฉันในตอนนี้ มีเพียงความว่างเปล่าบนพื้นที่กว้างเพียงไม่กี่คืบเท่านั้นที่กั้นขวางระหว่างเราสองคนอยู่ อุณหภูมิภายในลิฟท์ค่อนข้างหนาวเย็นเลยทีเดียว ฉันเอามือกอดอก เพื่อคลายความหนาวในร่างกายลงบ้าง ฉันลองเหลือบสายตามองไปที่เขาอยู่สองสามครั้ง ฉันอยากจะรู้เหลือเกินว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ แต่ทันทีที่ฉันเห็นเขากำลังมองมาทางนี้ สายตาของฉันกลับมองไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัว ภายในใจของฉันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างแห่งความปิติอยู่เมื่อครู่ เริ่มถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีดำแห่งความกังวล ‘เราเป็นผู้หญิงนะ จะให้เริ่มคุยกับเขาก่อนมันถูกต้องหรือเปล่า?’ แม้เสียงข้างในจิตใจมันเร่งเร้าให้ฉันแสดงความรู้สึกที่ซ่อนเร้นออกไปให้เขาได้รับรู้ แต่อีกเสียงหนึ่งกลับระงับยับยั้งฉันไว้ด้วยความคิดอันฟุ้งซ่านที่ครอบงำหัวใจอันเบิกบานจนมันเริ่มแห้งเหี่ยวลงทีละน้อย

เสียงแห่งความเงียบระหว่างของเราสองคนยังคงดังสะท้อนกึกก้องไปทั่วบริเวณภายในลิฟท์ รวมถึงเสียงอันอุบาทว์นั้นยังเข้าทะลุทะลวงบาดลึกเข้าไปถึงในจิตใจของผม ‘ทำไมเราไม่พูดกับเธอนะ...นี่เรากลัวอะไรอยู่?’ นั้นน่าจะเป็นคำถามที่ผมอยากตอบตัวเองได้มากที่สุดในตอนนี้ ผมยืนรวบรวมความกล้าอยู่นานจนเหงื่อกาฬเริ่มไหลซึมออกมาจากอุ้งมือทั้งสองข้าง ก่อนที่ผมจะหันหน้าไปมองเธออย่างช้าๆ เห็นเธอกำลังยืนกอดอกตัวสั่นเทาอยู่ ‘เธอกลัวที่ต้องอยู่กับเราสองต่อสองหรือเปล่า?’ ผมคิดถามตัวเอง ผมเห็นเธอมองมาที่ผมชั่วแวบหนึ่ง ก่อนที่เธอจะมองไปทางอื่นอย่างเย็นชา ‘เธอเกลียดผมอย่างนั้นหรือ?’ ผมละจากความคิดและหันกลับมามองดูจอตัวเลขดิจิตอลที่บอกตำแหน่งชั้นที่เราสองคนกำลังอยู่ ตัวเลขถูกนับถอยหลังลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับลิฟท์ที่เคลื่อนลงจากชั้นสิบเก้าเป็นสิบแปด จากสิบแปดเป็นสิบเจ็ด เช่นเดียวกับโอกาสที่เราสองคนจะได้อยู่ร่วมกันกำลังค่อยๆ หมดลงไป ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ หัวใจของผมเต้นระรัว รู้สึกหายใจไม่ออกจนแน่นหน้าอก แม้ความสุขของผมจะอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ แต่ผมกลับไม่กล้าที่จะไขว้คว้ามันมา ‘สวัสดี...ฝน  สวัสดี...ฝน’ ผมตะโกนเรียกชื่อเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ ความรักของผมที่มีต่อเธอมันเต็มเอ่อจนล้นท่วมใจ มันช่างยากเหลือเกินที่ผมจะต้องพยายามเก็บอาการให้เป็นเหมือนปกติ ภายในลิฟท์แห่งนี้ จึงเป็นเหมือนห้องขังที่ผมต้องทนทุกข์ทรมานกับการปิดตายตัวเองเอาไว้ข้างใน เพราะไม่กล้าพอที่จะหลบหนีออกไปสู่ภายนอก  ผมชำเลืองตามองไปที่ใบหน้าของเธออีกครั้ง  ด้วยความหวังที่ว่าเธออาจจะเผยสิ่งที่อยู่ในใจของเธอให้ผมได้รู้บ้าง ก่อนที่ผมจะพบแต่ความเฉยชากลับมา ‘นั้นคงเป็นคำตอบของเธอแล้วซินะ?’  และเราสองคนยังคงจมอยู่ในความเงียบงันต่อไปเหมือนเช่นเดิม

ผมกำลังแหวกว่าย และดำดิ่งลงไปสู่ห้วงลึกอันไร้ขอบเขตข้างในจิตใจตัวเองอย่างช้าๆ ในช่วงเวลาที่ลิฟท์ตัวนี้กำลังนำพาพวกเราเคลื่อนจากชั้นบนลงไปสู่ชั้นล่างพร้อมกัน  ระหว่างทางที่แสนมืดมนภายในจิตใจอของผมนั้น ผมยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายทาง ความรู้สึกเจ็บปวดจากความรักในอดีต คงเป็นต้นกำเนิดเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัว ที่คอยกัดกินความกล้าหาญของผมจนเกือบหมดสิ้น มันคอยขัดขวางผมมาตลอด แม้ผมจะลบลืมเรื่องราวความรักในอดีตไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่มันยังฝังความรู้สึกที่ผิดหวังและน่าอับอายไว้อยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจผม ‘อดีตไม่สำคัญเท่ากับปัจจุบันหรอกนะ’ ผมยังเตือนตัวเองอยู่เสมอ ผมอยากจะยิ้มให้เธอ พูดคุยกับเธอ จับมือของเธอ แต่บางครั้งผมไม่สามารถหยุดความคิดที่ขัดแย้งภายในตัวเองได้ บางครั้งผมมักคิดหวาดหวั่นถึงคำตอบที่จะออกจากปากของเธอ ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยได้เริ่มในสิ่งนั้นเลยด้วยซ้ำไป ผมพยายามคิดทุกสิ่งในแง่ดีเกี่ยวกับเราสองคน เพื่อทำลายสิ่งที่กั้นขวางระหว่างผมกับเธอ เพราะเวลาที่ดีที่สุดเช่นนี้พระเจ้าคงไม่อาจมอบให้ผมได้บ่อยนัก

ขณะที่ตัวเลขไฟดิจิตอลสีแดงกระพริบอยู่ที่หมายเลขชั้นที่สิบห้า ฉันยังยืนอยู่ท่ามกลางความสงบนิ่งระหว่างสองเรา ฉันแอบมองเขาหลายครั้ง แต่เขามองกลับมาที่ฉัน และหลบสายตาไปทางอื่น ‘จะเริ่มคุยกับเขาก่อนเลยดีไหม?’ ฉันคิด มันอาจจะง่ายกว่าถ้าฉันได้พูดคุยกับเขาตรงๆ ซึ่งฉันอาจจะได้รู้คำตอบไปเสียทีว่าเขาคิดยังไงกับฉันกันแน่ ‘เกลียด หรือ รัก หรือ แค่เพื่อนกัน?’ เขาไม่พอใจอะไรฉันอยู่หรือเปล่า ทำไมเขาถึงไม่ยอมคุยกับฉันบ้างเลย คอยสบตากับฉัน แต่ทำไมถึงทำเย็นชากับฉันเหลือเกิน เขาคงไม่รู้ว่าที่เราสองคนได้มีโอกาสอยู่ภายในลิฟท์นี้ด้วยกันตามลำพัง มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือ พรหมลิขิตหรอก ทั้งหมดเป็นเพราะฉันตั้งใจทำมันขึ้นมาเอง ฉันแอบนั่งรอเขาอยู่ในออฟฟิสตั้งนาน คอยจนเขาทำงานเสร็จ และรีบวิ่งตามมาจนเหนื่อยแทบขาดใจ เพื่อมาขึ้นลิฟท์ตัวเดียวกับเขา แต่ฉันกลับต้องมาพบกับสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจเช่นนี้น่ะหรือ หลายครั้งที่ฉันเฝ้ามองเขาพูดคุยกับเพื่อนๆ ของฉันอย่างร่าเริง แต่พอฉันเดินเข้ามาใกล้ เขากลับลุกเดินหนีจากฉันไปทุกครั้ง ที่ผ่านมาฉันคงยึดติดกับประเพณีและคำสอนของครอบครัวมากเกินไป ‘เพียงเพราะฉันเป็นผู้หญิงเช่นนั้นหรือ? ฉันถึงต้องเรียบร้อยตลอดเวลา’ เวลาแห่งความรักของฉันถูกคำว่าจารีตประเพณีทิ้งมันให้สูญเปล่า โดยที่ฉันไม่สามารถทำอะไรตามเสียงเรียกร้องในหัวใจตัวเองได้เลย ทั้งๆ ที่ชีวิตคนนั้นมีเวลาสั้นนิดเดียว แม้ว่าฉันอยากจะหยุดเวลาที่ได้อยู่กับเขา แต่ในตอนนี้มันกำลังลดน้อยลงไปทุกที ไม่นานนักฉันเหมือนถูกฉุดขึ้นมาจากห้วงความคิดอันฟุ้งซ่าน เพราะลิฟท์ของเรากลับหยุดเดินทางอย่างกะทันหันในชั้นสิบเอ็ด โดยที่เราสองคนยังไม่มีใครกดปุ่มใดๆ ทั้งสิ้น ประตูลิฟท์ที่อยู่ตรงหน้าของฉันและเขาเลื่อนเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ เบื้องหน้าของเราถัดจากประตูลิฟท์ไปมีเพียงระเบียงทางเดินที่มืดมิดและว่างเปล่า เราสองคนหันมองหน้ากันโดยบังเอิญอยู่ชั่วครู่ ‘นี่มันเกิดเรื่องประหลาดอะไรกัน...ในเวลาเกือบเที่ยงคืนเช่นนี้คงไม่มีใครมากดลิฟท์เล่นหรอกนะ ..หรือว่าลิฟท์จะเสีย?’ ฉันหวนกลับไปสู่ห้วงความคิดอันฟุ้งซ่านอีกครั้ง ‘ฉันควรจะชวนเขาออกไปขึ้นลิฟท์อีกตัวดีไหมนะ? ..ดูสภาพมันไม่ค่อยน่าปลอดภัยแล้วล่ะ’ มันคงจะน่ากลัวน่าดูหากว่าฉันจะต้องตายอยู่ในลิฟท์แคบๆ แบบนี้ แต่ในเวลานี้ ฉันไม่กังวลถึงความน่าสะพรึงอื่นใดเลย เพราะมีเพียงสิ่งเดียวที่ฉันปรารถนา และจะทำให้ฉันเป็นสุขมากที่สุดคือการได้ยินเสียงพูดจากเขา ไม่ว่ามันจะเป็นคำที่มีความหมายใด ความรู้สึกใด หรือแม้จะเป็นเพียงคำพูดประโยคเดียวก็ตาม

ผมได้แต่ถามตัวเองว่านี่คือการเล่นตลกของพระเจ้า หรือ ท่านจะชี้แนะแนวทางอันใดแก่ผมอีก เพียงแวบเดียวที่เราสองคนได้มองแววตาของกันและกัน ซึ่งมันเต็มไปด้วยความสงสัย ในเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น ความกล้าหาญของผมเกือบจะชนะความกลัวจนเอ่ยปากพูดชวนเธอให้ออกไปจากลิฟท์ตัวนี้ ผมได้แต่หวังอยู่ลึกๆ ว่าลิฟท์คงจะไม่เสียจนทำให้เราสองคนค้างอยู่ระหว่างชั้นใดชั้นหนึ่งเสียก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง ความคิดกังวลยังคงบุกทำลายอำนาจแห่งจิตใจของผม แม้เธอจะเป็นรักแรกพบของผม แต่สิ่งเดียวที่น่าเสียใจที่สุดก็คือเธอไม่ได้เป็นรักครั้งแรก ซึ่งผมเคยคิดฝันว่าถ้าเธอเป็นรักครั้งแรกของผม เธอคงไม่ทำร้ายจิตใจให้ผมกลัวความรักจนถึงวันนี้ ขณะที่ผมยังยืนนิ่งอยู่ในมุมเดิมของลิฟท์ ความเขินอายคงไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะนำมากล่าวอ้างถึงสาเหตุของการแกล้งทำเป็นเฉยเมยต่อเธออยู่ในตอนนี้ ทั้งที่ผมรักเธอมากมายเหลือเกิน แม้ว่าเธอจะไม่เคยสนใจผมเลยก็ตาม ‘ผมอยากรู้เหลือเกินว่าคุณคิดยังไงกับผม คุณคิดเหมือนกันหรือเปล่า?’ มันเป็นคำถามที่ผมอยากพูดให้เธอได้ยิน แต่สุดท้ายร้อยแปดพันประโยคได้แต่ก้องกังวานอยู่ภายในหัวของผมเท่านั้น เวลาไม่นานประตูลิฟท์จึงเลื่อนปิดสนิทตามปกติ เราสองคนเดินทางต่อไปยังจุดหมายที่ผมยังไม่อยากไปถึง

หลังจากที่ผมกับเธอยังยืนอยู่ที่เดิม ท่ามกลางความเงียบงัน ระหว่างการเดินทางจากชั้นสิบไปยังชั้นเก้า เสียงดุจฟ้าผ่าดังระเบิดกึกก้องขึ้นจากด้านบน มันเกิดอะไรขึ้นผมไม่รู้สาเหตุ แต่หลังจากเสียงนั้นดังสนั่นขึ้นไม่กี่วินาที ภายในลิฟท์ตัวนี้ก็สั่นสะเทือนเลื่อนดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างฉับพลัน ผมและเธอทรงตัวไม่อยู่ เราทั้งคู่ล้มกลิ้งไปบนพื้น ในวินาทีนั้นผมคิดถึงความตายขึ้นมาในสมอง ‘ชีวิตคนเรามันจะตายกันง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ?’ เราสองคนทรุดตัวกันอยู่คนละมุมขณะที่พละกำลังของโลกกำลังดึงดูดพวกเราเข้าสู่อ้อมแขนของมัจจุราชอย่างรวดเร็ว ความกดอากาศเปลี่ยนระดับ ทำให้ในหูของผมอื้อจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีก ผมหันไปมองในหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความกลัวเป็นครั้งสุดท้ายอย่างเต็มตา ผมเห็นสองตากลมของเธอมองจ้องอยู่ที่ผม เราสองคนไม่หลบตากันอีกต่อไป ผมพยายามเก็บภาพของเธอไว้ให้นานที่สุด คงเพราะความตายมีอานุภาพเหนือกว่าสิ่งใด จึงข่มเอาชนะความกลัวในอดีตอันเล็กน้อยของผมจนหมดสิ้น ความกล้าในจิตใจของผมถูกปลดปล่อยออกมาโลดแล่นในยามที่สายเกินไป หลังจากที่หัวของผมกระแทกกับบางอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างมืดดับลง ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดด้วยซ้ำ ผมเพิ่งรู้ว่าความตายไม่น่ากลัวเลย แต่การที่ผมต้องสูญเสียโอกาสทุกอย่างในขณะที่มีชีวิตต่างหากที่น่ากลัวที่สุด เพราะจากนี้คงไม่มีเรื่องราวระหว่างเราสองคนอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างแหลกสลาย ไม่หลงเหลือสิ่งใดที่เป็นของเราอีกต่อไป หากพระเจ้ายังคงเมตตาประทานพรอีกเพียงข้อเดียว ผมคงจะขอให้ผมได้มีโอกาสพูดกับเธอในสิ่งที่ผมคิดตลอดมา “ฝน ผมรักคุณ...”

-จบ-

จากคุณ : @Love_ที่รัก
เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 14:06:49




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com