Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
PSYCHO FEAR : โต๊ะจีน ติดต่อทีมงาน

วันนี้เป็นวันตรุษจีน

เหตุการณ์ก็เหมือน ๆ กับทุกปีนั่นแหละครับ หลังทำการไหว้ตามพิธีเสร็จบรรดาญาติ ๆ จะมารวมกันกินอาหารมื้อกลางวัน เป็นโต๊ะจีนที่ม่าม้าสั่งจากร้านอาหารเจ้าประจำตามที่เคยทำมาจนชิน

ป่าป๊าซึ่งเป็นลูกชายคนโตเดินมานั่งตรงตำแหน่งเดิมเหมือนเคย ถัดไปทางขวาเว้นที่สำหรับม่าม้าและเจ้วรรณพี่สาวผม ตอนนี้สองคนช่วยกันลำเลียงอาหารจากโต๊ะเซ่นไหว้ไปอุ่นในครัวก่อนมาวางเรียงยังโต๊ะอาหาร ส่วนผมซึ่งนั่งลำดับที่สี่ก็กุลีกุจอรินน้ำจากเหยือกส่งให้แขกทีละคน

ย้อนกลับมายังฝั่งซ้ายมือของป่าป๊า อาเจ๊กพลที่นั่งอยู่เริ่มคุยล้งเล้งกับพี่ชาย (ก็ป่าป๊าผมนั่นแหละครับ) อย่างเมามัน

“เลขที่ได้เมื่อกี้น่าจะแม่นอยู่นา ตั่วเฮียว่าไง” แกเอ่ยถึงตัวอักษรยึกยือบนกระดาษที่กระเด็นออกมาหลังจุดประทัดหมดตับ

ป่าป๊าฉีกยิ้มสวนกลับว่า “เฮ้ย สู้ที่ต๋องเคยใบ้ไว้ไม่ได้หรอกน่า”

ผมเริ่มใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เมื่อได้ยินชื่อตัวเอง

“ใช่” เจ๊กพลตบเข่าฉาด “อั้วจำได้ ตอนอาต๋องสองขวบพออั้วถามว่างวดนี้ออกอะไร อีก็ตอบว่าห้า ๆ แม่นจริง ๆ ลื้อยังจำได้ไหมอาต๋อง”

“โธ่เจ๊กพลคะ ไปเอาอะไรกับต๋องมัน” พี่สาวผมวางอาหารจานสุดท้ายลงพร้อมเริ่มนินทาต่อหน้าทันที “สมัยนั้นต๋องน่ะคลั่งแต่หนังเรื่องกิ้งก่ากายสิทธิ์ เจอหน้าใครก็ร้องก่า ๆ จะให้เปิดวีดีโอดูท่าเดียว เจ๊กพลฟังเพี้ยนเป็นห้า ๆ เองน่ะซิคะ”

ว่าแล้วเจ้วรรณก็เท้าสะเอวสะบัดหน้าใส่ผม “ไม่รู้กิ้งก่าบ้านั่นมีอะไรดี แกถึงชอบนักชอบหนาฮึ”

กิ้งก่าที่บอกหน้าตาเป็นไงยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วจะตอบคำถามเจ้ได้ไงเล่า ผมโอดครวญในใจ

จังหวะนั้นเจ๊กชาญกับภรรยาที่ผมเรียกว่าซ้อนิ่มก็ลุกจากนอกชานมาร่วมวง ตรุษจีนปีนี้ภรรยาเจ๊กพลกับลูกอีกสามคนมาไม่ได้ เมื่อทุกคนรู้ว่าเหลือกันอยู่แค่นี้ รายการชิมไปจ้อไปก็เริ่มแบบไม่รอช้า

ผมคว้าตะเกียบหมับ จ้องฮ่อยจ๊อตาเป็นมันเพราะจำรสชาติได้ไม่รู้ลืม ปีหนึ่งได้กินอยู่ไม่กี่ครั้งแถมคราวนี้ม่าม้ากับเจ้วรรณออกตัวสละสิทธิแต่ต้นเพราะกลัวอ้วน ส่วนป่าป๊านั้นหมอสั่งห้ามพาลให้อาเจ๊กอาซ้อเกิดห่วงสุขภาพของดตามไปด้วย ดังนั้นผมจึงเหลือคนที่ต้องแก่งแย่งแค่คนเดียว

คือเจ๊กธงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามผมนี่เอง

เจ๊กธงเป็นน้องคนสุดท้องของป่าป๊า ทั้งที่สายเลือดบ้านผมเป็นพ่อค้าแบบเข้มข้น แกยังดันทุรังผ่าเหล่าอยากเป็นนักเขียน ปีที่แล้วป่าป๊าเห็นท่าทางทรุดโทรมของน้องชายเข้าก็กระแนะกระแหนว่านักเขียนปากแห้ง เจ๊กธงจึงตอบเสียงเรียบว่าตั่วเฮียเขาเรียกว่านักเขียนไส้แห้ง จนป่าป๊ายัวะจัดเผลอโยนแอบเปิ้ลไหว้เจ้าใส่ แกยังอุตส่าห์ใช้สองมือรับไว้ได้อย่างสวยงามก่อนจะวิ่งพ้นรัศมีของแอบเปิ้ลลูกที่สามแบบฉิวเฉียด

ผมหละนึกดีใจที่ตรุษจีนไม่ใช่หน้าทุเรียน

ตอนหลังป่าป๊าแอบมาสารภาพกับม่าม้า บอกหน้ามืดนึกว่าน้องชายหลอกด่าเรื่องที่แกสอบวิชาภาษาไทยตกสมัยเด็ก พอม่าม้าเอามาเล่าให้เจ๊กธงกับผมฟัง เจ๊กธงยังหัวเราะเอ่ยว่าแกไม่โกรธป่าป๊าผมหรอก

เวลานี้เจ๊กธงผู้ดูท่าทางโทรมกว่าปีที่แล้วเสียอีก พลิ้วตะเกียบฉวยฮ่อยจ๊อชิ้นแรกไปเป็นเจ้าของ ผมก็ไม่ยอมแพ้รีบตามไปติด ๆ สงครามแย่งชิงดำเนินไปอย่างเมามันได้พักใหญ่ ซ้อนิ่มก็หันมาเลียบเคียงถามป่าป๊าเสียงอ่อน

“ตึกแถวข้างร้านผ้าประกาศขายแล้ว อั้วว่าเราน่าจะขยับขยายร้านเสียที”

เจ๊กพลผู้บ้าหวยรีบส่งหูฉลามไปว่ายต่อในกระเพาะ อ้าปากร้องขึ้นบ้าง
“เดี๋ยวซิ ร้านอั้วก็จะเพิ่มสาขาใหม่เหมือนกัน อั้วขอตั่วเฮียไว้ก่อนแล้วนา”

ป่าป๊าซึ่งมีหน้าที่ดูแลกงสีของบ้านถอนหายใจเฮือก เอ่ยแบ่งรับแบ่งสู้ “เงินไม่ใช่น้อย ๆ นา”

เท่านั้นเอง เสียงโต้แย้งของสามฝ่ายก็เริ่มดังกระหึ่ม แต่ผมเพียงฟังผ่านหูเพราะรู้ดีว่าเหตุการณ์มันก็วนเวียนแบบนี้ทุกปี ต่างไปแค่หัวข้อในการทะเลาะเท่านั้น จึงมุ่งมั่นพิชิตฮ่อยจ๊อชิ้นสุดท้ายเสียมากกว่า

นั่นไง เจ๊กธงเคี้ยวช้าลงเพราะมัวแต่สนใจเหล่าพี่น้อง ผมดันเศษฮ่อยจ๊อลงคอด้วยความเร็วชนิดที่ตัวเองยังตกใจ ก่อนยื่นตะเกียบพุ่งใส่เป้าหมายไม่รีรอ

“อั้วเป็นมะเร็ง”

การถกเถียงของบรรดาญาติ ๆ หยุดลงทันทีที่ประโยคดังกล่าวหลุดจากปากเจ๊กธง กระทั่งผมเองยังอ้าปากค้าง ลืมนึกถึงปลายตะเกียบซึ่งอยู่เหนือจานอาหารเพียงนิดเดียวไปเสียสนิท

ท่ามกลางสายตาทุกคนที่หันมามองแกเป็นจุดเดียว เจ๊กธงก็สะบัดมือเป็นวงสวยงาม ปาดฮ่อยจ๊อชิ้นสุดท้ายไปวางบนจานแกอย่างเด่นสง่า ทั้งยังขยับริมฝีปากหลุดคำพูดได้ต่อเนื่องไม่มีสะดุดสักนิด

“อั้วโกหก”

“ไอ้ธง!” ป่าป๊าหน้าแดงแปร๊ดตามอารมณ์ที่พุ่งปรี๊ด แต่เจ๊กธงยังทำท่าไม่ทุกข์ร้อน เอาแต่หยิบช้อนส้อมซึ่งสะอาดเอี่ยมเพราะแกใช้แต่ตะเกียบมาหั่นชิ้นฮ่อยจ๊อตามขวางเป็นรูปโค้ง แล้วจิ้มฮ่อยจ๊อครึ่งซีกเว้าแบ่งใส่จานให้ผม พร้อมหยดน้ำจิ้มเหลืองใสไว้แทนสองตาเลียนแบบปรากฏการณ์พระจั้นทร์ยิ้ม พลางยักคิ้วให้ผมขณะเอ่ยว่า

“อั้วขอโทษ อั้วแค่อยากรู้ว่าสมมุติปีหน้าอั้วไม่ได้กลับมานั่งตรงนี้เข้าจริง ๆ ภาพสุดท้ายของพี่น้องในความทรงจำจะเป็นภาพคนเอาแต่ขึ้นเสียงกันใช่ไหม”

กลุ่มผู้ทะเลาะนิ่งอึ้ง ก่อนป่าป๊าจะวางตะเกียบลง ใช้นิ้วชี้สะบัดใส่หน้าน้องชายคนสุดท้องถี่ ๆ เป็นเชิงคาดโทษ จากนั้นก็หันไปชวนเจ๊กพลคุยเรื่องหวยต่อหน้าตาเฉย

ระหว่างที่ผมเคี้ยวของขวัญจากเจ๊กธงตุ้ย ๆ ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าปีนี้โต๊ะจีนดูจะสงบสุขกว่าปีก่อน ๆ อยู่โขเลยแฮะ

**********

พอฮ่อยจ๊อเกลี้ยงจานผมก็หมดความสนใจในโต๊ะจีน เลยตั้งใจจะออกมาเตร็ดเตร่แถวนอกชานคนเดียว แต่ช่วงที่กำลังจะเดินไปถึงแล้วหูก็เกิดได้ยินคล้ายคนพูดอยู่แว่ว ๆ

“เจ๊กธงคะ” ผมจำเสียงเจ็วรรณได้แม่น “เจ๊กจะบอกเรื่องตัวเองเป็นมะเร็งตอนไหนกันแน่”

ผมเบิกตาค้าง รีบถลาเข้าไปขวางกลางวงสนทนาระหว่างพี่สาวกับอาเจ๊กแทบไม่ทัน

“จริงหรือเจ๊กธง” ผมละล่ำละลักถาม เจ็วรรณพอเห็นผมเข้าก็สะดุ้งโหยง ก่อนตั้งสติตอบแทนเจ๊กธงว่า

“จริง เจ้ก็เพิ่งรู้ผลพร้อมเจ๊กเมื่อวันก่อนเอง แต่เจ๊กธงขอให้ปิดเรื่องไว้ก่อน”

พี่สาวผมคนนี้ทำงานเป็นหมอหลังจบได้ไม่นาน คาดว่าเจ๊กธงคงสงสัยอาการตัวเองถึงไปขอให้หลานสาวช่วย

ผมหันกลับมามองน้องชายคนสุดท้องของป่าป๊าซึ่งยังคงสีหน้าสงบนิ่งได้อย่างเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันก็หลุดปากออกไปว่า

“แล้วเจ๊กไม่...กลัวเหรอ”

เจ๊กธงยิ้ม ตอบว่า “อาต๋องเอ้ย สิ่งที่ควรกลัวจริง ๆ แล้ว ก็คือความกลัวเองนั่นแหละ”

“โห” ท่าทางเยือกเย็นของอีกฝ่ายทำให้อารมณ์ผมผ่อนคลายขึ้น “ประโยคโดนมาก เจ๊กธงคิดเองเหรอ”

คราวนี้เจ๊กธงกลับนิ่วหน้า “จะสอบเข้ามหา’ลัยปีหน้าอยู่แล้วความรู้รอบตัวมีมั่งไหมเนี่ย ประโยคนี้ใครพูดลองหาเองซะ”

ระหว่างที่ผมแกล้งทำหน้าจ๋อย เจ้วรรณก็สวนขึ้นด้วยน้ำเสียงแบบที่ใช้พูดกับคนไข้ไม่มีผิด

“เจ๊กธง อย่าเพิ่งเฉไฉเปลี่ยนเรื่องซิคะ มะเร็งน่ะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ อาการของเจ๊กตอนนี้ถ้ารีบรักษาก็อาจหายขาดได้ แต่ยังไงก็ควรปรึกษาพวกป่าป๊าดูด้วย”

“รู้แล้วจ้า” เจ๊กธงทำเสียงกลัว ๆ สัพยอกหลานสาวจอมบงการ อายุเจ๊กธงห่างจากพวกผมไม่กี่ปี จึงคล้ายเป็นพี่ชายมากกว่าอาหลาน “วิธีรักษาเจ๊กก็ปรึกษาหมอไว้แล้วไม่ต้องห่วงหรอก อีกอย่างวันตรุษจีนจะคุยเรื่องพวกนี้ได้ยังไง รอพ้นวันไหว้ก่อนรับรองเจ๊กประกาศให้ทุกคนรู้แน่ แต่ระหว่างนี้...”

เจ๊กธงคว้าตัวผมมาประชิดตอนทีเผลอ พลางใช้อีกมือกดหัวผมแบบที่เคยแกล้งกันประจำ

“ต้องจัดการเรื่องเจ้าตัวยุ่งนี่ให้เรียบร้อยก่อน ว่าไงอาต๋อง เห็นว่าอยากสอบเข้าคณะดุริยางคศิลป์แต่ไม่กล้าขอป่าป๊างั้นรึ”

ผมเบิกตาโพลงอย่างประหลาดใจ เจ๊กธงเห็นแล้วยิ่งใช้มือขยี้หัวผมอย่างหมั่นเขี้ยว

“ม่าม๊าลื้อกับอาวรรณโทรมาปรึกษาเรื่องนี้กับเจ๊กนานแล้ว ว่าไง...กลัวป่าป๊าด่ามากเลยรึ”

ผมหน้ามุ่ย โธ่...เจ๊กธงก็รู้ว่าเวลาป่าป๊าโกรธน่ากลัวขนาดไหน ยังจะถามผมอีก

“ฮ่า ๆ” น้องชายคนสุดท้องของป่าป๊าหัวเราะใส่ผม “อาต๋องเอ๋ยเจ๊กจะบอกอะไรให้ อย่าคิดว่าคนกล้าคือคนที่ไม่กลัว แต่เพราะกลัวหากยังตัดสินใจลุยต่างหากคือคนกล้าที่แท้จริง”

“โห” ผมอุทานอีกครั้ง “คราวนี้ใครพูดล่ะเจ๊กธง”

“อุวะ” เจ๊กธงทานการดิ้นรนของผมไม่ไหวจึงยอมปล่อยมือในที่สุด “อั้วคิดเองต่างหาก เอ้าว่าไง หลานชายเจ๊กคนนี้จะกล้าพอไหม”

ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก แต่ยังทำเป็นพูดวางท่า

“ต๋องจะทำก็ได้ แต่เจ๊กธงต้องสัญญามาข้อหนึ่งก่อน”

“อะไร”

“ประโยคเมื่อกี้เท่สุด ๆ เจ๊กลองเขียนออกมาสักเรื่องให้มีประโยคนั้นอยู่ในเนื้อความด้วยนะ รับรอง...โดน ขายดีกว่าไอ้หนังสือรวมบทกวีเล่มนั้นของเจ๊กแน่”

“หนอยเจ้านี่” เจ๊กธงตั้งใจคว้าตัวผมอีกครั้ง แต่ผมหรือจะหลงกลซ้ำสอง เจ๊กธงจึงได้แต่หัวเราะร่วนระหว่างกวักมือเรียกผมกลับไปหาแล้วว่า

“ได้ เจ๊กสัญญา”

เจ๊กธงบีบไหล่ผมไว้คล้ายจะแทนคำถามที่ไร้คำพูดว่า ‘แล้วหลานชายเจ๊กล่ะจะรักษาสัญญาได้ไหม’

ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ตอบคำถามนั้นด้วยการหันหลังเดินกลับเข้าห้องอาหารไปพร้อมกิริยามาดมั่นทั้งที่ยังหวั่นใจไม่หาย

**********

ทุกตัวอักษรข้างต้นนั้นพยาบาลผู้คอยดูแลเจ๊กธงนำมายื่นให้ผมในวันที่เจ๊กตาย บอกว่าเจ๊กแกฝากเอาไว้ให้เพราะกลัวผิดสัญญาว่าจะเขียนเรื่องตามที่ผมเคยแนะนำ

ครับ เจ๊กธงเสียแล้ว หกเดือนหลังแกบอกทุกคนเรื่องเป็นมะเร็ง แม้ว่าป่าป๊าจะทุ่มเงินรักษาน้องชายคนสุดท้องขนาดไหน แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะมัจจุราชได้อยู่ดี

วันนี้ผมยังคงนั่งหน้าโต๊ะฉลองตรุษจีนครั้งที่สิบห้าหลังเจ๊กธงตาย คอยตอบคำถามญาติ ๆ เรื่องงานในแวดวงดนตรีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งก็มีทั้งเรื่องทุกข์เรื่องสุขปะปนกันไปแหละครับ บางคนพอได้ยินความลำบากของผมก็มักอุทานว่าเก่งนะ กล้าลุยโดยไม่หวั่นเลยหรือ

เวลาฟังคำถามแบบนี้ครั้งใด ผมเพียงแย้มริมฝีปากตอบกลับ มีแค่ตัวเองที่รู้ดีว่าช่วงชีวิตซึ่งต้องเจออุปสรรคจนแทบทนไม่ได้ เหตุการณ์ที่เคยร่วมกินโต๊ะจีนครั้งสุดท้ายกับเจ๊กธงจะแวบมาในหัวเหมือนมีใครคอยเปิดสวิตช์ และทันทีที่ภาพฮ่อยจ๊อครึ่งชิ้นปรากฏขึ้นสู่มโนภาพเมื่อใด

แม้จะกลัวแค่ไหน...ผมก็ยังยิ้มได้ทุกครั้ง

**********

เครดิตของภาพตามในรูปเลยค่ะ ^_^

แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 54 00:12:47

 
 

จากคุณ : จันทร์พันฝัน
เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 54 00:10:59




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com