สองปีในวังต้องห้ามของพระนางซูสี ตอนที่ 2
|
 |
บทที่ 2 ณ พระราชวัง
ตอนที่เรามาถึงประตูเมือง ซึ่งอยู่ประมาณครึ่งทางระหว่างบ้านกับพระราชวังฤดูร้อน ก็เห็นว่าประตูเปิดพร้อมอยู่แล้ว อันนี้ทำให้พวกเราค่อนข้างแปลกใจเพราะโดยปกติประตูเมืองจะปิดเวลาหนึ่งทุ่ม และจะเปิดก็ต่อเมื่อสว่างเราถามคนเฝ้าเขาบอกว่าได้รับคำสั่งให้เปิดรับเราโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ที่จัดมาควบคุมดูแลแต่งชุดข้าราชการยืนตั้งแถวเรียงสองและทำความเคารพขณะขบวนของเราผ่านประตูเมืองอีกด้วย
ในเวลาที่เราถึงประตูเมืองท้องฟ้าก็ยังมืดอยู่ ฉันนึกย้อนไปถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตที่ผ่านมา และตระหนักว่านี่เป็นสิ่งที่แปลกที่สุดที่เกิดขี้น ฉันนึกสงสัยว่าพระนางซูสีจะทรงมีพระรูปโฉมอย่างไร จะทรงโปรดฉันหรือไม่ เขาบอกว่าเราอาจจะถูกขอให้พักอยู่ในวัง ฉันนึกไปว่าถ้าได้โอกาสนั้นจริงๆ ฉันอยากจะขอเป็นส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อพระนางซูสีในการเปลี่ยนแปลงประเทศ และเป็นประโยชน์ต่อชาติจีนของเรา พอนึกมาถึงตรงนี้ฉันก็รู้สึกสุขใจและตัดสินใจได้ทันทีว่าต่อนี้ไปฉันจะทำอย่างเต็มความสามารถและจะใช้อิทธิพลที่คงจะมีในอนาคตช่วยพัฒนาประเทศให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ขณะที่กำลังนึกฝันเรื่องดีๆ เหล่านี้ พลันก็เห็นแสงเงินแสงทองโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ทำให้รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันดีแน่แท้ ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น สิ่งต่างๆ ค่อยๆ ประจักษ์แก่ตาของฉัน ทิวทัศน์สวยงาม และพอเราใกล้จะถึงวัง ก็มองเห็นกำแพงสูงใหญ่สีแดงซิกแซกไปตามเนินเขา ล้อมรอบพระราชวังไว้ บนกำแพงและหลังคาตัวตึกต่างๆ ครอบไว้ด้วยกระเบื้องสีเหลืองและเขียว สะท้อนแสงอาทิตย์แจ่มจ้า เราได้ผ่านเจดีย์ต่างแบบต่างขนาดและก็มาถึงหมู่บ้านไห้เทียน ซึ่งอยู่ห่างจากประตูวังราวสี่ลี้ เจ้าหน้าที่บอกเราว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว นับเป็นเรื่องดี เพราะฉันนึกว่าเราจะไม่มีวันไปถึงที่หมายซะแล้ว ที่หมู่บ้านนี้เป็นชนบทที่สวยงาม บ้านชั้นเดียวสร้างด้วยก้อนอิฐ จึงดูสะอาดเรียบร้อยเหมือนบ้านส่วนใหญ่ทางภาคเหนือของประเทศ เด็กๆ กรูกันออกมาดูขบวนและฉันได้ยินเด็กบอกกันว่า ผู้หญิงพวกนี้จะเข้าวังไปเป็นฮองเฮา ซึ่งฉันรู้สึกขำมาก
ออกจากหมู่บ้านไห้เทียนได้ไม่นาน เราก็มาถึงสะพานโค้ง ซึ่งเป็นงานแกะสลักและสถาปัตยกรรมจีนโบราณที่สวยงามมาก จากจุดนี้จะเป็นตำแหน่งแรกที่สามารถมองเห็นประตูวังได้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงร้อยหลาเท่านั้น ประตูนี้ทำโดยเจาะกำแพงวังออกแล้วใส่ประตูบานใหญ่มากเข้าไปตรงกลาง และมีประตูบานเล็กอีกสองข้าง ประตูกลางจะเปิดใช้สำหรับพระนางซูสีและจักรพรรดิเข้าออกวังเท่านั้น เสลี่ยงพวกเราจะจอดที่หน้าประตูด้านซ้ายซึ่งเปิดอยู่แล้ว ห่างจากหน้าประตูออกมาห้าร้อยหลามีตึกอยู่สองตึกเป็นที่สำหรับผู้เฝ้าเวรยามตอนกลางคืน
พอพวกเรามาถึงฉันเห็นเจ้าหน้าที่มากมายคุยกันอย่างตื่นเต้น บางคนก็มาที่ประตูแล้วตะโกนว่า มาแล้วๆ มาถึงแล้ว เราลุกออกมาจากเก้าอี้เสลี่ยง ก็พบกับขันทีระดับสี่สองคน (ประดับกระดุมคริสตัลและขนนกซึ่งปกติสีเทาแต่เอามาย้อมเป็นสีดำ มีขนาดกว้างกว่าขนนกยูง นกนี้พบในจังหวัดเสฉวน) ขันทีสองคนนี้มีขันทีเด็กๆ เดินตาม อีกสิบคน ถือผ้าฉากไหมสีเหลือง มากั้นให้เราที่เสลี่ยงเมื่อเราลุกขึ้น เป็นที่ทราบดีว่าพระนางซูสีมีรับสั่งให้กั้นฉาก แก่เรา ซึ่งนับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ฉากนี้ยาวสิบฟุต สูงยี่สิบฟุต ถือโดยขันทีสองคน
ขันทีระดับสูงสองคนนี้สุภาพมาก ยืนอยู่คนละด้านของประตู และเชิญเราเข้าไปข้างใน ด้านในเป็นพื้นลานขนาดใหญ่มากราวสามร้อยตารางฟุต มีแปลงดอกไม้เล็กๆ อยู่มากมาย และมีต้นสนเก่าแก่แขวนกรงนกหลากหลายชนิด ฝั่งตรงข้ามกับประตูที่เราเข้ามาก็เป็นกำแพงสีแดง และมีประตูอีกสามบานเช่นเดียวกัน ฝั่งซ้ายและขวาเป็นตึกแถวเตี้ยๆ เรียงกัน แต่ละตึกมี 12 ห้อง ใช้เป็นห้องพักคอย บริเวณเต็มไปด้วยข้าราชการชั้นต่างๆ แต่งตัวเต็มยศ และก็ตามแบบฉบับคนจีน ทุกคนจะดูยุ่งทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อเขาเห็นพวกเราเขาก็จะหยุดนิ่งและจ้องเอาๆ ขันทีทั้งสองพาเราไปคอยที่ห้องพักคอยห้องหนึ่ง มีขนาดราวยี่สิบตารางฟุต ตกแต่งอย่างธรรมดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีดำ เบาะรองนั่งหุ้มผ้าสีแดง หน้าต่างสามบานแขวนม่านทำด้วยผ้าไหม เราอยู่ที่ห้องนี้ประมาณห้านาที ก็มีขันทีแต่งชุดหรูหราเข้ามาและพูดว่า ประกาศสำนักพระราชวัง ให้แม่นางหยู และสุภาพสตรีทั้งสองท่านไปคอยที่พระราชวังฝั่งตะวันออก พอกล่าวจบ ขันทีทั้งสองคนที่คอยอยู่กับเราก็คุกเข่าลงและพูดว่า พะย่ะค่ะ เมื่อใดก็ตามที่พระนางซูสีมีรับสั่งก็จะนับว่าเป็นประกาศสำนักพระราชวัง ที่คนรับใช้ทั้งหลายจะต้องคุกเข่ารับกระแสรับสั่งเสมือนว่าพระนางซูสีปรากฏ ณ ที่นั้น ขันทีบอกให้เราตามเขาไป เราเดินเข้าประตูชั้นถัดไปด้านซ้ายมือ ก็พบกับลานกว้างเช่นเดียวกับอันแรก แต่มีท้องพระโรงอยู่ด้านทิศเหนือและยังมีตึกอื่นๆ ที่ขนาดใหญ่กว่าด้านนอกเล็กน้อย ขันทีพาเราไปเข้าตึกทางทิศตะวันออก ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงามด้วยไม้ดำแดงแกะสลักอย่างสวยงาม เก้าอี้และโต๊ะคลุมด้วยผ้าซาตินสีน้ำเงิน ที่ผนังแขวนด้วยผ้าแบบเดียวกัน อีกด้านนึงของห้องมีนาฬิกาเหมือนกันทั้งขนาดและรูปร่างแขวนอยู่ 14 เรือน ที่จำได้เพราะฉันนับเอง
สักครู่หนึ่ง มีหญิงรับใช้เข้ามาคอยรับใช้เรา และรายงานเราว่า พระนางซูสีกำลังแต่งพระองค์ เราคงจะต้องคอยอีกสักพักหนึ่ง พักหนึ่งนี้กินเวลาราวสองชั่วโมงครึ่ง ซึ่งในประเทศจีนถือว่าเป็นเวลาที่ไม่นาน เราจึงสามารถอดทนคอยได้ต่อไป ระหว่างนี้ขันทีได้เข้ามาและนำสิ่งต่างๆ ได้แก่ นมสด และอาหารนานาชนิดสัก 20 จาน มาให้เราตามที่พระนางซูสีสั่งการ ท่านยังให้มอบแหวนทองประดับไข่มุกตรงกลางแก่พวกเราคนละหนึ่งวง ต่อมาหัวหน้าขันทีชื่อลิเลียนยิงเข้ามาในชุดเต็มยศ เขามียศชั้นที่สอง มีกระดุมแดงและขนนกยูงประดับ เขาเป็นขันทีเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ประดับขนนกยูง เขาแก่มากแล้ว หน้าตาไม่น่ามอง เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่มีท่วงท่าที่งดงาม เขาบอกแก่เราว่าพระนางจะเสด็จออกในไม่ช้า แล้วก็มอบแหวนหยกจากพระนางให้เราอีกคนละหนึ่งวง เราประหลาดใจมากที่ได้รับของมีค่าก่อนที่จะพบกันเช่นนี้ แต่ก็ทำให้รู้สึกได้ว่าผู้ให้ใจดี
หลังจากที่ขันทีลิเลียนยิงออกไปแล้ว ข้าราชบริพารสองคนซึ่งเป็นลูกสาวขององค็ชายชิ่งก็เข้ามา และถามขันทีที่ดูแลเราอยู่ว่าเราพูดจีนได้หรือไม่ ซึ่งพวกเรารู้สึกขำมาก ฉันเลยตอบไปว่า เราพูดได้แน่นอน ภาษาของเราเองนี่ และก็พูดภาษาอื่นๆ ได้อีก พวกเธอแปลกใจเช่นกันและพูดว่า ดูสิ ตลกจังเลย พูดภาษาเดียวกับเราด้วย ถึงตอนนี้เราจึงแปลกใจบ้างว่าคนในวังหลวงไม่รับรู้เรื่องข้างนอกเลย และสรุปเอาว่าโอกาสที่เขาจะได้รับความรู้นั้นน้อยนิด จากนั้นเขาก็บอกว่าพระนางซูสีกำลังคอยพวกเราอยู่ เราจึงรีบไปทันที
หลังจากเดินผ่านลานสามช่วงตึกเหมือนกับที่เราเดินผ่านมา เราก็มาถึงตึกขนาดใหญ่ที่มองดูเหมือนงานแกะสลักชิ้นมหึมา โคมส่องสว่างทำด้วยเขาควายแขวนไปตลอดแนวระเบียง คลุมด้วยผ้าไหมสีแดงที่มีพู่ห้อยอย่างเดียวกัน ตรงปลายพู่เป็นเม็ดหยกเนื้อดี ข้างๆ ตึกใหญ่นี้มีตึกเล็กขนาบทั้งสองข้างที่แกะสลักทั้งตึกในรูปแบบเดียวกันและแขวนโคมเหมือนกัน
มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งออกมารับพวกเราที่ประตูตึกใหญ่ เธอแต่งตัวเหมือนลูกสาวขององค์ชายชิ่ง แต่มีรูปหงษ์ปักตรงกลางที่ประดับศรีษะจึงทำให้เธอดูเด่นกว่าคนอื่นๆ เธอยิ้มและจับมือพวกเราอย่างฝรั่ง พวกเรามารู้เอาทีหลังว่าเธอคือจักรพรรดินี หรือฮองเฮาของ จักรพรรดิกวงซี่ว์ เธอบอกว่า พระนางซูสีรับสั่งให้มาพบพวกเธอ เธออ่อนหวาน สุภาพ ท่วงท่างดงาม แต่ไม่ได้สวยเป็นพิเศษ จากนั้นก็มีเสียงเรียกดังมาจากข้างในว่า บอกให้เข้ามาได้ ณ บัดนี้ พวกเราเข้าไปในพระที่นั่งทันที เห็นสุภาพสตรีสูงวัยใส่ชุดซาตินสีเหลืองเรืองรอง ปักลายดอกโบตั๋นทั้งชุด ที่ประดับศรีษะทำด้วยผ้าอย่างเดียวกับชุด ตรงกลางเป็นรูปหงษ์ทำด้วยหยกเนื้อบริสุทธิ์ ทั้งสองข้างปักแต่งเป็นดอกไม้โดยใช้ไข่มุกและหยก ด้านซ้ายห้อยพู่ไข่มุก ส่วนเสื้อคลุมใหล่เป็นสิ่งที่อลังการและมีค่ามากที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นเพราะมันทำด้วยไข่มุกขนาดสักไข่นกขมิ้น 3,500 เม็ด ทุกเม็ดมีสีเหมือนกันและเม็ดกลมดิก เสื้อคลุมไข่มุกนี้ถักเป็นร่างแหโดยมีหยกแต่งชายห้อย และเชื่อมเข้ากันด้วยข้อต่อหยก นอกจากนี้พระนางยังสวมกำไลมือไข่มุกสองคู่ หยกหนึ่งคู่ สวมแหวนหยกหลายวง และที่นิ้วกลางกับนิ้วก้อยข้างขวาสวมปลอกนิ้วทองยาวประมาณสามนิ้ว ส่วนมือข้างซ้ายปลอกนิ้วทำด้วยหยกยาวเท่ากัน ส่วนรองพระบาทก็ห้อยพู่ไข่มุกและปักด้วยหยกเม็ดเล็กๆ หลายเฉดสี
พระนางซูสีลุกขึ้นยืนเมื่อท่านเห็นเราเดินเข้ามา ท่านจับมือพวกเราอย่างฝรั่ง ท่านยิ้มกว้างและทรงแปลกใจว่าพวกเรารู้ระเบียบปฏิบัติวังเป็นอย่างดี ท่านรับสั่งกับแม่ว่า ฮูหยินหยู เธอเลี้ยงลูกดีมาก พูดภาษาจีนได้อย่างที่ฉันพูด ทั้งๆ ที่ไปอยู่เมืองนอกหลายปี และน่าประหลาดใจว่าก็ยังมีมารยาทเรียบร้อยอีกด้วย พ่อเค้าเข้มงวดเพคะ แม่ตอบ เขาให้ลูกเรียนภาษาจีนก่อน และเอาจริงเอาจัง ฉันดีใจที่พ่อเค้าใส่ใจลูกดี ท่านรับสั่ง และให้การศึกษาที่เหมาะสมดี ท่านทรงจับมือฉันและจ้องหน้า ท่านยิ้มและหอมแก้มฉันทั้งสองข้าง แล้วบอกแม่ว่า ฉันอยากจะดูแลลูกสาวของเธอทั้งสองคน หวังว่าพวกเธอคงจะอยากอยู่กับฉันนะ พวกเราดีใจมากและสำนึกในพระเมตตา พระนางตรัสถามหลายอย่างถึงชุดแบบปารีสที่พวกเราใส่ และบอกให้เราใส่ต่อไปตลอดเพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นใครใส่ในวัง ท่านยังสนพระทัยรองเท้าส้นสูงของเราซึ่งเป็นแบบของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 เป็นพิเศษ ระหว่างนั้นเราสังเกตว่ามีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งยืนห่างออกไปเล็กน้อย พระนางซูสีตรัสว่า นี่คือองค์จักรพรรดิกวงซี่ว์นะ แต่พวกเธอต้องเรียกว่าพระหมื่นปี และเรียกฉันว่าพระอัยยิกา องค์จักรพรรดิจับมือพวกเราอย่างคนขี้อาย เขาสูงราวห้าฟุตเจ็ดนิ้ว ผอม แต่มีลักษณะที่เข้มแข็ง จมูกโด่ง หน้าผากสูง นัยน์ตาดำ ใหญ่ สุกสกาว รูปปากคมชัด ผิวขาวมาก แม้กระทั่งฟัน โดยรวมแล้วดูดี แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง ทั้งที่ก็ยิ้มตลอดเวลา ถึงตอนนี้หัวหน้าขันทีเข้ามาคุกเข่าบนพื้นหินอ่อนบอกว่าขบวนเสด็จพร้อมแล้ว พระนางบอกให้เราไปท้องพระโรงด้วยกัน ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณเดินสองนาที ท่านจะให้บรรดาหัวหน้าคณะกรรมการต่างๆ เข้าเฝ้าที่นั่น วันนั้นเป็นวันที่อากาศดี และเก้าอี้เสลี่ยงแบบไม่มีหลังคาก็ตั้งขบวนคอยอยู่ ขบวนหามเก้าอี้เป็นขันทีแปดคน แต่งตัวเต็มยศ เป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นกันนัก หัวหน้าขันทีเดินนำด้านซ้ายมือของพระนาง ขันทีคนรองเดินนำด้านขวา ทั้งสองคนเอามือข้างหนึ่งจับไม้คานเสลี่ยงไว้ ขันทีระดับห้าจำนวนสี่คนเดินนำหน้า ขันทีระดับหกสิบสองคนเดินตามหลัง ขันทีแต่ละคนถือข้าวของเครื่องใช้ของพระนางซูสีอาทิ ชุดเสื้อผ้า รองเท้า ผ้าเช็ดหน้า หวี แปรง กล่องเครื่องแป้ง แว่นขยายขนาดต่างๆ น้ำหอม เข็มหมุด หมึกดำ หมึกแดง กระดาษสีเหลือง บุหรี่ หลอดดูดน้ำ และคนสุดท้ายถือเก้าอี้นั่งหุ้มด้วยผ้าซาตินสีเหลือง นอกจากนี้ยังมีหญิงรับใช้สูงอายุสองคน และหญิงรับใช้สาวๆ อีกสี่คนถือสิ่งของมาด้วย ขบวนเสด็จน่าชมมาก มองดูเหมือนห้องแต่งตัวเคลื่อนที่ องค์จักรพรรดิเดินทางด้านขวามือ ส่วนฮองเฮาเดินทางด้านซ้ายฝั่งเดียวกับข้าราชบริพารทั้งหลาย
ท้องพระโรงยาวประมาณสองร้อยฟุต กว้างราวหนึ่งร้อยห้าสิบฟุต ด้านซ้ายมือมีโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าซาตินสีเหลือง เมื่อพระนางลงจากเก้าอี้เสลี่ยงก็เข้าไปในพระที่นั่ง และเข้าประจำบัลลังก์ที่ด้านหนึ่งของโต๊ะ ส่วนจักรพรรดินั่งบัลลังก์อันเล็กด้านซ้ายมือของพระนางซูสี ส่วนรัฐมนตรีทั้งหลายคุกเข่าบนพื้นตรงหน้าพระนางที่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ
หากเราเข้าทางด้านหลังของพระที่นั่งจะเห็นยกพื้นยาวยี่สิบฟุต กว้างสิบแปดฟุต ล้อมรอบโดยตลอดด้วยราวรั้วแกะสลักเสลาสูงสองฟุต มีช่องเปิดขนาดเท่าคนผ่านสองช่องโดยมีบันไดขึ้นยกพื้นหกขั้น ด้านหลังของยกพื้นจะเป็นฉากขนาดเล็กซึ่งติดกันอีกด้านก็เป็นบัลลังก์ของพระนางซูสี โดยมีแผ่นฉากไม้แกะสลักขนาดใหญ่ กว้างยี่สิบฟุต สูงสิบฟุต เป็นสิ่งสวยงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เป็นฉากหลังของบัลลังก์
รูปแบบการแกะสลักยกพื้นเป็นรูปหงษ์และดอกโบตั๋น ลงบนไม้เนื้อสีดำ ที่จริงการตกแต่งทั้งหมดของห้องนี้ก็เป็นแบบเดียวกัน ส่วนบัลลังก์ของพระนางซูสีทั้งสองข้างมีเสาทำด้วยไม้สีดำแต่งยอดด้วยขนนกยูงเป็นรูปพัด ส่วนผ้าหุ้มเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เป็นกำมะหยี่สีเหลืองทั้งหมด
และก่อนที่พระนางจะเข้าประทับนั่งที่บัลลังก์ ก็ได้มีรับสั่งให้พวกเราเข้าไปที่หลังฉากนี้พร้อมกับฮองเฮาและข้าราชบริพาร ทั้งๆ ที่เราเข้าไปอยู่ข้างหลังฉากอย่างนี้ เราก็ยังได้ยินความต่างๆ ที่พระนางรับสั่งกับรัฐมนตรีอย่างชัดเจน ท่านผู้อ่านจะได้ทราบภายหลังว่าฉันได้ใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์
จากคุณ |
:
พวงแสด ลำปาง
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ก.พ. 54 21:12:36
|
|
|
|