เขาไม่ยอมรอ
โซลโทแทบไม่เคยอาละวาดมาก่อน แม้ร่างใหญ่ก็ไม่รู้จักใช้กำลังของตน แต่คราวนี้เขาอาละวาดหนักยิ่งนัก ใช้ทั้งหมัดและเท้า ที่จริงถึงกับเล่นสกปรกกัดเข้าให้ด้วย แต่ถึงจะพยายามเพียงนั้น ก็ไม่อาจสู้ท่านลุงที่ถือพายได้ ท่านลุงเพียงหลีกหลบไปมา ครั้นได้จังหวะก็ฟาดพายใส่ พายกระทบท้ายทอยจนชายหนุ่มเซ เขาอดนึกวูบหนึ่งไม่ได้ว่าหากข้าตายจริง ทำไมยังเจ็บได้ แต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้น ก่อนจะสิ้นสติไป
เขาได้สติอีกครั้งในห้องหนึ่ง ดูคล้ายห้องขัง ได้รับการตบแต่งดีพอสมควร แต่เปิดประตูไม่ได้ ชายหนุ่มจึงลากเก้าอี้ไปที่หน้าต่าง ปีนขึ้นดู แต่หน้าต่างติดลูกกรงเช่นกัน ใช้กำลังของเขาง้างออกไม่ไหว โซลโทง้างจนมือเจ็บ ทำอะไรไม่ได้จึงล่าถอยลงมา พยายามทุบและดึงดันประตู แต่ไม่อาจเปิดได้เช่นกัน เนิ่นนานหลังจากนั้นจึงได้ยินเสียงท่านลุงที่ใส่ชุดขุนนางจากอีกด้าน ท่านลุงว่าไม่อาจให้เขาออกไปได้ จนกว่าจะสงบใจลง จนกว่าจะยอมรับได้ว่าตนตายแล้ว ดูเหมือนจะมีวิญญาณเป็นอย่างเขามากมาย จึงต้องมีห้องกักขังเช่นนี้ ห้องตบแต่งอย่างบนโลกฝั่งโน้น ความรู้สึกของเขาก็จะยังคล้ายเมื่อมีชีวิตอยู่เช่นกัน เขาจะยังคงเหนื่อย เจ็บปวด และถึงกับรู้สึกง่วงนอนได้ แต่ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงความทรงจำจากเมื่อสมัยมีชีวิตทำให้เป็นไป ไม่ช้าเมื่ออยู่ในห้องนี้นานเข้า ความรู้สึกทุกอย่างจะค่อย ๆ สูญหาย ต่อให้จดจำได้ก็จะไม่เจ็บปวดหรือเดือดร้อนอีก ถึงตอนนั้นท่านลุงจะปล่อยเขาออกมาเอง
โซลโทร้องว่าให้ปล่อยเขา แต่ดูเหมือนท่านลุงจะจากไปแล้ว ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
ท่านลุงถือพายแวะมาหาครั้งหนึ่ง บอกเขาว่าอยู่ฝั่งนี้ไม่เห็นเป็นอะไร มีเรื่องน่าสนใจให้ทำอยู่ไม่น้อย จะไปเที่ยวที่ชายขอบสรวงสวรรค์ หรือไปดูนรกอเวจีก็ได้ ท่านลุงถึงกับบอกว่าจะสอนเขาแจวเรือด้วย แต่โซลโทไม่ได้ตอบอะไร เขาไม่ได้บอกว่าเขาแจวเรือเป็นอยู่แล้ว ถึงอย่างไรแถวบ้านก็มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน ใช้ได้ทั้งเรือพายและเรือแจว
กาลเวลาผ่านไป โซลโทเริ่มไม่แน่ใจว่านานเท่าไรแล้ว เขากลัวว่าผ่านไปนานจริงตนจะลืมดังที่ท่านลุงใส่ชุดขุนนางว่า ขณะที่พยายามหนีทุกวิถีทาง จึงพยายามจดจำด้วย เขาใจชื้นอยู่บ้างว่าความรู้สึกต่าง ๆ ยังไม่หายไป เพียงแต่ไม่หิวและไม่ต้องกินอาหารหรือดื่มน้ำเท่านั้น ชายหนุ่มพยายามนึกไว้ ไม่อาจลืมได้...ห้ามลืมทุกคน ห้ามลืมคนที่บ้าน ห้ามลืมทุกคนที่ซีเล ทุกคนที่ร้านเอชาน ห้ามลืมพวกมังกร ไม่ว่าอย่างไรชีวิตนั้นก็เป็นของเขา ไม่ใช่ของลุงไซธีน เขาจะเอาคืนมา
เวลาใดเวลาหนึ่ง...ในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่พยายามนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตน โซลโทก็นึกถึงบ่ายวันนั้นขึ้นมาได้ บ่ายสบาย ๆ ในร้านเอชาน ไม่มีงานการใดเป็นพิเศษ เรนาแวะมาเยือนตอนท่านชายอยู่ที่ร้าน ทั้งสองคนจึงคุยกันถึงโลกหลังตาย บอกว่าสามารถเขียนเรื่องราวน่าสนใจได้ไม่น้อยเลย
แม้ท่านชายเอลาซกับเรนาจะรสนิยมต่างกันพอสมควร แต่ทั้งสองล้วนชอบนิทานตำนาน ดังนั้นจึงมักคุยกันถึงเรื่องที่จะเขียน แน่นอนว่าเรื่องโลกหลังตายก็มีคนเขียนถึงไม่น้อยแล้ว เป็นแบบที่เทย์เรียกว่า "น้ำเน่า" แต่ทั้งเอลาซและเรนาล้วนชอบมาก เรื่องทำนองหญิงสาวตายแล้วชายหนุ่มลงไปตาม หรือชายหนุ่มตายแล้วหญิงสาวลงไปตาม ช่วยพากลับขึ้นมา ผ่านด่านอันน่ากลัวต่าง ๆ มากมาย ท้าทายจ้าวแห่งความตายและปีศาจบริวารทั้งหลาย ช่วงนั้นท่านชายยังอกหักไม่หาย มักเขียนถึงเรื่องรักรันทดบีบคั้นหัวใจ แต่เรนากลับสนใจเรื่องการผจญภัยมากกว่า ทั้งสองพูดถึงรายละเอียดของโลกหลังตาย แน่นอนไม่มีใครทราบหรอกว่าอันไหนจริงอันไหนไม่จริง ก็เพียงค้นคว้ามาเขียนเท่านั้นเอง
‘ทุกตำนานพูดตรงกันว่าคนที่ยังมีชีวิต หากฝ่าฟันลงไปโลกแห่งความตายได้ ก็จะมีสิทธิ์ท้าพนันกับจ้าวแห่งความตาย จ้าวแห่งความตายต้องรับพนันด้วย มันเป็นกฎเช่นนี้เอง’ ท่านชายตั้งข้อสังเกตขึ้น
‘เฮอะ’ เทย์ที่นั่งเบื่ออยู่ด้วยอดไม่ได้ ‘ขืนมีกฎน้ำเน่าเหมือนนิยายพรรค์นั้นจริง จ้าวแห่งความตายได้หัวปั่นปะไร ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้ใครของตัวเองตายทั้งนั้น มีหวังมีผู้ชายอุ้มพิณ ผู้หญิงถือขวาน ต่างคนต่างลงไปทวงคนรักลูกผัวตัวเองวุ่นวาย’
ที่จริงพ่อมดยังอุตส่าห์ขยายต่อไปด้วยว่าถ้าเขาเป็นจ้าวแห่งความตาย จะทำธุรกิจชั่วร้ายอย่างไรบ้าง แต่เนื่องจากความชั่วของชายหนุ่มมีมากเกินไป แถมแผนการยังลึกล้ำซับซ้อนยิ่งนัก โซลโทจึงไม่มีปัญญาจำได้ ตอนนั้นสิ่งที่เขาจำได้มีเพียงเรนาที่ย่นจมูกใส่พี่ชายผู้แผ่รังสีโฉดเป็นการใหญ่ ก่อนจะหันมาทางตน เธอบอกว่าไม่ว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้าเป็นเธอ รับรองจะต้องไปหาโซลโท
‘หือ’ ท่านเจ้าของร้านผู้ได้แต่ฟังชาวบ้านมาตลอดแปลกใจ
‘ถ้าทำอย่างตำนานได้ รับรองข้าจะไปช่วยโซลโท โซลโทต้องไม่เป็นไร’ เรนาหัวเราะ กอดคอเขาไว้ เป็นเหตุให้พี่ชายที่คนรักไม่ฟื้นมาหลายวันอิจฉาตาร้อนเกือบตาย
ยามคิดถึงเรื่องเหล่านั้น โซลโทก็นึกถึงความรู้สึกยามถูกกอดไว้ เขาปวดใจ ปวดใจยิ่งนักจนต้องก้มหน้าลง ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรนอกจากที่ทำอยู่แล้วได้ เขาก็ไม่อยากให้เรนาเป็นอะไร เขาอยากรีบไปช่วยเรนา
แต่แล้วชายหนุ่มก็ชะงักไป
...
นายทะเบียนรู้สึกได้ว่าเจ้าหนุ่มวิญญาณแตกคนนั้นเงียบไปแล้ว เขาแปลกใจ แต่ครั้นผ่านไปพักใหญ่โดยไม่มีความเคลื่อนไหว เจ้าหนุ่มเพียงนั่งเฉย ๆ เขาจึงไปดู ว่ากันตรง ๆ เขาก็สนใจมันมากกว่าวิญญาณทั่วไปอยู่บ้าง...สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแปลกประหลาดชนิดที่หลายหมื่นปีมานี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย
“โซลโท เป็นอย่างไรบ้าง” นายทะเบียนเรียกอยู่หน้าห้อง
เกิดความเงียบชั่ววินาที ก่อนที่เสียงเจ้าหนุ่มจะดังมา
“ท่านลุงขอรับ ที่จริงข้าตายหรือยัง”
"หือ" อีกฝ่ายแปลกใจ
“ที่จริงข้าตายหรือยัง ท่านว่าข้าตายแล้ว แต่ตอนที่บอกท่านวิดา ท่านกลับว่าข้ายังไม่ตาย”
คนอื่น ๆ ในโลกแห่งนี้อาจจะโกหกได้ เช่นคนแจวเรือนั้นโกหกรังแกพวกวิญญาณอยู่บ่อย ๆ แต่ทั้งนายทะเบียนและจ้าวแห่งความตายล้วนต้องสาบานว่าจะไม่กล่าววาจาเท็จ นี่เป็นข้อบังคับสำคัญที่พวกเขาต้องรักษาอย่างเคร่งครัดเสมอมา หากจ้าวแห่งความตายหรือนายทะเบียนสามารถกล่าวเท็จได้ โลกแห่งความตายก็คงล่มสลายในไม่ช้าอย่างแน่นอน
"ว่ากันตามทฤษฏี..." เขาเอ่ยในที่สุด "ที่จริงเจ้าควรตายแล้ว แต่เพราะมีคนต่อชีวิต เทียนไขที่ควรสั้นของเจ้าจึงกลับยาว อีกประการหนึ่ง แม้วิญญาณจากร่างมา แต่ร่างกายยังหายใจ ตราบใดร่างกายยังหายใจ ไม่อาจถือว่าตายได้ เปลวไฟของเทียนไขจึงยังติดแรง หากยึดถือกฎจักรวาลว่าตราบใดที่เทียนชีวิตยังติดอยู่ หมายความว่าไม่ตาย เจ้าก็ควรถือได้ว่ายังมีชีวิตกระมัง"
"เช่นนั้น" โซลโทพูดเสียงต่ำ...เกือบจะเหมือนเจวานยามตัดสินใจ "ข้าขอท้าจ้าวแห่งความตาย ไถ่วิญญาณของตัวเองคืน"
ไกลออกไป มีเสียงคล้ายฟ้าผ่าดังเปรี้ยงแรง
จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
เขียนเมื่อ |
:
6 มี.ค. 54 21:17:43
|
|
|
|