Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Beer, Cigarette, Black Coffee and Bitter Chocolate : ตอนที่ 2 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 1 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10273168/W10273168.html



------------------------------------------------------------------------


CIGARETTE



(1)


แทนที่เธอจะโกรธ เธอกลับหัวเราะออกมาได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เราพบกัน  

“ขอบใจ... พูดแบบนี้ค่อยสมเป็นแกหน่อย”

แต่ไม่นานนัก อารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปอีกขั้วหนึ่ง หลังเสียงหัวเราะนั้นจางหายไป

มีคนบอกว่า เหล้าคือน้ำเปลี่ยนนิสัย...  แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ที่คนเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น นั่นเพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาทต่างหาก

ฤทธิ์ของมันไปกดสติที่เคยมีเอาไว้ แล้วปลดปล่อยให้ความรู้สึกที่เคยถูกสติเหนี่ยวรั้งเอาไว้ออกมาภายนอก ทำให้บางคนกล้าพูดในสิ่งที่ไม่เคยพูด กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ

อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ทำให้ลืมเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้เลย

ผมดื่มจนเมาตอนอกหัก พอสร่างเมา ผมก็ยังอกหักอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ได้ระบายอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผมไม่กล้าพูดออกมาในเวลายังมีสติอยู่... ถึงผมจะเป็นพวกปากตรงกับใจ และพูดจาขวานผ่าซากจนเกินไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะสามารถพูดทุกอย่างออกมาตามที่ใจคิดได้

สำหรับคนที่อยู่ข้างผมในตอนนี้ คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้… เท่าที่ผมรู้ เธอไม่เคยดื่มให้ใครเห็น กลับคอยปรามไม่ให้พวกผมดื่มเหล้าแบบหัวราน้ำด้วยซ้ำไป

“ฉันเป็นแบบไหนก็ช่างเถอะ” ผมว่า “ตอนนี้แกจะเล่าเรื่องที่ทำให้แกคิดว่าตัวเองโง่ให้ฉันฟังได้หรือยัง”

จบคำถามของผม เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหันหน้ามาทางผมด้วยสีหน้าจริงจัง

“ถ้าฉันบอกแกว่า ที่ฉันออกมาเป็นฟรีแลนซ์แล้วยังสามารถดีลงานกับลูกค้าได้สบายมาก แถมยังดียิ่งกว่าตอนเป็นลูกจ้างเขาซะอีก เพราะฉันยัดเงินใต้โต๊ะผู้ช่วยผู้จัดการให้ช่วยล็อบบี้ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อให้ดีลกับฉัน ยอมนอนกับมันตอบแทนที่มันช่วยให้ดีลของฉันสำเร็จ แต่ที่มีปัญหาจนฉันต้องหนีมาถึงนี่ บอกใครก็ไม่ได้ เพราะไอ้ผู้ช่วยผู้จัดการนั่น มันขู่จะแบล็คเมล์ฉันที่พยายามตีตัวออกห่างจากมัน แกจะเชื่อฉันไหม”

สิ่งที่เธอถามทำให้ผมอึ้ง... สมองผมคิดไปถึงเรื่องที่ว่าเหล้าทำให้คนกล้าพูดในสิ่งที่ไม่กล้าพูด หากใจผมบอกว่า ‘ไม่เชื่อ’ แต่ปากกลับไม่ขยับตอบเธอออกไปเอาดื้อ ๆ

ปฏิกิริยาของผมทำให้เธอเหยียดยิ้มออกมา แล้วเบือนหน้าหนีผมไปทางอื่น

“ถ้าแกอยากให้ฉันตอบแบบไม่ต้องคิด แกต้องถามฉันก่อนว่า ถ้ามีข่าวมาว่า แกดีลงานได้เพราะยัดเงินใต้โต๊ะ แถมนอนกับผู้ช่วยผู้จัดการเพื่อให้เขาไปล็อบบี้ให้ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรับดีลแก ฉันจะเชื่อแกหรือเชื่อข่าว”

เธอหันกลับมาหาผม “ถ้าฉันถามแบบนั้น แกจะตอบว่าอะไร”

“ฉันเชื่อแกมากกว่าข่าว” ผมบอก

“แล้วทำไมฉันต้องถามคำถามของแกก่อนถามคำถามของฉัน” เธอขมวดคิ้วเหมือนเริ่มหงุดหงิดใจที่ได้คำตอบยอกย้อน กวนโมโหเธอเต็มประดา “แล้วถ้าแกตอบคำถามฉันว่า ไม่เชื่อ มันจะต่างกันตรงไหน”

“ถ้าแกแปลไม่ออก ฉันจะบอกให้” ผมสบตาเธอ “ระหว่างคำพูดของแกกับคำพูดของคนอื่นที่พูดถึงแก ฉันเชื่อแก... แกยังต้องให้ฉันพูดต่ออีกไหมว่า ถ้าแกถามฉันว่า ฉันเชื่อคำพูดของแกหรือเปล่า ฉันจะตอบแกว่าไง”

คำตอบของผมทำให้เธอเป็นฝ่ายที่ต้องอึ้งไปบ้าง สายตาที่มองกลับมาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

“แกหมายความว่า ต่อให้ฉันบอกว่า ฉันเล่นใต้โต๊ะกับเอาตัวเข้าแลก แกก็พร้อมจะเชื่อฉันงั้นเหรอ”

ผมรู้ว่าเธออยากได้ยินคำว่า ‘ไม่’ จากปากของผม แต่ผมกลับให้ในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่เธออยากฟัง

“ใช่” ผมบอก “แล้วถ้าแกเปลี่ยนคำถามเป็น ฉันจะเชื่อแกไหมว่า แกไม่ได้เป็นคนอย่างที่ว่ามา คำตอบของฉันก็ยังเป็นคำว่า ‘ฉันเชื่อแก’ เหมือนเดิม”

“แต่คำว่าแกเชื่อฉัน สำหรับคำตอบแต่ละอันมันไม่เหมือนกัน” เธอแย้ง “ถ้าฉันบอกว่าตัวเองเลว แกก็พร้อมจะเชื่อว่า ฉันเลวตามที่พูด ถ้าฉันบอกว่าตัวเองดี แกก็พร้อมจะเชื่อว่าฉันดี... แล้วถ้าฉันโกหกแกล่ะ”

“ถ้าแกโกหก ก็เป็นฉันที่โง่เชื่อใจแกไงล่ะ” ผมถอนใจหนัก ๆ “นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาทดลองใจกันนะ”

มีความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเธอเอ่ยขึ้น “คำตอบว่าแกเชื่อฉัน มันเหมือนกันก็จริง แต่ผลระหว่าง แกเชื่อว่าฉันเลวจริง กับ แกเชื่อว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเลว ๆ มันต่างกัน”

“ต่างตรงไหน แกจะดีหรือเลว แกก็ยังเป็นเพื่อนฉันเหมือนเดิม” ผมตอบ “ยกเว้นว่าตลอดเวลาที่แกเรียกฉันเป็นเพื่อน แกไม่เคยเห็นฉันเป็นเพื่อนอย่างที่ปากพูด แต่นั่นก็ถือเป็นความโง่ของฉันอีกเหมือนกันที่มองแกผิด”

“แล้วผลระหว่างการกระทำสองอย่างล่ะ ต่างกันหรือเปล่า”

“ต่าง”

“ถ้าฉันไม่ได้ทำอย่างที่ฉันถามแกตอนแรก”

“ฉันอยู่ข้างแก แล้วก็จะช่วยแกจนถึงที่สุด เท่าที่ฉันจะช่วยได้”

“แล้วถ้าฉันทำ...”

“ฉันจะสมน้ำหน้าแกก่อนที่ไม่รู้จักคิด หาเรื่องใส่ตัว เล่นทางลัด ไม่แคร์ศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่ได้คิดถึงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต เอาคนอื่นเป็นสะพานไต่ พอตกสะพานเพราะความประมาทของตัวเองก็มาร้องให้คนอื่นช่วย งัดเอาขี้เลื่อยในหัวออก ให้สมองแกทำงานเป็นปกติได้ก่อน แล้วค่อยหาทางช่วยเท่าที่ฉันจะช่วยได้”

ถึงจะบอกแบบนั้น แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ผมหรือคนที่โตด้วยการวิ่งเต้นโง่กว่ากัน  เพราะผมยังขวางโลกอยู่ที่เดิม ในขณะที่คนอื่นวิ่งข้ามหัว แซงหน้าผมไปเรื่อย ๆ

“แกหลอกด่าฉันอยู่หรือเปล่าวะ” เธอขมวดคิ้ว

“ถ้าแกทำจริง ฉันก็ด่าแกเต็ม ๆ โดยเจตนา ไม่มีพยายามหลอกด่าเลยว่ะ ถ้าไม่จริง แกก็ไม่ต้องร้อนตัว”

“แต่มันไม่ได้ต่างกันเลย” เธอแย้ง แต่ขณะเดียวกันก็ยิ้ม “สุดท้าย แกก็ยังช่วยฉันอยู่ดี”

“ใช่ เพราะฉะนั้น แกต้องบอกความจริงมาให้หมด” ผมว่า “อย่าให้ฉันจับได้ทีหลังว่า แกโกหก ถ้ารู้ละก็ แกเจอหนักยิ่งกว่าถูกด่าแน่”

เธอกระเถิบเข้ามาใกล้จนไหล่เราชิดกัน “ที่ว่าหนักกว่าด่า แกคิดจะทำอะไรฉัน”

ถ้าเป็นพระเอกละครหลังข่าว ก็คงดึงเธอมาจูบหรือจับกดแบบไม่มีเหตุผล ไม่เลือกเวลาและสถานที่ แต่เผอิญว่าผมไม่ใช่พระเอก แถมยังเป็นไอ้วายร้ายในสายตาใครหลายคนอยู่แล้ว เลยไม่มีสิทธิพิเศษอะไร  

ถึงจะมองไม่เห็นตัวเอง ผมก็คิดว่าสายตาที่ผมมองเธอกลับไปคงดูเจ้าเล่ห์พอตัว เพราะทำให้เธอขยับห่างออกไปโดยอัตโนมัติ

ผมยิ้มมุมปาก...

“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้คิด”




(มีต่อนะคะ)

จากคุณ : ปิยะรักษ์
เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 54 01:53:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com