เสียงตวาดแหวที่ยังไม่ทันจะจบประโยคดีนัก พลันกลายเป็นกรี๊ดเสียงหลงพร้อมกระโจนลงนอนฟุบหน้ากับพื้นตัวสั่นงันงก เมื่อลูกกระสุนแล่นใส่กองเพลิงจนเกิดประกายเปรี๊ยะประ
นัดต่อไป..จะเป็นที่หัว หรือจะจับกรอกปากดีนะ
ใบหน้าเผือดซีดของหญิงสาวเงยขึ้นเบิกกว้างมองสบรอยยิ้มเหี้ยมเพียงครู่ก็ขนลุกซู่ รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งแนบออกจากบ้านไปโดยไม่เหลียวกลับมามองใครทั้งสิ้น แม้แต่วรพลที่ยืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางค่อยๆขยับถอยห่างจากลูกชายที่ตวัดสายตาเย็นเยือกกลับมามอง
ป๊าจะทำอะไรผมไม่ว่า แต่อย่าพาผู้หญิงเข้าบ้าน..ไม่งั้นจะส่งไปทำปุ๋ยให้หมด แล้วก็คืนปืนให้ผู้ติดตาม ก่อนหันเดินเข้าบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากนั้น..เขาก็ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนเข้าบ้านอีกเลย พร้อมๆกับตระหนักแล้วว่า..บัดนี้ ความอำมหิตของเจ้าสัวอานนท์ได้ตกทอดมาถึงลูกชายของเขาอย่างเต็มตัวแล้ว เพียงแต่ที่เจ้าสัวไม่สามารถทำอะไรเขาได้ นั่นเป็นเพราะว่า มีอารดาเป็นเกราะป้องกันชั้นดี..แต่ถึงอย่างไร การอยู่ให้ห่างจากบุคคลอันตรายทั้งสองนี้จึงเป็นการดีที่สุด
และนับจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกก็ยิ่งห่างเหินจนแทบกลายคนแปลกหน้า จนถึงวันที่เขาโบยบินสู่ความอิสระโดยไม่มีอารดามาคอยวนเวียนให้รำคาญ..แต่ทว่า เวลาผ่านไป เขาต้องเผชิญหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อนฝูงที่เคยร่วมสังสรรค์เฮฮาแบบถึงไหนถึงกันก็เริ่มถดถอย เมื่อเริ่มมีครอบครัวกันอย่างจริงจัง ในขณะที่เขายังคงล่องลอยเหมือนเดิม ความเหงาเหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่างเริ่มแทรกเข้ามา แม้ว่าจะสับเปลี่ยนผู้หญิงมากหน้าหลายตาหรือโหมทำงาน แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปได้
จนกระทั่งวันนี้ที่ได้กลับมาเจอหน้าลูกชาย..ความรู้สึกผิดในส่วนลึกก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง และอยากจะขอโทษในทุกๆเรื่องที่ผ่านมา แต่ก็กระดากเกินกว่าจะเอ่ยออกไป สิ่งที่ทำได้ขณะนี้ก็เพียงแค่ ก้มหน้ารับผลของการกระทำในสิ่งที่ก่อไว้เท่านั้น
ผมต้องกลับแล้ว..รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
ขอบใจ วรพลพึมพำแค่พอได้ยิน แต่ก่อนที่ร่างของลูกจะเดินผ่านไปเคาะประตูเรียกผู้คุม เขาก็หันไปถามอีกประโยคที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวัง
แล้วจะมาเยี่ยมป๊าอีกเมื่อไหร่
อชิระเพียงแค่ชำเลืองมาด้านหลัง แต่ก็ตอบคำถามนั้นพร้อมๆกับที่ผู้คุมเปิดประตูเข้ามา ผมจะไม่มาอีก.. และก้าวเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
วรพลได้แต่มองตามน้ำตาคลอ ร่างกายแทบสิ้นเรี่ยวแรง เพิ่งรับรู้ถึงความโดดเดี่ยวเดียวดายจากการถูกทอดทิ้งจริงๆ ก็คราวนี้เอง
ศราก้าวเดินเคียงข้างพี่ชายที่เดินหน้าเคร่งขรึมออกมาจากห้อง โดยไม่ปริปากพูดอะไรเลย จนกระทั่งเกือบถึงลานจอดรถยนต์ เขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียเองอย่างฮึดฮัด ฮึ่ม! นึกถึงหน้าไอ้ผู้กองนั่นทีไร อยากตั้นหน้ามันทุกที
อชิระชำเลืองสายตามอง รออีกสิบปีก็ยังไม่สาย
ถ้าต้องรอขนาดนั้น สู้ผมกลับไปกระทืบมันตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า
พูดจบก็ถูกฝ่ามือหนักๆตบเข้าเต็มท้ายทอย ไอ้ลูกหมา..ถ้าถูกจับเข้าไปกินถั่วดำในซังเตเมื่อไหร่ อั๊วไม่ช่วยนะเว้ย
ผู้อ่อนวัยกว่าคลำหัวตัวเองป้อยๆ หูย เฮีย..อั๊วไม่ชอบกินถั่วดำนะ
งั้นก็อย่าแส่หาเรื่อง อชิระว่ายิ้มๆ ก่อนเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือจะดังขึ้น จากมารดาที่ต้องการความคืบหน้า
เป็นไงบ้าง..เรื่องของป๊าเรียบร้อยใช่มั้ย น้ำเสียงนั้นเปี่ยมด้วยความหวัง
อั๊วกำลังเดินเรื่องอยู่..ม่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ
..แล้วไปเยี่ยมป๊ารึยัง
ไปมาแล้วครับ
เหรอ แล้วป๊าเป็นไงบ้าง
เขาสบายดี
งั้นพาอั๊วไปเยี่ยมป๊ามั่งสิ..นะ
ชายหนุ่มหนักใจอีกครั้งในคำร้องขอ เพราะไม่อยากให้มารดานำผู้ชายคนนั้นเข้ามาพัวพันในชีวิตอีก แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มารดาไม่เคยตัดใจจากบิดาของเขาได้เสียที ..แล้ววันหลัง..อั๊วจะพาไป
ขอบใจนะ..
อารดาวางสายไปแล้ว ทิ้งความกลัดกลุ้มไว้ให้ลูกชายโดยไม่รู้ตัว อชิระซุกมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋ากางเกง ถอนหายใจยาวกับสายลมที่พัดแผ่วผ่าน ก่อนตัดใจก้าวขาอย่างมั่นคงเดินไปขึ้นรถที่น้องชายเปิดประตูให้
ไม่ว่าอย่างไร..ป๊าจะไม่มีวันได้กลับมาทำร้ายจิตใจของม่าได้อีกเด็ดขาด !
จากคุณ |
:
ระรินใจ
|
เขียนเมื่อ |
:
7 มี.ค. 54 12:28:29
|
|
|
|