บรรพที่ 1
เพียงก้าวแรกที่ อคิล ชลันธีร์ ก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น ก็สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติในห้อง
บิดาของเขาพลเอกภัณฑิล ยืนหน้าบึ้งอยู่กลางโถง สองมือก็กำแน่น ท่าทางอัดอั้นตันใจ
จวนเจียนจะระเบิดอยู่มะรอมระร่อแล้ว อคิลกวาดสายตาผ่านบิดาไปที่เก้าอี้พนักสูงทรงหลุยส์
ที่สั่งตรงมาจากต่างประเทศ ก็พบเห็น ตัวต้นเหตุ นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงนั้น
แสงแดดอันอ่อนจางสาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ในขณะที่คนบนเก้าอี้ผินใบหน้ามาทางเขา
แม้จะเป็นภาพย้อนแสงทำให้เห็นใบหน้านั้นไม่ชัดเจน แต่ด้วยท่วงท่า..ที่ชวนให้ครั่นเนื้อครั่นตัว
แบบนี้เห็นจะมีคนเดียวเท่านั้น
ภามิน! กลับมาทำไม? ใช่แล้ว...ภามิน บุตรชายคนเล็กของตระกูลชลันธีร์ น้องชายคนเดียว
ของเขานั่นเอง ไม่มีใครอีกแล้วจะทำให้บิดาผู้แข็งแกร่งมีสีหน้าอึดอัดได้ถึงนี้
หวัดดี พี่ชาย อะไรกันคำแรกที่ทักทายของนายคือคำถามห้วนๆ แบบนี้นี่นะ?
เจ้าของใบหน้างดงามคลี่ยิ้มหวาน พร้อมทั้งยืนขึ้นเต็มความสูง
ภามินต่างจากเขานัก ทั้งรูปร่างหน้าตาและความคิด ในขณะที่เขาได้ลักษณะคมเข้ม
ท่าทางห้าวหาญอย่างทหารสืบต่อมาจากบิดา ส่วนภามินนั้นได้รับดวงหน้างามปานปั้นสรร
จากมารดา สีผมสีตาก็พลอยดูอ่อนไปเสียหมด ผิดกับชาววิปุลาทั่วไป หากคนไม่คุ้นเคย
คงยากที่จะทราบว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
ลูกควรจะอยู่ที่อเมริกาไม่ใช่เหรอ? หรือว่าทางมหาวิทยาลัย มีวันหยุดพิเศษเลยบินกลับมา
อย่างนั้นใช่ไหม? อคิลเหลือบมองบิดาเล็กน้อย แม้ไม่ต้องสังเกตก็พอจะรู้ว่า บิดาข่มใจ
เป็นอย่างมากและเลือกเอาคำถามที่ดูถนอมน้ำใจมาใช้กับบุตรชายคนเล็กอย่างที่สุดแล้ว
เปล่าฮะ ไม่ได้เป็นฮอลิเดย์อะไรหรอก
คนถูกถามทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับสีหน้าของคนถาม บิดาของเขาขยับปากจะถามต่อ คิ้วเข้มนั่น
ยิ่งขมวดปมมากขึ้น แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนก็ชิงตอบมาเสียก่อน
คือผมขี้เกียจเรียนแล้วน่ะ เบื่อ ไม่รู้จะเรียนอะไรนักหนา นี่ก็จบโทไปแล้ว...ยังต้องทำเอกต่อ
อีกเหรอ ไม่ทำได้ไหม? ยังไงบ้านเราก็รวยอยู่แล้ว ถึงผมไม่เรียนเอกต่อ ก็คงไม่เดือดร้อน
หรอกมั้ง หากว่าน้องชายของอคิลอายุสิบสามไม่ใช่ยี่สิบสามแบบที่เป็นอยู่ แล้วเอ่ยออกมา
แบบนี้บิดาคงทำใจได้มากกว่า
ภามิน! MIT ไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่ใครจะเข้าไปเรียนง่ายๆ นะ แล้วลูกบอกว่าจะเลิกเรียน
กลางคันอย่างนี้น่ะรึ? เสียงของพลเอกภัณฑิลดังขึ้นเรื่อยๆ จนอคิลเริ่มเป็นห่วง
เขามองน้องชายกับบิดาสลับกันแล้วตรองอย่างสุดกำลัง...จะห่วงใครดีล่ะ ?
เจ้าน้องชายตัวดีกำลังทำตาปริบๆ ชวนให้สงสาร แต่เขาและบิดาสงสารไม่ลง หลายๆ ครั้ง
เขาก็ไม่เข้าใจเหตุผลของภามิน เนื่องจากน้องชายตัวแสบไม่ใช่คนอธิบายเก่ง
แล้วสิ่งที่เลือกมาบอกกล่าว กลับกลายเป็นเรื่องที่ฟังแล้วต้องทวนคำถามซ้ำ เพราะไม่น่าจะ
ใช้เป็นเหตุผลให้ผู้ฟังยอมรับได้เลย เพียงแต่ที่ผ่านมาบิดา อคิลเอง และคนรอบๆ ตัว
พากันปลงมานานแล้ว ตั้งแต่นายแพทย์ผู้ชำนาญด้านพัฒนาการของเด็ก บอกกับ
ครอบครัวเขาตอนที่ภามินยังเป็นเด็กเล็กนักว่า ภามินคิดเร็วกว่าสิ่งที่ตนเองกำลังพูด
ดังนั้นเขาจึงพูดในสิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับความคิด เป็นเหตุให้การสื่อสารติดขัดบ้าง
ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ถามค่อยๆ พูด ฝึกฝนเรื่องการสื่อสารกันไป
แต่มันก็ผ่านมาเนิ่นนานนัก อคิลยอมรับว่าน้องเป็นอัจฉริยะอย่างที่หมอบอก ด้านการเรียนนั้น
ภามินพัฒนาก้าวกระโดด เขาจดจำตำราเรียนยากๆ ได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว และไม่จำเป็
นต้องอ่านซ้ำอีก มันเป็นความน่าชื่นชมนักแต่หาใช่ความยินดีของครอบครัวไม่
หากความอัจฉริยะนี้นำมาซึ่งปัญหาบุคลิกภาพ ภามินไม่สามารถเรียนร่วมกับเด็กวัยเดียวกันได้
ก่อนอายุสิบปีบิดาของเขาต้องจ้างครูผู้มากประสบการณ์ และใจเย็นพอที่สอนเด็กพิเศษ
เช่นนี้ได้มาสอนที่บ้าน
พอถึงช่วงที่ภามินในวัยสิบเอ็ดปีต้องเข้าโรงเรียนจริงๆ นั้นก็กลายเป็นมัธยมต้นแทนประถม
ความจริงแล้วเด็กชายภามินสามารถเรียนชั้นมัธยมปลายได้จากการวัดระดับการศึกษา
ทว่าบิดาไม่ต้องการให้บุตรชายเรียนเร็วกกว่าวัย ด้วยเกรงว่าขาดสังคมเพื่อนวัยเดียวกัน
ภามินจึงเรียนมัธยมต้นตามเกณฑ์ และไม่ต้องใช้ความตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียนนัก
ก็เรียนจบได้เกรดเฉลี่ยสูงสุดเท่าที่โรงเรียนกำหนด อคิลเสียอีกที่ต้องคอยเตือนให้ภามิน
พูดซ้ำใหม่หากคนฟังยังไม่เข้าใจ คอยยั้งไม่ให้น้องใช้สมองอันปราดเปรื่องคิดเร็วเกินไป
อีกด้วย ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเขานี่เองที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างภามิน
และคนอื่นๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งบิดา
แต่น้องชายเจ้าปัญหาคนนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมายอย่างที่กังวลกัน เขามีเพื่อน
เมื่อเข้าโรงเรียน แม้สังคมจะน้อยไปสักนิด แต่ก็ไม่ได้ขาดกิจกรรมใดที่เด็กวัยรุ่นควรจะมี
และยังจัดการวางแผนการเรียนของตนเองได้ดีอีกด้วย จนปีที่สองชั้นมัธยมปลาย
อยู่ๆ ภามินก็มาบอกบิดาว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศ เมื่อแรกพลเอกภัณฑิลเข้าใจว่า
นั่นเป็นความปรารถนาของบุตรชาย และต้องการให้บิดาช่วยจัดการให้ แต่กลายเป็นว่า
ภามินจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองไปเรียบร้อยแล้ว เขาสอบชิงทุนไปและจัดหมาย
กำหนดการไว้หมดแล้ว เหลือเพียงแต่ให้ผู้ปกครองเซ็นอนุญาตเท่านั้น
ตอนนั้นเองโรคขี้กังวลของพลเอกภัณฑิลดูเหมือนจะกำเริบหนัก ในขณะที่อคิลกลับคิดว่า
น้องชายของเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรอย่างที่บิดากังวลนักหนา ภามินก็แค่...พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
เลยขี้เกียจพูด ทำเสียเลยดีกว่าก็เท่านั้น เมื่อคิดได้ดังนี้เขาก็จัดการเกลี้ยกล่อมบิดาให้
น้องชายไปเรียนต่างประเทศจนได้ ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี ไม่มีสิ่งเลวร้ายที่พลเอกภัณฑิล
กังวลเกิดขึ้น เว้นแต่...ภามินโทรศัพท์ทางไกลกลับมาหาพี่ชาย ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก
อคิล...เบื่อ เขาพูดแค่นั้นแล้วนิ่งไป รอให้อีกฝ่ายถาม?
เบื่ออะไร?
ปอปอ น้องชายยังคงเรียกบิดาด้วยภาษาของชาววิปุลาเช่นเดิม
ปอปอทำอะไร? อคิลชินเสียแล้วกับการเล่นเกมถามตอบระหว่างเขากับภามิน
ปอปอโทรมา
ก็ดีแล้วนี่ เขาเป็นห่วงนาย
แต่เขาโทรมาทุกวัน...แล้วพูดอยู่ได้
พูดว่าไง?
เป็นไงมั่งลูก ต้องมีเพื่อนนะ คุยเยอะๆนะ
ก็เขาเป็นห่วงนาย
เขาโทรมาวันละสองครั้ง เวลาเดิมเป๊ะแล้ว พูดอยู่อยู่แค่ 3 ท่อนนั้นแหละ วนซ้ำไปซ้ำมา
เหมือนเปิดเครื่องอัดไว้...ฉันหลอน เข้าใจไหม? อคิลไม่ได้ตอบเพราะมัวแต่หัวเราะ