แทนใจคือไหล่
“...ไหล่กับหัวใจน่ะ...อยู่ใกล้กันนะ”
“อืม...แล้วยังไง”
“แล้ว...” คนพูดนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจยาว “แล้วแกก็ต้องสัมผัสถึงหัวใจเขาบ้างสิ”
คนฟังเลิกคิ้วมองอย่างงุนงง แต่เพียงครู่เดียวใบหน้าขาวนวลก็ขึ้นสีเรื่อจาง หญิงสาวหลุบตาลงหันไปมองหน้าต่างกระจกข้างตัว ทอดสายตาออกไปยังพื้นด้านนอกที่โรยด้วยหิมะเป็นพรมขาว
“ไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอกนะที่หวงตัว ผู้ชายเองก็มีขอบเขตที่ไม่ควรแตะเหมือนกัน ยิ่งผู้ชายอย่างเขา...” เขาเว้นช่วงไว้ ไม่ยอมพูด รอจนคนฟังหันกลับมามองสบตา เขาจึงยอมพูดต่อ “ถ้าไม่รัก ถ้าไม่ห่วง...เขาไม่มีไหล่ให้แกซบหรอก”
หญิงสาวนั่งนิ่ง ทอดสายตากลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง แต่คราวนี้ภาพที่เห็นไม่ใช่พรมหิมะสีขาว แต่เป็นภาพเหตุการณ์ที่เธอเพิ่งเล่าให้พี่ชายฟัง เหตุการณ์ที่เธอคิดว่าเป็นเรื่องปกติสามัญ แต่กลับแทรกไว้ด้วยไอจาง ๆ ของความละมุนที่พิเศษกว่าปกติ
โลกสับสนและมัวซัว เหมือนฝนตกอยู่ในหัวใจ เมื่อวันที่ความรู้สึกแย่ถาโถมเข้ามา ผู้หญิงที่เคยเข้มแข็งจนใครหลายคนชื่นชมก็กลายเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ ที่แสนเปราะบาง ร่างสูงเพรียวที่เคยยืดหลังตรงอย่างมั่นคงและก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามจนคนเหลียวหลังตาม เวลานี้กำลังขดตัวห่อไหล่อยู่บนขั้นบนสุดของบันไดเตี้ย ๆ เอนตัวซุกหน้าลงกับแขนที่แนบติดผนังอาคาร ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านราวลูกนกที่กำลังหวาดกลัวไร้ที่พึ่ง ลมหนาวพัดผ่านมาราวจะซ้ำเติมทำให้เธอต้องห่อตัวมากขึ้น
แต่น่าแปลกที่สายลมที่พัดเอาไอเย็นมานั้น ไม่ได้พัดเอาหยาดน้ำตาให้จากไป
เธอหลับตาแน่น พยายามกลั้นน้ำตาและซ่อนหน้าไว้จากโลก กลัวแสนกลัวว่าจะมีใครผ่านมาเห็นความอ่อนแอ ริมฝีปากบางเม้มแน่น ขบฟั้นกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ในอก
ไม่มีเสียงสะอื้นและหยาดน้ำตาให้ใครเห็น เพราะทั้งสองสิ่งไม่มีประโยชน์ใด เธอไม่สามารถสะอื้นขอความเห็นใจหรือคำปลอบโยนจากใคร เช่นเดียวกับที่ไม่สามารถให้ใครเห็นแม้หยาดน้ำตา
“...เพราะแกนั่นละ...นังแม่มด” คำนั้นยังติดอยู่ในหู เหมือนมีดที่ปักอยู่บนอก
หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดออกเมื่อคำที่ไม่อยากได้ยินเวียนเข้ามาในหัวอีกครั้ง
ไม่ใช่คำที่ชวนให้เจ็บปวดหรือทรมานได้มากมายขนาดนี้เลย หากคำนั้นไม่ได้ออกมาจากปากของคนที่เธอรักอย่างยิ่ง
หญิงสาวเบียดตัวเข้ากับผนังที่พิงอยู่ ทำเหมือนจะแทรกตัวเข้าไปในนั้นเสียให้ได้ มือกำแน่นจนปลายเล็บจิกเข้ามาในเนื้อ แต่ความรู้สึกเจ็บที่ใจมากกว่าที่มือ
“กล้าดียังไง...เขากล้าดียังไง” เธอกระซิบคำเบา ๆ กับตัวเองเมื่อยกมือขึ้นทุบผนังเต็มแรง
ไม่มีแล้วพี่ชายเพียงคนเดียวที่เธอรักที่สุด พี่ชายที่เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้น้องน้อยคนนี้ก้าวเดินไปข้างหน้า
เธอแค่นหัวเราะเบา ๆ คล้ายจะเสียสติไปแล้ว ในใจยังมีแค่คำต่อว่าของพี่ชายผู้เป็นที่รัก พี่ชายที่เคยรักเธอมากที่สุด แต่เวลานี้ความรักของเขาไม่ใช่ของเธออีกต่อไปแล้ว
ใช่...ตั้งแต่วันที่ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามา เขาก็ไม่ใช่พี่ชายที่รักเธอเพียงคนเดียวอีกต่อไป
“นั่งแม่มด...พระเจ้า เขาพูดคำนั้นออกมาได้ยังไง” เธอเบียดตัวเข้ากับผนัง เม้มริมฝีปากแน่นอย่างทรมาน
เธออยากถามนักว่าใครกันแน่ที่เป็นนางแม่มด น้องสาวอย่างเธอ หรือว่าผู้หญิงงี่เง่าที่วัน ๆ ไม่เคยทำอะไรนอกจากออดอ้อนฉอเลาะคอยให้เขามาดูแล แล้วยังมีหน้าเร่ไปหาผู้ชายอื่น แล้วมาทำอ่อนแอเป็นนางเอกในนิยายเมื่อถูกเธอจับผิดได้คาหนังคาเขา
เหอะ...ที่งี่เง่ากว่าคงเป็นพี่ชายของเธอนั่นละ พี่ชายที่เชื่อผู้หญิงแพศยามากกว่าน้องสาวของตัวเอง
พี่ชายที่รู้จักเธอดีที่สุด กลับเชื่อว่าเธอผลักผู้หญิงคนนั้นตกจากบันได
เขาโง่หรือเขาบ้ากันแน่ ทั้งที่ใคร ๆ ก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นพยายามจะผลักเธอแท้ ๆ
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น เสี้ยวหนึ่งของสติเริ่มกลับมา เธอจึงรู้สึกรสชาติของเลือดที่เคลือบอยู่ และเริ่มรู้สึกถึงใครบางคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าสวยที่ตอนนี้เปรอเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาจึงหันไปมอง
ไม่ใช่พี่ชาย...ไม่ใช่คนคนเดียวที่เธอจะร้องไห้ด้วยและเขาจะเช็ดน้ำตาให้เธอได้ แต่เป็นเพื่อน เพื่อนรักที่ทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็ก
เพื่อนที่จะเป็นคนสุดท้ายที่เธอยอมให้เห็นความอ่อนแอ
แต่เวลานี้เขากลับเป็นคนเดียวที่ได้เห็นเธอ ในเวลาที่อ่อนแออย่างที่สุด
“ดีขึ้นไหม...” เขาเอ่ยถามเรียบ ๆ ไม่มีคำล้อเลียน หรือยั่วเย้า ในแววตาไม่มีร่องรอยของความประหลาดใจ
“มาทำไม” เธอเพิ่งรู้ว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากเหลือเกินเพื่อจะเค้นเสียงออกมา
เขาไหวไหล่เบา ๆ “ไม่ทำไม...แค่จะมาอยู่ข้าง ๆ เธอ” แล้วเขาก็ส่งห่อกระดาษเช็ดหน้ามาให้ ปล่อยให้เธอดึงกระดาษมาเช็ดหน้าเช็ดตาจนเรียบร้อย แต่ที่แปลกคือเช็ดแล้วเช็ดอีก น้ำตาก็ยังไม่แห้งลงเลย
หยาดน้ำยังคงไหลออกมาจากหัวตาราวก๊อกรั่ว เธอไม่ได้อยากร้องไห้อีก ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ แต่น้ำตาก็ยังไหลออกมา
“ขอบใจ...” เธอกระซิบเบา ๆ แม้ว่าน้ำตายังไม่หยุดไหล และใช้กระดาษที่เขาให้มาไปแทบหมดห่อแล้ว
เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากหันมามองหน้าเธอแล้วพยักหน้ารับคำนั้นอย่างเงียบงัน
นานเท่าไรไม่รู้ แต่ฟ้าเริ่มมืดลง มืดจนมืดสนิท เขานั่งอยู่ข้างเธอเงียบ ๆ ไม่มีคำพูด ไม่มีคำถาม ไม่มีอะไรเลยนอกจากร่างที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างสงบราวจะยืนยันคำที่บอกว่าเขาแค่จะมาอยู่ข้าง ๆ เธอ
น้ำตาหยุดแล้ว หยุดลงพร้อมอาการสะอื้นของเธอนั่นละ แต่สิ่งที่เหลือทิ้งไว้คือความเหนื่อยล้าทั้งตัวและดวงตา เธอหลับตาลงเบา ๆ เมื่อสัมผัสถึงความรู้สึกเจ็บและคันรอบดวงตา คงเพราะร้องไห้มากไป โหนกแก้มเริ่มจะปวดตึง กระดูกกรามเริ่มจะล้าเพราะขบฟันมานาน ร่างที่ขืนเกร็งนั่งหลังตรงนิ่งตั้งแต่รู้ว่ามีคนมาอยู่ข้าง ๆ เริ่มจะคลายลง ไหล่เริ่มห่ออีกครั้ง
เขาขยับเข้ามาใกล้ เหลือบมองเธอแล้วเอนตัวพิงผนังอย่างผ่อนคลายมากขึ้น เธอเหลือบมองเขาอย่างอ่อนล้า ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ เธอถอนใจเบา ๆ แล้วเอนตัวพิงผนังค่อย ๆ เอียงคอไปด้านข้างวางหัวซบลงบนไหล่เขา แล้วกระซิบเบา ๆ
“เหนื่อย...ชะมัดเลย”
“อืม...พักเถอะ” นั่นเป็นเสียงกระซิบเบา ๆ ที่เธอได้ยินก่อนจะหลับไป
ใช่...คงเพราะความเหนื่อยล้านั่นละทำให้เธอหลับไปอย่างง่ายดาย
จริงหรือ...???
หญิงสาวเริ่มถามตัวเองอีกครั้ง หลังคืนดีกับพี่ชายที่เพิ่งตาสว่างและเล่าเหตุการณ์นั้นให้เขาฟัง
ความเหนื่อยล้าแน่หรือที่ทำให้เธอหลับไปอย่างง่ายดาย ไม่ใช่เพราะเธอรู้หรอกหรือว่ามีเขาอยู่ข้างกาย ไม่ใช่เพราะความอบอุ่นแปลก ๆ ในหัวใจหรอกหรือที่ทำให้เธอหลับได้แม้อยู่กลางลมหนาว
คำพูดของพี่ชายยังวนอยู่ในหัว
“ไหล่กับหัวใจอยู่ใกล้กันนะ...ผู้ชายหลายคนถึงใช้ไหล่แทนหัวใจ”
หญิงสาวถอนใจเบา ๆ มองผู้ชายที่เพิ่งผลักประตูเดินเข้ามายังโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ เขายักคิ้ว ยิ้มให้แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ
“ไง...คิดค่าคุยนาทีละสิบเหรียญนะ”
“ไม่จ่าย...จิตแพทย์ที่ไหนมาเรียกเงินกันอย่างนี้” เธอย่นจมูกใส่อย่างหมันไส้
“อ้าว...ก็เธอไม่ใช่คนไข้เรานี่” เขาไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ปรึกษานอกเวลาเราก็คิดราคาประมาณนี้ละ”
“ถ้าคิดราคานี้จริงเธอคงรวยไปแล้ว อย่ามาโอ่งี่เง่าน่า” หญิงสาวเบะปากบอก ก่อนจะคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “แล้ว...ไม่ใช่คนไข้ เราจะเป็นอะไรละถึงลากเธอออกมาในเวลาแบบนี้ได้”
เขาเลิกคิ้วมองสบตาเธออย่างพยายามค้นหา ก่อนจะถอนใจเบา ๆ “ถามแบบนี้ เตรียมใจรับคำตอบไว้แล้วหรือไง”
“อืม...เราอยากได้ความมั่นใจ” เธอบอกหน้าตาเธอ “พี่บอกว่าไหล่ผู้ชายไม่ได้ให้ซบฟรี ๆ เราอยากรู้ราคาที่ต้องจ่าย”
เขาหรี่ตาลงแล้วถอนใจเบา ๆ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มองหน้าเธอนิ่งอยู่นาน
“พี่เธอเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจจริง ๆ เอาความลับผู้ชายไปบอกน้องสาวอย่างนี้ได้ยังไง”
“เพราะเราเป็นน้องที่น่ารักไง”
“ตรงไหน...หลงตัวเองไปแล้ว”
หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง “อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง คิดว่าเรารู้ไม่ทันหรือไง”
ชายหนุ่มถอนใจอีกครั้ง “ลืมไปว่าเธอมันแสนรู้...แต่อยากได้คำตอบจากเรา แล้วมีคำตอบให้เราแล้วหรือไง”
“ขึ้นกับคำตอบของเธอ...”
“อยากรู้จริง ๆ น่ะหรือ” เขาถามย้ำอีกครั้ง และเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นแววตาของความไม่มั่นใจจากผู้ชายตรงหน้า
ไม่มีคำตอบ เธอแค่จ้องหน้าเขานิ่ง ๆ ดวงตาที่สงบราวกับคำยืนยันทำให้เขาโน้มตัวเข้ามาหาเธอเล็กน้อย เท้าแขนลงบนโต๊ะที่คั่นกลาง “ก็แค่...ให้เราอยู่ข้าง ๆ เธอ”
หญิงสาวนิ่งเงียบ นาน ดวงตาที่มองตรงมีเพียงความสงบราบเรียบราวผืนน้ำที่ไร้ลมโบก และจิตแพทย์อย่างเขาที่เคยควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี และจัดการกับอารมณ์คนอื่นอย่างง่ายดายก็กลับเริ่มกลอกตาอย่างไม่มั่นใจ
“คำตอบ...ของเธอ” เขาเค้นเสียงทวงคำตอบ
ริมฝีปากบางค่อยคลี่ยิ้มอย่างช้า ๆ ก่อนเสียงนุ่มจะกระซิบเบา ๆ พอให้ได้ยินเพียงแค่สองคน “คว้าเราไว้...แน่น ๆ ก็แล้วกัน”
เขาหัวเราะ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น
“อืม...จะไม่ปล่อยให้หลุดเลยละ”
----------------- credit ชื่อเรื่องและแรงบันดาลใจ จากเพลง 'แทนใจคือไหล่' ของ Basketband ค่ะ เมื่อวานนั่งฟังในดนตรีกวีศิลป์ เลยเผลอเขียนออกมา
จากคุณ |
:
Argent
|
เขียนเมื่อ |
:
13 มี.ค. 54 18:04:22
|
|
|
|