Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สมาคมคนดีใจ ตอนที่ ๑ ติดต่อทีมงาน

เปิดตัวสมาคมคนดีใจ

สวัสดีครับ คุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน คุณเคยมีความรู้สึกว่า เมื่อรู้เรื่องราวอะไรมาแล้วอยากเล่าต่อบ้างไหมครับ?

เอ่อ...ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ อย่าได้มีความคิดว่าผมจะเป็นคนปากโป้งหรือชอบเอาเรื่องของชาวบ้านมาบอกต่ออย่างคะนองปากเลยครับ เพราะเรื่องที่ผมพบเจอมาเนี่ย มันน่าเล่าจริงๆ ยิ่งได้รู้เรื่อง... ไม่ใช่แค่เรื่องเดียวเท่านั้นนะครับ มีหลายต่อหลายเรื่องที่ผมต้องรับรู้ หรือมีส่วนเข้าไปเกี่ยวพันนั้น มันน่าบอกต่อจังครับ ผมเชื่อว่าอย่างน้อยเมื่อวันหนึ่ง เรื่องราวเหล่านี้ก็อาจจะเกิดขึ้นกับคุณบ้างก็เป็นได้

บางทีถึงเวลานั้นเรื่องราวเหล่านี้ อาจจะมีประโยชน์กับคุณๆบ้างก็ได้นะครับ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งแน่ๆ

เชื่อนายดีใจคนนี้เถอะครับ!

ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ นายดีใจ สิราวรกาญจน์ เป็นบุตรคนเดียวของ นางเพียงฤทัย สิราวรกาญจน์ ส่วนพ่อผมเป็นใครนั้น ไม่ปรากฏแน่ชัด ถามถึงกับแม่ทีไร ไม่เคยได้คำตอบสักที แต่ช่างเถอะครับ มันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่นัก มาเข้าเรื่องที่เราเกริ่นไว้กันต่อดีกว่า...

ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมก็อยู่กับแม่มาโดยลำพัง จะว่าเหงาไหม ก็ไม่ค่อยนะครับ อาจจะเป็นเพราะแม่มีญาติเยอะกระมังครับ ความที่แม่เป็นนักธุรกิจเลยต้องไปไหนมาไหนตลอด ผมจึงถูกนำไปฝากบ้านญาติคนโน้นที คนนั้นที พวกเขาอาจจะสงสารหรือเห็นใจที่ผมไม่มีพ่อล่ะมั้ง ทุกคนจึงเต็มใจดูแลและก็ทุ่มเทความรัก รวมถึงสั่งสอนเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมารยาท หรือการใช้ชีวิตในรูปแบบต่างๆ

อ้อ! ลืมบอกไปครับ แม่ผมท่านสืบเชื้อสายมาจากตระกูลเก่าแก่โบราณสืบกันมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ โน่นแน่ะครับ แต่ก็อย่าไปเท้าความถึงบรรพบุรุษท่านเลยครับ เดี๋ยวท่านจะสะดุ้งอยู่บนสวรรค์เปล่าๆ แต่ก็นั่นล่ะครับ จึงทำให้เรามีญาติเยอะแยะเต็มไปหมด ผมจึงต้องเติบโตมาในหลายครอบครัว หลายรูปแบบการใช้ชีวิต จนบางทีอดคิดไม่ได้ว่าจริงๆแล้วผมเป็นกิ้งก่ารึเปล่านะ?

ชีวิตผมก็เจริญเติบโตมาโดยลำดับ เหมือนคนทั่วไปล่ะครับ จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็มิทราบได้ ที่ผมชอบเรียนรู้ครับ แต่ไม่ใช่เรียนหนังสือหรอกนะครับ ทั้งที่จริงๆแล้วด้วยสติปัญญาและฐานะการเงินของทางบ้าน ถ้าผมอยากจะเรียนไปถึงไหน ก็ได้รับการสนับสนุนจากแม่อยู่แล้ว แต่เบื่อจริงๆครับ ที่จะมาก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าตำราเรียนหนาเป็นตั้งๆ แถมบรรยากาศในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย นี่ก็ไม่ได้น่าโสภาสำหรับผมสักเท่าไหร่ ผมจึงหยุดการศึกษาไว้แค่ระดับปริญญาตรีเท่านี้ก็พอแล้ว

แต่ไอ้การที่จะหยุดการเรียนรู้คงยากน่ะครับ ตั้งแต่จบ ป.ตรีมาเนี่ย พอว่างๆ ผมก็ไปเรียนโน่นเรียนนี่ที่ผมสนใจบ้างเช่น ไปเรียนเขียนบท พอจบก็ไปออกกองถ่ายทำละคร ถ่ายทำหนัง เป็นเดือนสองเดือน หรือว่าไปเรียนทำอาหาร ทำขนม แล้วก็ออกไปเป็นครูสอนตามศูนย์ต่างๆ หรือตามมหาวิทยาลัย ตามแต่เพื่อนๆในวงการนั้นๆจะพาไปที่ไหน...

โอ๊ย...ยังมีอีกหลายประสบการณ์ที่ยังไม่อยากเล่าอีกหลายเรื่อง ไว้ทยอยเล่าดีกว่านะครับ

ดังนั้น เข้าปัจจุบันนี้ผมอายุจะ 30 แล้ว แต่ยังไม่เคยทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นหลักเป็นแหล่งกับใครเขาเสียที และเรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ คือ จุดเริ่มต้นของการลุกขึ้นมาจับปากกา เขียนเรื่องราวต่อไปนี้ ที่คุณๆจะได้อ่านกันไงครับ

เสียงโทรศัพท์บ้านดังลั่นเป็นระยะๆ ราวกับเป็นตัวแทนของปลายสาย ที่ร้องเรียกให้ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง ลุกขึ้นมารับสายให้จนได้

เมื่อตั้งสติได้ ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นมารับสายด้วยความงัวเงีย

“เอ่อ...อืม...สวัสดีครับ”

“ดีใจ ตื่นได้แล้วลูก หายไปไหนมาตั้งนาน แม่พยายามติดต่อเท่าไหร่ก็ติดต่อไม่ได้ มือถือก็ไม่ค่อยเปิด ที่นั่นกี่โมงแล้วน่ะ?”

“ประ...มาณ...บ่ายโมง...แล้วครับ....แม่...” ชายหนุ่มตอบทั้งๆที่ยังคงงัวเงียอยู่ “ แม่ มีธุระอะไรกับดีใจเหรอครับ พอดี ดีใจไปช่วยเพื่อนรุ่นพี่ทำร้านอาหารที่เกาะช้างมาครับ แล้วก็ไปหัดดำน้ำ ถ่ายรูปมาด้วยอ่ะครับ เลยยุ่งๆ ไม่ค่อยได้ติดต่อมาทางนี้ นี่เพิ่งกลับมาเมื่อคืนนี้เองครับ กะว่าจะลงมาต่อพาสปอร์ตครับ...”ยังไม่ทันที่จะจบใจความ แม่ของผมก็รีบขัดขึ้นมาเสียก่อนว่า

“ดีใจ ลูกไปทำธุระให้แม่หน่อยได้ไหม อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วโทรไปหาคนๆนี้...ที่เบอร์...”

เฮ้อ...งานเข้าแล้วสิครับ คุณผู้อ่าน!

ตอนแรกผมแค่ตั้งใจจะลงมาต่ออายุพาสปอร์ต แล้วกะจะไปถ่ายรูปที่หลวงพระบางซะหน่อย แต่ไอ้ธุระที่แม่ใช้ให้ผมไปทำคืออะไรรู้ไหมครับ?

มันเป็นสิ่งที่คนอย่างนายดีใจ ไม่เคยคาดคิดมาก่อน นั่นก็คือ การทำธุรกิจ!

ต้องเล่าย้อนกลับไปก่อนนะครับว่า บ้านที่ผมอาศัยอยู่ตอนนี้ เป็นที่ดิน ที่ตัดแบ่งมาจากญาติๆ ในส่วนของแม่กับผม วันดีคืนดี ก็มีบริษัทจากเมืองนอกอะไรทำนองนี้แหละครับ มาขอทำสัญญาเช่าตัดแบ่งเนื้อที่บางส่วน เพื่อจะเปิดเป็นซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่และยังประกอบด้วยร้านค้าต่างๆมากมายรายล้อมรอบ ตามที่สมัยนี้เขานิยมมีกันตามชุมชนใหญ่ๆนั่นแหละครับ ไอ้ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่นัก เพราะมัวแต่ตะลอนๆไปโน่นมานี่ จนล่าสุดที่กลับมาจากเกาะช้างนี่ล่ะครับ ที่พอแม่ใช้ให้ไปติดต่อกับโครงการ ถึงได้เดินสำรวจดูว่ามันใกล้จะเสร็จแล้วนี่นา
คุณๆคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับผมน่ะหรือครับ ก็ห้างนี้มันตั้งอยู่หน้าบ้านผมนี่ครับ...

ชายหนุ่มผิวสีแทนเข้มตัดกับเสื้อสีเขียวตองอ่อนกับกางเกงยีนส์สีซีด เปิดประตูเข้ามาในห้องกระจกบริเวณตึกด้านหน้าริมถนนใหญ่ ที่ทำเป็นสำนักงานขายของโครงการชั่วคราว พร้อมกับแจ้งพนักงานหญิงว่า
“มาพบคุณสมพงศ์ จากคุณยุ้ยครับ”

หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง ชายกลางคนรูปร่างท้วม ที่ชายหนุ่มคะเนว่าถ้าหากเจ้าตัวไม่มีพุงที่ป่องใหญ่จนทำเอาเสื้อเชิร์ตที่ใส่อยู่เกือบปริ จนชายเน็คไทลอยเต่อ อาจจะดูน่าเชื่อถือสมกับเป็นผู้จัดการโครงการก็เป็นได้ เขาเดินออกมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารเล่มใหญ่

เหมือนกับทุกอย่างได้ถูกพูดคุยและเตรียมการไว้อย่างเรียบร้อย รอเพียงแต่เจ้าตัวมาปรากฏกายและเซ็นรับทราบในใบสัญญาเท่านั้น ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากนั้น ดีใจก็เดินงงๆเข้าบ้านมาพร้อมกับสัญญาปึกใหญ่

‘ร้านกาแฟ’ นี่เราต้องเปิดร้านกาแฟของเราเองเหรอเนี่ย...?

ดีใจ รำพึงกับตัวเองอย่างงงๆ หลังจากที่ได้รับสัญญาเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นชายหนุ่มก็โทรหาสิทธา เพื่อนสมัยเรียนมัธยม ที่ปัจจุบันทำงานทนายความ ให้มาช่วยแปลแล้วอธิบายความในสัญญาปึกนั้นที่ได้รับมา ให้เข้าใจง่ายขึ้น

“สรุปนะ... ไอ้ดีใจ เอ็งต้องเปิดร้านกาแฟ สัญญาจะมีอายุ 5 ปี นับจากวันนี้ไป เรื่องค่าเช่า ป้ายุ้ย เค้าจะเป็นคนจัดการดูแลให้ เอ็งมีหน้าที่ทำอย่างเดียวเท่านั้น เข้าใจมั้ย”

นี่ผมต้องเริ่มต้นจากอะไรบ้างล่ะเนี่ย การทำร้านกาแฟ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ ไหนจะเรื่องการตกแต่งอีก ไหนจะเรื่องหาเครื่องทำกาแฟ คิดเมนูขนมและเครื่องดื่มอีก แล้วยังจะต้องหาพนักงานอีก ฯลฯ

โอ๊ย!...แค่คิดก็มึนไปหมดแล้ว! แต่ก็โชคดีที่ เรื่องทุน ที่แม่กับป้ายุ้ย พอจะตามใจผมได้บ้าง แต่ทุกอย่างก็ต้องสมเหตุสมผล และยังต้องตรวจสอบได้ด้วยอีกต่างหาก

“ป้าเห็นด้วยกับแม่แกนะ ที่จะให้แกเปิดร้านกาแฟ ถ้าลองทำร้านอาหาร แกคงจะใจดีเลี้ยงเค้าจนขาดทุนตั้งแต่เดือนแรกเลยล่ะมั้ง ทำร้านขายกาแฟเนี่ยล่ะดี อย่างมากก็เลี้ยงทีละแก้ว มันคงไม่มีใครหน้าด้านมากินฟรีบ่อยๆหรอกมั้ง แกว่ามั้ย ดีใจ”

ด้วยเหตุผลนี้ของป้ายุ้ยและแม่ จึงทำให้ผมต้องเปิดร้านกาแฟโดยปริยาย ถึงผมจะเคยเรียนทำอาหารมาบ้าง ซึ่งในหลักสูตรอาจจะมีเรื่องเครื่องดื่ม แต่มันก็ผิวเผินเสียจน จะใช้ทำมาหากินจนเปิดร้านรวงกับเขาได้

ยิ่งการชงกาแฟ หรือเรื่องราวความรู้เกี่ยวกับกาแฟนี่แทบเป็นศูนย์เลย แต่ไหนๆก็เลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมคงจะหาคนช่วยเหลือในเรื่องนี้ไม่ยากหรอกมั้งครับ


ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลาสองเดือนมันช่างผ่านไปรวดเร็วอะไรเช่นนี้ นับตั้งแต่วันที่ผมได้รับสัญญามาจนวันนี้ ยังไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะได้พักหรือเถลไถลตามนิสัย เพราะว่ามีแต่ งาน...งาน...งาน และก็งานเท่านั้น แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทันทีที่มีคนรู้เรื่องร้านนี้ ต่างแสดงความคิดเห็นเข้ามามากมาย แต่ทั้งหมดทั้งปวง ออกไปในแนว อนุโมทนาที่คนหลักลอย อย่างนายดีใจ จะมีกิจการเป็นของตัวเองเสียที (จนผมอดคิดไม่ได้ว่านี่ผมมันแย่ขนาดนั้นเลยเชียวเหรอ)...

“ดีใจจัง ที่เราจะได้กินกาแฟฝีมือดีใจ ทำอาหารยังอร่อยขนาดนั้น แล้วชงกาแฟจะอร่อยขนาดไหนเนี่ย”ฯลฯ—เสียงจากเพื่อนสมัยมัธยม      (เกินไปมั้งเพื่อน!)

“ต่อไปเวลาข้าจะคุยกับเอ็ง จะได้ไปหาที่ร้าน ไม่ต้องรอให้เอ็งติดต่อมาฝ่ายเดียว...ฮ่าๆๆ”ฯลฯ—เสียงจากเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย       (ยังกะรักตูมากงั้นแหละ!)

“ให้มันมีที่อยู่เป็นที่เป็นทางบ้างเถอะนะ พ่อคุณ! เลิกไปตะลอนๆตามนอกบ้านเสียทีนะ”ฯลฯ--เสียงจากญาติๆทั้งหลายครับ        (จะเอาอะไรกับผมอีกคร้าบ!)


อย่างที่ว่าแหละครับ ลองแม่ผมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ขนาดเจ้าตัวอยู่ไกลถึงอเมริกาโน่นแน่ะ ยังสามารถหาคนมาช่วยผมจัดการเรื่องร้านนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีจนได้ เรื่องของระบบต่างๆเกี่ยวกับครัว เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ผมแทบไม่ต้องไปติดต่อใครเลย นอกจากจำๆๆๆว่าต้องทำยังไงเท่านั้น เพราะแม่มอบหมายให้พี่ภัทร (เค้าเป็นเชฟชื่อดังของภัตตาคารไทยทัศน์ คุณๆน่าจะรู้จักบ้างมังครับ) จริงๆแล้วถึงจะไม่ใช่ญาติ ผมก็เป็นลูกศิษย์ของแกเหมือนกัน จะทิ้งกันได้ไง แถมผมยังเป็นเพื่อนสนิทกับสิตา คนรักของแกอีกนี่นา งานนี้เลยสบายไปเต็มๆเลยครับ

ส่วนเรื่องสถานที่ ไม่น่าเชื่อว่า คุณสมพงศ์ ผู้จัดการโครงการนี้ แกไม่ได้ใหญ่แค่พุงอย่างที่ผมว่าแกไว้ตั้งแต่แรกพบเลยสักกะนิด แกคล่องแคล่วมากๆ จัดการทำทุกอย่างได้ตามที่ผมต้องการ แถมบวกกับการบริหารจัดการตามคำสั่งของป้ายุ้ยจอมละเอียดด้วยแล้ว ผมอาจจะต้องเหนื่อยมากกว่านี้และคงไม่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จนจะสามารถเปิดร้านได้เร็ววันนี้หรอกนะครับ

จากคุณ : Awork
เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 54 22:27:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com