Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กามาลี ที่รัก ...ตอนที่ 5 ติดต่อทีมงาน


กามาลี ที่รัก ตอนที่  5  ...ตอนจบ

เสื้อยืดสีชมพูคอกว้างเปิดเผยเนินหน้าอกพองาม กับกางเกงยีนตัวจิ๋วขาสั้นแค่คืบ  ชุดที่ฉันใส่ตามแฟชั่นนิยม  ขณะที่กำลังตบแป้งรองพื้นและทาลิปสติกปิดท้ายความงาม อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง  ฉันไม่เคยคิดว่านั่นเป็นการยั่วยวนใคร เพียงแต่ตกแต่งสวมใส่ไปตามวัยและหน้าที่การงาน ...ใครจะไปคิดว่า มันจะต่ำช้าขนาดนั้น

เพียงแวบเดียวที่คิดไม่ถึง มันก็โถมเข้ามากอดรัดฉันไว้จากด้านหลัง หนวดเครารำไรไต่โลมเลียให้ร้อนผ่าวไปทั่วต้นคอ และเร่งรุกซุกไซ้ไปทั่วทุกซอกทุกเนิน ขบกัดเหมือนจะฉีกร่างฉันอย่างเคย หลังจากที่มันดึงฉันมาเอนพิงติดผนังห้อง ข้างชั้นวางทีวีนั่นเอง  ...อีกแล้วที่ฉันไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย  เหมือนมันเองก็รู้ว่าทุกอย่างต้องดำเนินไปอย่างเงียบกริบ แน่นอนที่สุด สำคัญมากคือตอนนี้ทุกเสียงผิดปกติใดๆ ต้องไม่เล็ดลอดออกมาแทรกเสียงจากทีวีที่เปิดดังอยู่แต่แรก
คุณพ่อแม้ท่านมองไม่เห็น แต่ก็ส่ายสายตาไปมาตามเสียงที่ได้ยิน  ...ฉันไม่กล้ามองไปที่ท่านเลย แต่ก็ไม่อาจเลี่ยงได้เมื่ออยู่ใกล้กันเพียงไม่กี่ก้าว ทุกครั้งที่เผลอสบตา ความรู้สึกอดสูเหมือนถูกดึงลงจนถึงขีดต่ำสุดของจิตใจ  แต่ทุกอย่างก็ได้แค่ปล่อยเลยตามเลย ให้มันชี้นำอย่างหนำใจ  ซึ่งตอนนี้มันยืนพิงอยู่ตรงนั้น สองมือกดหัวฉันให้ต่ำลงมา พอดีกับซิปกางเกงที่รูดเปิด  ดึงอาวุธปืนคู่กายออกมาควง แล้วเตรียมเก็บเข้าซอง  ช่องริมฝีปากบางๆที่ถูกยัดเยียดล่วงเกิน  จากอาวุธร้ายที่ซัดกระหน่ำอย่างไม่ปราณี และยากเกินหลบหลีกเมื่อสองมือมันยังบีบบังคับไม่ให้หนีไปไหน พร้อมทั้งกดขี่โยกย้ายไปตามจังหวะที่มันต้องการ

แม้ห้าเดือนมานี้ ความสับสนชอกช้ำไม่ได้ทิ้งห่างจากฉันไปไหน แต่ความจำยอมอย่างชินชา มันได้เก็บกักน้ำตานั้นไว้  จนตอนนี้ มันไหลร่วงพรูอีกครั้ง เมื่อฉันไม่อาจหลบเลี่ยงไปไหนได้เลย  สายตาของคุณพ่อที่รัก เหมือนจดจ้องมาที่ฉันอย่างหมดอาลัย  มันช่างบาดเฉือนลึกเข้าไป ไม่รู้สิ้นสุดถึงตรงไหนของหัวใจ
...ฉันต่อสู้มานานหลายปี อยู่ด้วยตัวเองพึ่งพาตัวเอง แกร่งเกินหญิงสาววัยรุ่นทั่วไปจะรับไหว แต่ตอนนี้ ฉันรู้สึก อ่อนแรง ฉันสู้ไม่ไหวอีกแล้ว ในใจเริ่มสวดวิงวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยบันดาลพร เพียงข้อเดียว แค่ขอให้คุณพ่อ ไม่ได้ยินเสียงอะไรก็ตาม ที่แสดงถึงความต่ำทราม ที่ห่างจากตัวท่านเพียงไม่กี่เมตรนี่เอง  แต่เนื้อที่เบียดกระทบกันของสองร่างและเตียงนอนที่โดนผลักดันเขยื้อนไม่ตามแรงกระแทกนั้น แม้ระวังให้แผ่วเบาเพียงใดก็ย่อมปล่อยเสียงออกมา ดังแทรกไปกับเสียงของทีวี ที่ช่วยกลบเกลื่อนให้ฟังไม่ชัดเจน  แต่กับฉัน มันเหมือนเสียงนั้นดังสนั่นโหยหวน ดังเสียงร้องร่านจากสัตว์นรกในยามที่มันได้เสพสมตามอารมณ์หมาย อย่างไม่แยกแยะชั่วดี

กางเกงยีนขาสั้นและกางเกงชั้นในอีกตัว ถูกเลื่อนลงจนพ้นทาง เปิดให้อาวุธปืนกระบอกทมิฬสอดแทรกเข้ามา  ฉันถูกกดตัวให้ก้มโค้งลง เอาสองแขนค้ำไว้ที่ปลายเตียง แล้วทิ้งเบื้องหลังและอิสรภาพ ทั้งหมดให้เป็นของมัน ได้ขับขี่สาดห่ากระสุนอย่างสาแก่ใจ   ตลอดเวลาในช่วงนี้ฉันกัดริมฝีปากไว้แน่น  หวังปิดกั้นทุกความรู้สึกที่จะส่งเสียงออกมา ให้เหลือแค่น้ำตาที่หลั่งรินเกินจะต้านทาน จนสถานการณ์ที่ต่ำสุดจบลงไป
...เจ็บแล้วเจ็บอีก แต่ครั้งนี้มันเกินจะรับมันไหวจริงๆ  หลังจากที่เห็นน้ำตาของคุณพ่อเริ่มเอ่อคลอ  ถึงข่าวในทีวีจะพูดถึงความสูญเสียครั้งใหญ่ของเมืองไทยจากการห้ำหั่นกันของคนเสื้อแดง แต่นั่น คงไม่ทำให้คุณพ่อถึงกับต้องเสียน้ำตาแน่ๆ  ฉันไม่รู้จะแสดงอะไรออกไป ไม่รู้จะบอกกับท่านยังไง  ฉันได้แต่ซับน้ำตาตัวเองแล้วเดินตามไอ้อุดมมันออกไป  มันหยุดยืนรออยู่ข้างรถกะบะกระบะคันโตที่จอดอยู่หน้าอาคารห้องเช่า  ทันทีที่ฉันตามไปถึงตัวมัน ฉันฟาดฝ่ามือออกไปสุดแรงเกิด จนหน้าของมันสะบัดหันไปตามแรงมือ

"แกจะไปตายที่ไหนก็ไป..."     "...อย่าได้มาพบเจอกันอีกเลย"
ด้วยความโกรธจนตัวสั่น และน้ำเสียงก็สั่นเครือไปตามนั้น
"เอม ฉันขอโทษ..."
มันพูดพร้อมกับ ขยับแขนตั้งใจจะเข้ามาโอบกอด หวังปลอบใจฉัน  แต่ไม่เป็นผล เมื่อมือทั้งสองของมัน ถูกฉันสะบัดออก  พร้อมจ้องเขม็งแววตาดุดันแข็งกร้าว ก็ยังส่องประกายโกรธแค้นอย่างไม่ลดละ  จนมันรีบถอยตัวห่างออกไป
"ฉันไปก่อนก็ได้ แล้วจะโทรหานะ"

สิ้นประโยคสุดท้ายของการพูดคุย  เหลือเพียงแต่เสียงสะอึกสะอื้นของฉัน พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งที่ข้างกำแพงอาคาร หลังจากที่มันเดินลับตาไป
...ฉันโทรไปลางานกับเจ๊สุดา หลังจากที่ยังคิดไม่ตกว่าจะเดินต่อไปทางไหนดี แต่ที่แน่ๆในใจคือ ต้องไปจากชีวิตของมัน ...ห้าวันผ่านไปฉันยังไม่ได้คุยอะไรกับคุณพ่อสักคำ และฉันก็ยังไม่ได้ไปทำงาน ส่วนไอ้อุดม มันก็โทรมาหาฉันเกือบทุกชั่วโมง แต่ฉันก็ไม่เคยรับสายมันเลย

"พ่อคะ หนูจะลาออกจากงาน"   "หนูตั้งใจจะเลิกกับผู้กองอุดม เลยต้องหาที่หลบหน้าเขาสักพัก"
ด้วยความสงสารคุณพ่อ ฉันจะทำเป็นลืมความละอายต่อเหตุการณ์ในบ่ายวันนั้น  จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นก่อน เพราะไม่อยากให้บรรยากาศในห้องมันอึดอัดมากไปกว่านี้

"ย้ายไปเชียงใหม่กันไหมลูก วันก่อนพ่อโทรคุยกับป้ากุล"   "ป้าเขาบอกว่า อยากให้เราไปอยู่ด้วยกัน"   "และพ่อว่าจะออกขายล็อตเตอรี่ด้วยนะ ...ต้องทำให้ได้  ถึงเวลาจะต้องดูแลลูกสาวพ่อบ้างแล้ว"
พ่อพูดยาว เสนอความคิดออกมา พร้อมควานหาฉันหวังมาโอบกอดไว้  ฉันเลยลุกขยับไปนั่งใกล้ๆบนโซฟาตัวเดียวกัน
"...ป้ากุล"   "ก็ได้คะพ่อ งั้นเดี๋ยวหนูติดต่อเรื่องรถขนย้ายของเราเลยนะคะ"   "ถ้าไม่ติดอะไรวันสองวันนี้เราไปเชียงใหม่กันเลย"
ฉันทวนความคิดเรื่องป้ากุล ซึ่งท่านเป็นพี่สาวแท้ๆของคุณพ่อ ตอนนี้คงอยู่กับหลานๆเพราะสามีท่านก็เสียไปนานแล้ว  ถ้าพ่อได้ไปอยู่ที่นั่น การมีเพื่อนเพิ่มขึ้น ทั้งสองเราอาจจะลืมความทุกข์โศกที่ผ่านมาไปได้บ้าง  ฉันจึงรีบเอ่ยตอบรับความคิดของพ่อทันที
"แต่เรื่องขายล็อตเตอรี่ไว้ดูอีกทีนะคะ ถ้าหนูหางานทำได้เหมือนเดิม  ก็จะไม่ยอมให้พ่อออกไปทำอะไรที่ไหนหรอกคะ"
ฉันพูดพร้อมกับสวมกอดท่านไว้

ความปลอดโปร่งกลับมาเยือนอีกครั้ง เมื่อฉันได้โทรหาป้ากุล พูดคุยนัดหมายกันเข้าใจดีแล้ว และฉันได้บอกกล่าวกับเจ๊สุดาเรื่องขอลาออกจากงานแล้วด้วย  และที่มากกว่านั้นเมื่อตอนบ่ายวันนี้ หลังจากที่ผู้กองอุดมมันโทรมาติดๆกันหลายสิบสาย ที่ฉันไม่เคยรับอยู่แล้ว  มันเลยมาหาฉันถึงที่ห้อง ยืนเคาะประตูและร้องเรียกอยู่นาน แต่ฉันกับพ่อก็ทำเป็นเงียบไม่ใส่ใจจนมันถอยกลับไปเอง

...ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืด พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงเหลืองนวลสว่างไสว แข่งกับแสงไฟแสงสีที่ประดับประดาเป็นรวงยาวระยิบระยับตามทางเดิน ในคืนวันลอยกระทง ถัดมาอีกซอยจากห้องพัก มีงานวัดรื่นเริงที่นี่ ฉันเลยพาคุณพ่อมาเดินเล่นเป็นการไว้อาลัย ก่อนจะต้องจากเมืองนี้ไปชั่วนิรันดร์ ...กระทงดอกไม้คู่เล็กๆที่เราสองพ่อลูกปล่อยลอยออกไปพร้อมๆกัน ฉันไม่รู้ว่าคุณพ่ออธิฐานว่าอย่างไร แต่ที่ฉันขอ ก็เพียงแค่ ขอให้ความทุกข์ความเศร้าหายไปจากเราเสียที

"เอ่อ... ลูกเอม พรุ่งนี้เราจะเดินทางแต่เช้า ไปจากที่นี่แล้ว ไม่รู้ว่าหนูมาลี จะเป็นอย่างไรบ้างนะ"
ระหว่างทางเดินกลับห้องพัก ฉันประคองคุณพ่อ ขณะที่ท่านก็ใช้ไม้เท้าค้ำยันประคองตัวเองเดินอยู่ด้วย   พ่อพูดขึ้นมาพร้อมยกมือเกาหัว เหมือนแก้เขิน กับประโยคแบบนี้ มันคงไม่ใช่ประโยคคำถาม ที่ถามถึงใครๆว่าสบายดีรึเปล่า แค่นั้นหรอกนะ  ...จริงๆแล้วหลายวันมานี่ฉันลืมเรื่องมาลีไปเสียสนิท  ซึ่งปกติตลอดห้าเดือนที่ผ่านมา เธอจะมาหาคุณพ่ออยู่เป็นประจำ การนวดแบบพิเศษแบบนั้น ทำให้คุณพ่อเองคงใจหายไม่น้อย เมื่อต้องจากที่นี่และต้องจากเธอไป  จนท่านต้องเอ่ยถึง  ...ฉันรู้ถึงความเกรงใจของท่าน และก็รู้ถึงความต้องการนั่นด้วย ก็เลยไม่ได้ลังเลอะไรที่จะทำเพื่อท่านอีก
"อืม... งั้นเดี๋ยวโทรตามให้นะคะ"

บรรยากาศข้างนอกตอนนี้ ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สว่างไสว ด้วยแสงจันทร์และไฟแสงสี อีกทั้งเสียงดนตรีเสียงพลุดอกไม้ไฟดังกระหึ่มครึกครื้นเป็นช่วงๆ แสดงถึงความสนุกสนานของผู้คนในคืนวันลอยกระทง แต่ภายในห้องที่ปิดไฟมืด มีเพียงแสงจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาให้พอได้เห็น ภาพบนเตียงนอนเล็กๆ กับกิจกรรมส่วนตัวของสองคน
"มาลีจ๋า...  ไม่ต้องนวดให้ฉันแล้วละ ให้ฉันได้เป็นฝ่ายดูแลเธอบ้างนะคืนนี้"
คุณพ่อกระซิบที่ข้างหูเธอทั้งที่รู้ว่าเธอไม่ได้ยิน แต่รอยจูบที่พรมไปทั่วบริเวณนั้น คงทำให้เธอรู้สึกได้ว่าเขาต้องการอะไร  ท่านค่อยๆพลิกตัวกลับขึ้นมาอยู่ด้านบน ปล่อยให้มาลีได้นอนเหยียดหงายสบายตัวบ้างในตอนนี้  สองมือท่านค่อยๆปลดเสื้อผ้าออกจนหมดทุกชิ้น โดยที่เธอก็ไม่ได้ขัดขืน คงเพลินอยู่กับริมฝีปากและปลายลิ้นที่โลมเล้าไปทั่วเรือนร่าง ไม่ได้ทิ้งช่วงว่างเว้นแม้สักวินาที

ทั้งร่างกายเปลือยเปล่าของหญิงสาวเปิดรับแสงที่ส่องรำไรเข้ามา ให้เห็นความกระจ่างขาวงามอย่างชัดเจน แม้คุณพ่อจะสัมผัสได้เพียงความนุ่มนวลโค้งเว้า แต่นั่นก็เกินพอกับความสุขมากมายที่มี ทุกซอกทุกมุมถูกสอดสำรวจดังว่าจะเลียล้างให้สะอาดหมดจดไร้มลทิน  จนถึงเวลาเมื่อสองริมฝีปากประกบกันไว้แน่นปล่อยให้สองลิ้นเริงระบำพัวพัน ไม่ต่างจากเบื้องล่าง สองกายที่แนบชิดปล่อยดวงใจแทรกซึมเข้าสู่กันและกันอย่างไม่มีปิดบัง
ความอ่อนหวานและนุ่มละมุนจากคุณพ่อถูกถ่ายทอดไปสู่เธอ ล้วงลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ นั่นคือสิ่งที่มาลีขาดหายมานานแสนนาน หากเธอได้สบตาของฉันในตอนนี้ เธอคงยิ้มเยาะถึงความสุขหอมกรุ่นที่กำลังดื่มด่ำ หวังให้ฉันได้อิจฉาเล่นๆ  ...แล้วเวลาที่เหลือได้เดินไปตามจังหวะแห่งรักของทั้งสองคน

ผ่านไปจนเสียงโครมดังสนั่น กลอนประตูถูกถีบพังเปิดเข้ามา  พร้อมกับมันผู้บุกรุก ไอ้อุดมมันมาพร้อมกับความเน่าเหม็นทั้งกิริยาและกลิ่นสุราเมรัย  ...ภาพที่มันเห็น แม้ในแสงมืดสลัวรำไร  ภาพที่มันเห็นร่างสองร่าง ของชายแก่กับหญิงสาวที่เปลือยเปล่าแนบเนื้ออยู่เช่นนั้น  มันชัดเจน

เปรี้ยง!   เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นก่อนที่จะมีเสียงเจรจาใดๆ ปลายกระบอกปืนปล่อยกระสุนออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจให้ไปฝังที่ร่างใคร  เพราะผู้กองอุดมมันก็รู้ดีว่า นั่นคือ  พ่อของฉัน และมาลี

"อิเอมิกา ทำไมมิงถึงได้ชั่วช้าต่ำทรามแบบนี้"
เสียงตวาดหยาบคายของมัน มาพร้อมกับมือหยาบกระด้าง ที่ปะทะใบหน้าฉันอย่างจัง ทำให้ลอยผละออกไปไกล ตามด้วยเสียงแห่งความโหดร้ายทารุณ ที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ว่ามัน กระทำอะไรต่อใคร เพราะตัวฉันเองก็ได้รับผลที่เจ็บปวดรวดร้าวเกินต้านทานเช่นกัน
"อุดม... อุดม... อย่า... อย่า... พอเถอะ จะฆ่าก็ฆ่ากุคนเดียวเถอะ"
เสียงคุณพ่อโอดครวญ อยู่ไม่ไกล พร้อมกระเสือกกระสนควานหาฉันและมาลี หวังจะเอาร่างของท่านมาบังกระสุนให้ ด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์

เปรี้ยง!   เสียงปืนนัดที่สองดังสนั่น ก่อนเสียงกระแทกประตูดังปังจะตามมา  หลังจากมันพาความโหดเห฿ยมโหดร้ายจากไป  คงเหลือแต่ความทรมานขีดสุดที่ยังอยู่ในห้องนั้น
"เอมิกา... เอมิกา... มาลี... มาลี..."    "เอม... เอมลูกพ่อ เอมอยู่ไหนลูก ไม่เป็นไรใช่ไหมลูก..."
มีเพียงเสียงคุณพ่อที่ดังครวญระงมอยู่ในห้องนั้น แต่ฉันเองกลับไม่ได้ส่งเสียงใดๆ มีแต่เสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ ที่พยายามกลั้นไว้อย่างเต็มที่ ด้วยเกรงว่าคุณพ่อจะได้ยิน โดยที่ท่านเองก็ยังโอดครวญและโอบกอดฉันไว้แน่น

"มาลี... มาลีที่รัก... หนูไม่เป็นไรใช่ไหม..."     "มาลีแล้วเอมละ เอมอยู่ไหน เอมอยู่ในห้องนี้ด้วยรึ"    "เอม... เอม อยู่ไหนลูก"
ขณะที่ท่านกอดมาลีไว้อยู่อย่างนั้น ยังควานหาและร้องเรียกหาฉัน ...เอมิกา ที่ท่านไม่คิดว่าอยู่ในห้องนี้ จนได้ยินจากเสียงที่ไอ้อุดมมันร้องเรียกชื่อนั้น  ท่านคงแปลกใจจนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดของตัวเองเลยสักนิด ...จนสิ้นประโยคสุดท้าย
"มาลี... ฝากบอกเอมิกาลูกฉันด้วยนะว่า... พ่อรักลูกมาก..."
เสียงร่ำไห้ของฉัน มันเริ่มดังขึ้นมาแทนที่ หลังจากที่กลั้นไว้ไม่ไหว สองมือของฉันได้สัมผัสคราบคาวเลือดไหลนองมาจากรูกระสุนที่เจาะกลางแผ่นหลังท่าน ...ฉันและคุณพ่อ เราทั้งสองกอดกันสั่นเทาจนรู้สึกว่า อีกฝ่ายหนึ่งแน่นิ่งไป  ทันทีที่ตั้งสติอันน้อยนิดนั้นได้ ฉันก็รีบลุกออกไปจากที่ตรงนั้น ไปตามทางที่สองขาและหยดน้ำตา จะพาไป


...หลายวันต่อมาหลังจากนั้น  เจ๊สุดาช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ทั้งงานศพของคุณพ่อและคดีของผู้กองอุดม สิ่งที่พวกเราเรียกร้องกลับไป  หลักฐานจากผู้หญิงอ่อนแอในมุมมืด ไม่ได้มีน้ำหนักพอที่จะไปสู้รบตบมือกับผู้อยู่เหนือกฎหมาย อย่างพวกมันได้ เพียงแค่ผู้กองอุดมมันหายตัวไปจากเมืองนี้ นั่นก็คงที่สุดแล้ว  โดยเฉพาะฉันเองที่เหมือนอยู่ในมุมมืดใต้หุบเหวในตอนนั้น คงต้องยอมปิดปากเงียบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ปล่อยให้มาลีและคุณพ่อเงียบหายไปด้วยกัน กับสายลมพัดพาอันนุ่มละมุน  ยังไงก็ตามนั่นคือความสุขของเขาทั้งสองคน


เรื่องราวชีวิตของฉันดูตื่นเต้นไปไหม หรือผู้อ่านจะสนใจแค่ฉากรักที่หวือหวาเร่าร้อนเพียงแค่นั้น  แต่ก็นะ ฉันยอมรับมันได้ ในตอนนี้ฉันรับได้ทุกอย่าง ...ถ้าไม่เชื่อก็แวะมานะ  ผ่านเข้าเมืองศรีราชาเมื่อไหร่ อย่าลืมถามหาร้านนวด "กานต์สุดามาสสาจแอนด์สปา"  หลายๆคนคงชี้บอกทางให้ได้  และถ้ามาถึงนี่แล้ว อย่าเรียกหา "เอมิกา" นะ  ให้เรียกฉันว่า "กามาลี"  แล้วคุณจะได้รับการบริการอย่างพิเศษเหนือพิเศษ

 
 

จากคุณ : goowalker
เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 54 12:56:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com