 |
...มาถึงคราววิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ที่ล้มกันระเนระนาด ไม่ว่าภาคอุตสาหกรรม ภาคการบริการ ภาคการค้า อสังหาริมทรัพย์ แม้แต่ธนาคารก็ยังเจ๊งกันเป็นแถ๊ว... แต่ภาคเกษตรกรรมไม่ได้เจ๊งตามเค้าไปด้วย ท้าวสยามเทวราชเล่าเรื่องราวต่อมา
ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เป็นพันธุ์ข้าวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ตลาดข้าวหอมมะลิเติบโตขึ้นทุกปีๆ ในปีพ.ศ. 2544 นั้น รัฐบาลจีนได้ลงนามทำสัญญาขอซื้อข้าวหอมมะลิจากไทยสูงถึง 400,000 ตัน
เชื่อกันว่าความต้องการจริงๆ น่าจะสูงกว่านั้นมาก ตลาดของข้าวหอมมะลิในสหรัฐอเมริกาก็เติบโตเช่นเดียวกัน โดยปี 2541ปริมาณการส่งออกสูงถึง 578,475 ตัน จนกำลังผลิตไม่พอเพียงกับความต้องการทีเดียว พระแม่โพสพรายงานเสริม ...นั่นเฉพาะข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เท่านั้นนะเพคะ หากพูดถึงภาพรวมในปีพ.ศ. 2543 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารของประเทศไทยมีมูลค่าถึง 10,480 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยติดอันดับที่ 14 ของโลกเลยทีเดียว
"อย่างงี้สิเล่า เค้าถึงได้มีสโลแกนว่า... เกษตรกรแข็งขัน เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม ฮู่เร่ฮ่าฮ่า" เหล่าเทวดาไทยต่างปรบมือส่งเสียงเชียร์กันสนั่นสวรรค์
สมแล้วที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นครัวของโลกจริงๆ นะเนี่ย สถิติการส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลกมาหลายปี ...30% ของตลาดข้าวส่งออกในโลกนี้เป็นของไทย มากกว่าการส่งออกข้าวของพี่ใหญ่มะกันถึง 3 เท่า
แล้วในปัจจุบันสมัยนี้เล่า ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ แฮมเบอร์เกอร์เน่าทางโน้น เหม็นถึงข้าวทางนี้ด้วยหรือไม่ สถานการณ์เป็นเช่นไร? ประธานในที่ประชุมเอ่ยถาม
ข้าแต่องค์พญาแถน ...ถึงแบร์ สเติร์นส์ จะพัง เลห์แมน บราเธอร์ส จะเจ๊ง เอไอจีจะเน่ายังไง มนุษย์โลกก็ยังต้องการอาหาร
ปีที่ผ่านมา...พ.ศ. 2551 นอกจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์แล้ว ยังมีวิกฤตอาหารโลก (Food Crisis) ทำให้ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายอื่นๆ กลัวอดตายกันจึงมีมาตรการควบคุมการส่งออกข้าว แต่ไทยไม่มี จึงสามารถส่งข้าวได้มากถึง 10 ล้านตัน แถมราคาปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 600 เหรียญต่อตัน คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
โอ้โห!
อื้อหือ!
อ้าหา!
รายงานข่าวจากมารดาแห่งข้าวเรียกเสียงเสียงฮือฮาอีกครั้ง
นี่ล่ะหนาต้องขอบคุณความอุดมสมบูรณ์ที่พระแม่ทั้ง 3 ช่วยกันให้ไว้แก่ดินแดนสุวรรณภูมินี้ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวเน๊อะ พระแม่โพสพ เน๊อะ ...อ้าว แล้วนี่พระแม่ธรณีกับพระแม่คงคาไปไหนเสียเล่า?
ทั้งสองขอลาป่วย เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพ ท้าวสยามเทวราชเป็นผู้ตอบ
อ้าว... เป็นไรล่ะ? องค์ประธานหันไปถามพระแม่โพสพ ผู้เป็นสหายสนิทของเทพีอีกสององค์
อ่า... เทพีแห่งข้าวอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่ทันใดนั้นเอง เสียงสัญญาณก็ดังขึ้น
โอ...ทั้งสองโฟนอินเข้ามาพอดี ขอเชิญองค์พญาแถนดูเอาเองเถิดเพคะ
บัดนั้น จอขนาดยักษ์สองจอก็ผุดขึ้นกลางอัฒจรรย์ที่ชุมนุมสวรรค์ดั่งเนรมิต!
แหม... สวรรค์เราก็ช่างทันสมัยไม่แพ้เมืองมนุษย์ เค้าฮิตโฟนอิน เราก็โฟนกะเค้ามั่ง ๕๕๕
ภาพในจอแรกนั้นคือพระแม่คงคา เทพีแห่งสายน้ำผู้เคยมีเทวะลักษณะงดงาม ทรงจระเข้เป็นพาหนะ กรทั้งสี่ถือดอกบัว หม้อกลาฮัม และตรีศูลย์ซึ่งเป็นอาวุธประจำกาย หากที่ทำให้เทวาทั่วชั้นฟ้าอุทานกันอย่างแตกตื่น นั่นกลับเป็นผิวกายที่เคยขาวนวลเนียนเรียบสดใสดุจดั่งสายน้ำยามนี้กลับกลายเป็นสีดำ แถมตะปุ่มตะป่ำผิดจากที่เคยคุ้นจนน่าตกใจ บนจระเข้พาหนะที่เคยประดับประดาด้วยดอกบัวงดงาม ยามนี้กลับกลายเป็นประดับด้วยขยะทั้งชนิดเปียกและแห้ง
ส่วนจอที่สองคือพระแม่ธรณี เทพีผู้เป็นมารดาแห่งโลกนั้น ก็เรียกเสียงฮือฮาจากทวยเทพได้ไม่แพ้กัน ด้วยผิวกายที่เคยงดงามกลับแห้งแตกระแหงเป็นเกล็ดกรัง พระพักตร์ซีดเซียวดูห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง เส้นเกษาที่เคยยาวเงางามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ กลับดูสังกะตัง อีกทั้งยังแห้งแตกปลายไร้น้ำหนักจัดทรงไม่ได้ชี้ฟูดูมิจืด ทั้งที่เมื่อสองพันกว่าปีก่อน มวยผมของพระแม่ธรณีนี้เคยชุ่มฉ่ำบีบได้น้ำมากมายขนาดขับไล่พญามารที่มาผจญ ช่วยให้เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
เกิดอะไรขึ้นกับพระแม่ทั้งสองเนี่ย? ทะ...ทะทำไมพระแม่คงคาถึงได้ดำปี๋แถมมีตุ่มอะไรขึ้นมากมายขนาดนั้น แล้ว... แล้วนั่น พระแม่ธรณี ทำไมถึงได้แห้งแก๋ แล้ว..แล้ว... ท่านคิดยังไงถึงได้ไปดัดผมทรงเอฟโร่แบบนั้น โธ่เอ๋ย... ฟูเชียว มันไม่เข้ากับท่านเลยนะ เสียดายมวยผมดีดี
พวกเราเปล่าต้องการให้เป็นเช่นนี้เลยเพคะ แคกๆ
แต่ด้วยน้ำมือของพวกมนุษย์... พวกเราจึง
แคกๆๆ พระแม่ธรณีพยายามอธิบาย แต่กลับสำลักจนพระแม่คงคาต้องช่วยเสริมอีกแรง
ใช่แล้ว นี่เป็นผลของมลพิษ แคกๆๆ... และสารเคมี... แคกๆๆๆ อา... พวกเราจะทนไม่ไหวแล้ว
อุเหม่... พวกมนุษย์ทำไมถึงเลวร้ายอย่างงี้นะ ต้องเป็นเพราะพวกโรงงานอุตสาหกรรมเป็นแน่ ที่สร้างมลพิษทำร้ายพระแม่ทั้งสอง... อ้าว ไม่ใช่รึ? เทวีทั้งสององค์พากันส่ายพักตร์ปฏิเสธ
หาใช่ภาคอุตสาหกรรมอย่างเดียวไม่... แคกๆ ...พูดถึงมลภาวะ ใครๆ ก็มักนึกภาพโรงงานปล่อยน้ำเสีย พ่นควันพิษ รถติดบนถนน ชุมชนทิ้งขยะ แต่ไม่มีใครรู้ว่า... ทุ่งนาเขียวขจีที่ดูอีโค่เฟรนลี๊เฟรนลี่นั่นแหละตัวร้าย! พระแม่คงคาฟ้ององค์พญาแถนด้วยความคับแค้น
คิดดูสิเพคะ ประเทศไทยใช้ผืนดินทำการเกษตร 130 ล้านไร่ จากพื้นที่ทั้งหมดราว 320 ล้านไร่ คิดเป็น 40% ของผืนดินทั้งประเทศ แค่กๆๆๆ... แล้วชาวนาชาวไร่พากันใส่ปุ๋ยเคมี ฉีดยาฆ่าแมลงและวัชพืชกันให้สนั่น พวกหม่อมฉันถึงได้ป่วยหนักถึงเพียงนี้ แคกๆ พระแม่ธรณีเสริมความเข้าใจด้วยตัวเลขทางสถิติให้เห็นภาพชัดๆ
ใช่แล้วเพคะ จิตวิญญาณมนุษย์เสื่อมทรามลงทุกที... ชาวนาชาวไร่ที่เคยเชื่อ เคยเคารพยำเกรงในความยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน... เคยบูชาธรรมชาติเป็นผู้ให้กำเนิด รักษาดินและน้ำดุจมารดา กลับไปหันไปพึ่งพาเทคโนโลยี นำเข้าเคมีมากมายมาใช้เร่งผลผลิตเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา ทุกวันนี้ ข้าว... กลายเป็นเพียงสินค้า ชาวนารีบปลูกรีบขาย หาได้ปลูกด้วยจิตศรัทธาอย่างบรรพชนรุ่นก่อนๆ ไม่ พระแม่โพสพทูลฟ้องอีกองค์ ...นอกจากทำร้ายพระแม่ธรณีและพระแม่คงคาด้วยเคมีเกษตรแล้ว แม้แต่หม่อมฉัน พวกเขาก็ไม่เว้น ทุกวันนี้มนุษย์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพตอนเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เป็นหมันเพื่อธุรกิจอีกด้วยนะเพคะ
บังอาจมาก! แม้แต่แม่โพสพผู้ให้อาหารยังชีวิตแก้พวกมัน ก็ยังทำกันได้ลงคอเชียวรึ?
พันธุ์ข้าวที่เคยมีอยู่หลากหลายตามธรรมชาติสูญหายไปเพราะกลไกตลาด... หากปล่อยให้มนุษย์ทำเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นาน ข้าวจะคราวต้องสูญพันธุ์
สูญพันธุ์ด้วยเพราะสูญสิ้นความสามารถในการวิวัฒนการ แม้จะเห็นต้นข้าวอยู่เต็มทุ่งนาก็ตาม
พวกชาวนาขายข้าวจนร่ำรวยมหาศาล แต่กลับอกตัญญู ตอบแทนคุณมารดาทั้งสามเยี่ยงนี้ได้อย่างไร?
หืม? ...ชาวนา...ร่ำรวยมหาศาลรึเพคะ?
อ้าว ก็พระแม่โพสพรายงานเองนี่ ว่าข้าวไทยขายดิบขายดี ส่งออกได้แชมป์ทุกปี ปีที่แล้วชาวนาไทยขายข้าวได้ตั้ง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มันตั้งสองแสนล้านบาทไทยเชียวนะ ชาวนาก็ต้องร่ำรวยมากสิเล่า
โอ...ไม่ใช่แล้ว ชาวนาไทยส่วนมากยากจนนะเพคะ มารดาแห่งข้าว เทพีผู้ใกล้ชิดชาวนาที่สุดฟันธงฉับ!
ไม่เชื่อถามธกส.ได้
สถิติหนี้สินต่อครัวเรือนของเกษตรกรสูงขึ้นทุกปีๆ หนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนเกษตรกรในปี พ.ศ. 2538 เท่ากับ 24,672 บาท กลายเป็น 37,231 บาทในปี พ.ศ. 2542 และจำนวนครอบครัวเกษตรกรที่ติดหนี้ก็มีมากขึ้นทุกปีๆ จากในปี พ.ศ. 2538 ที่มี 2,857,933 ครอบครัวกลายเป็น เป็น 3,379,163 ครอบครัวในปี พ.ศ. 2542
คำบอกเล่าของท้าวสยามเทวราชเรียกเสียงฮือฮาไปทั้งสวรรค์
จากการซื้อหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเมื่อต้นปี 2550 พบว่าเกษตรกรเป็นหนี้โดยประมาณ 172,375 บาท/ราย คำนวนแล้ว หนี้สินเกษตรกรรวมกันไม่น่าจะน้อยกว่า 1 ล้านล้านบาท
โห... เค้ากู้ไปทำอะไรกันเยอะแยะ?
เมื่อข้าว... กลายเป็นเพียง สินค้า ชาวนา... ก็เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการผลิตสินค้าเพคะ หรือแย่กว่านั้น ตอนนี้คำว่า รากหญ้า กำลังฮิตเพคะ เค้าเรียกคนที่ปลูกข้าวให้กินว่า รากหญ้า มารดาแห่งข้าวเล่าด้วยความอาดูร
อืม... เรียกซะโก้หรูเชียวนะ ใครวะช่างคิด (รึเปล่า?) ประธานการประชุมทรงประชด แต่...เดี๋ยวๆๆๆ... เดี๋ยวก่อน ชาวนาจะจนได้ไง แล้วไอ้เงินสองแสนล้านบาทที่ว่าขายข้าวได้มันไปไหนหมด?
... เงียบ... ไม่มีผู้ใดตอบข้อกังขาแห่งองค์พญาแถน
หม่อมฉันคงทูลได้แต่เพียงว่า... ยิ่งชาวไทยพัฒนาการผลิตการเกษตรให้มุ่งเป้าสู่การส่งออกมากเพียงใด ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนประชากรภาคการเกษตรที่ยากจน แบกภาระหนี้สินและอดอยากมากขึ้นเพียงนั้น องค์สยามเทวราชสรุป ...หากชาวนาถือว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยก็กำลังหลังเดาะหลังเดี้ยง หมอนรองกระดูกพัง ไขสันหลังแหวะหวะ ใกล้ถึงคราวอัมพาตเต็มทีแล้ว
อุวะ แล้วอย่างงี้ไทยจะรอดพ้นวิกฤตได้ยังไง ถ้าภาคการเกษตรไม่แข็งพอจะรองรับวิกฤตเหมือนทุกครั้ง ดูกหลังเดี้ยงแบบนี้?
... เงียบกันไปหมดทั้งสวรรค์
แล้วนี่มีใครตอบเราได้บ้างว่า เกิดอะไรขึ้นกับชาวนา ทำไมถึงได้ติดนงติดหนี้เค้า ทั้งที่ขายข้าวได้ที่หนึ่งของโลก?
...
ไม่มีใครรู้รึ? ...แล้วชาวนาเล่า พวกเขารู้หรือไม่?
...
กระดูกสันหลังของชาติรู้ตัวไหมว่าไทยใกล้จะเป็นอัมพาตเต็มทีแล้ว?
...
ปัญหามันเกิดมาจากอะไร?
...
แล้วสมควรแก้ไขอย่างไร?
...
ยังคงเป็นคำถามที่ไร้คำตอบ ความเงียบปกคลุมสรวงสวรรค์ชั่วขณะก่อนที่จะถูกเสียงหวานของเทพีแห่งข้าวทำลายไป
อ่า... หม่อมฉันคิดว่า หม่อมฉันพอจะทราบนะเพคะ... ทั้งเรื่องที่มนุษย์ช่วยกันทำร้ายหม่อมฉัน พระแม่ธรณีและพระแม่คงคา ทั้งคำถามที่ว่า ไทยขายข้าวได้มากมายแล้วไยชาวนายังยากจน ความจริง... สิ่งที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ ลูกโซ่ซึ่งดูไปคล้ายกับพันผูกเป็นปมยุ่งเหยิงยากเกินแก้ไข หากความจริงหนทางแก้ปัญหาลูกโซ่นี้ มิได้ยากเย็นอย่างที่เห็นเลย เพียงแต่ว่า...
เพียงแต่ว่า...?
เพียงแต่ว่า คนส่วนใหญ่ไม่รู้ กระทั่งตัวชาวนาเองก็ไม่รู้ ตราบใดที่ยังขาด...
ขาด...?
วีรบุรุษ!
วีรบุรุษ? เทวาทั้งชั้นฟ้าถามเป็นเสียงเดียวกัน
จากคุณ |
:
Acciacatura
|
เขียนเมื่อ |
:
19 มี.ค. 54 23:01:16
|
|
|
|
 |