 |
**** มาอ่านกันต่อค่ะ
เจ้านางกาสะลองประทับเหนือตั่งแล้ว จึงทรงโปรดให้นางข้าหลวงที่ตามเสด็จนั้นแยกตนไปร่วมงานได้โดยมิพักต้องพะวงกับองค์เอง เว้นเพียงเอื้องคำคนเดียวที่ไม่ยอมอยู่ห่างนายสาว ซ้ำยังปั้นหน้าขรึมเอาเสียด้วย ผู้เป็นนายถึงกับลอบระบายปัสสาสะยาวด้วยรู้ถึงความไม่ชอบใจของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ยามแลงที่เห็นองค์เองทรงภูษาเยี่ยงนี้แล้ว
จักหวงข้าไปถึงเมื่อใดพี่เอื้องคำ ยามม่วนก็ม่วนเสียให้เต็มที่เถิด
มิให้ข้าเจ้าหวงแลห่วงได้อย่างใดเจ้า อยากให้เจ้าหลวงแลเจ้านางหลวงมาทอดพระเนตรนัก เฮ้อ!
อย่าถอนใจเลยพี่ ข้ารู้ว่าข้าทำอันใดอยู่ ถึงเจ้าพ่อเจ้าแม่อยู่ด้วย ข้าก็จักแต่งเยี่ยงนี้ ไปเถิดพี่เอื้องคำ ไปม่วนกับคนอื่นๆ ข้ามิเป็นอันใดหรอกหนา
เอื้องคำยังคงดึงดันที่จักอยู่ต่อ เจ้านางกาสะลองมิรู้จักทรงทำประการใด จึงทรงเหลียวหาราชองครักษ์หนุ่มแลทรงใช้สายพระเนตรวิงวอนให้ช่วย แจ้งหล้าซึ่งเข้าใจพระประสงค์ของนายสาวชัดแจ้ง เห็นสีพระพักตร์ลำบากพระทัยเช่นนั้นก็เร่งลุกขึ้นมาเข้าเฝ้าทันใด แม้นคู่หมั้นของตนยังขืนอยู่ต่อ เห็นทีว่าสิ่งที่กะการณ์กันไว้คงไม่สัมฤทธิผลเป็นแม่นมั่น กว่าพระพี่เลี้ยงสาวจักยอมเลี่ยงหลบไปก็ใช้เพลานานพอดู เมื่อนางยอมแยกไปแล้ว เจ้านางกาสะลองแลแจ้งหล้าจึงทอดถอนใจออกมาแทบว่าจักพร้อมกัน
อิดอ่อนใจ๗แท้ พี่แจ้งหล้า
ทำอย่างใดได้เจ้า ใจแท้๘ข้าเจ้าก็ใช่จักเห็นด้วยที่ต้องทรงเปลืององค์เพียงนี้
ได้ผลมิใช่ฤๅ ให้พวกนั้นหมิ่นว่าข้าเป็นแม่ญิงมิรู้การของชายดั่งนี้ล่ะหนาเหมาะแล้ว ข้าจักได้รู้ว่ามีผู้ใดบ้างที่อยู่ข้างอุ่นเมือง แลผู้ใดที่อยู่ข้างเรา
เพียงเท่านี้ก็พอที่จักแยกออกได้แล้วเจ้า ทรงสัญญากับข้าเจ้าหนาเจ้า ว่าแม้นราตรีนี้การสำเร็จสมดังพระประสงค์ เจ้านางน้อยจักไม่ทรงเล่นเป็นแม่ญิงอ่อนเชิงอีกสืบไป
แม้นสำเร็จหนาพี่แจ้งหล้า ข้าเองก็อึดอัดที่ต้องแต่งตัวเยี่ยงนี้เฉกกัน
แจ้งหล้ายิ้มก่อนยกมือขึ้นไหว้สาแล้วผละออกไปอย่างรวดเร็ว ประจวบเหมาะกับที่เจ้าพนักงานยกโตกพระกระยาหารมาถวายพอดี จึงไม่มีผู้ใดติดใจสงสัยมากนัก มิหนำเสียงดุริยดนตรีของการแสดงนาฏยลำดับแรกยังเริ่มต้นทำนองเพลงฟ้อนขึ้นมาพร้อมกันเสียด้วย ความสนใจของทุกคนจึงเบนมาที่บรรดาช่างฟ้อนงามๆ ประจำราชสำนักซึ่งทยอยออกมากลางลานแสดงจนหมดสิ้น
ตลอดเพลาที่งานเลี้ยงดำเนินไปนั้น อุ่นเมืองแทบมิได้ละสายตาตนเองไปจากเจ้านางกาสะลองเลย ความรุ่มร้อนตลอดทั้งเรือนกายเรือนใจที่เกิดขึ้นเพลานี้ ยังให้เขาเรียกหาสุรามาดับความรู้สึกนั้นชนิดถ้วยต่อถ้วยจนใบหน้าแดงก่ำ ครั้นแล้วโดยมิมีผู้ใดคาดคิด ร่างสูงพลันลุกขึ้นจากที่นั่งของตนพลางฉวยน้ำต้นดินเผาบรรจุเมรัยรสดีติดมือไปด้วย เจ้านางกาสะลองกำลังทรงพระสำราญกับการแสดงนาฏยดนตรีเบื้องพระพักตร์อยู่ เมื่อแรกที่ทอดพระเนตรเงาคนลุกขึ้นจากที่นั่งของตนเองนั้นก็มิได้ทรงฉุกคิดอันใด ด้วยเข้าพระทัยว่าเป็นข้าราชบริพารหรือทหารหนุ่มๆ ที่ต้องการเข้ามาชมนางรำให้ใกล้ขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น แต่เมื่อเงานั้นเคลื่อนออกมาสู่กลางลานที่แสดงนั้น วรกายบางที่เอนองค์พิงพระขนนก็กลับหยัดองค์ประทับตรงทันใด พร้อมกับทรงโบกพระหัตถ์ให้นางรำเหล่านั้นถอยออกไปก่อน ท่ามกลางความตกใจของผู้ที่ร่วมอยู่ในงานนั้น แจ้งหล้าขยับลุกอย่างเตรียมพร้อม หากเจ้านางกาสะลองทรงปรายเนตรปรามมาเสียก่อน ด้วยทรงมีพระประสงค์ใคร่รู้ว่า อีกฝ่ายตั้งใจจักทำอันใดแน่
มีอันใดรึอุ่นเมือง ฤๅเจ้ารอเพลางานเลิกไม่ไหว จึงมาหารือราชกิจด้วยข้าเอาเพลานี้
สุรเสียงหวานใสตรัสถามเป็นเชิงเย้าราวกับมิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย ทั้งที่เพลานี้อุ่นเมืองเข้ามาหยุดยืนจนแทบว่าจักประชิดองค์ ข้าราชบริพารคนอื่นๆ จักเข้ามาดึงตัวออกไป หากเจ้านางกาสะลองทรงปรามไว้เสียก่อน
มิเป็นอันใด ปล่อยเขาเถิด ข้าเองก็ใคร่รู้ว่าอุ่นเมืองมีสิ่งใดเจรจาด้วยข้า ว่าแต่เจ้าเถิด ร่ำสุราจนลืมความควรไม่ควรแล้วฤๅอย่างใด จึงมายืนค้ำหัวข้าเยี่ยงนี้
ยินพระวาจานั้นแล้วคนฟังถึงกับสะอึกด้วยรู้ดีว่าตนมิได้เมามายจนขาดสติถึงเพียงนั้น หากที่ทำไปก็เพื่อจักแกล้งอีกฝ่ายให้ตกพระทัยเล่นแต่เพียงนั้น ทว่าเนตรคมคู่นั้นมีแววแห่งความรู้เท่าทัน แลมิได้ทรงมีท่าทีว่าจักตกพระทัยเลยสักน้อย ริมพระโอษฐ์สีทับทิมขยับแย้มอย่างเยาะน้อยๆ จนคนคิดเล่นพิเรนทร์ถึงกับหน้าร้อนผ่าว จำต้องถอยไปนั่งลงห่างจากตั่งที่ประทับในระยะที่พอเหมาะโดยดุษณี ท่ามกลางความโล่งใจของทุกฝ่าย
ข้าเจ้าขอสุมาเจ้านาง ข้าหมายจักให้เจ้านางได้ทรงชิมน้ำจัณฑ์รสเลิศของเวียงสบสองเท่านั้นเจ้า
อุ่นเมืองว่าเสียงอ้อแอ้ แสร้งทำเป็นนั่งคอพับคออ่อนราวกับเมาจริงๆ เพลานี้เขานึกออกแล้วว่ารอยยิ้มแลสายตาของแจ้งหล้าเมื่อตอนหัวค่ำนั้นเหมือนผู้ใด จักผิดกันก็แต่นิลน้ำงามคู่นี้มีแววแห่งอำนาจแฝงอยู่จนเขาไม่อาจจักขืนต่อด้วยอีกสืบไป นอกจากจักหลุบตาลงต่ำเท่านั้น
เมรัยเวียงสบสองที่เจ้าว่านั้นรสดีกระนั้นรึ จึงต้องนำมาให้ข้าด้วยตนเอง
รสดีนักเจ้า หวานหอม ทว่าแรงร้อนมิมีใดเสมอเหมือน แม้นทรงชิมสักน้อยจักติดพระทัย
นัยแห่งถ้อยวาจานั้นไยเจ้านางกาสะลองจักมิทรงล่วงรู้ ทอดพระเนตรคนที่นั่งยิ้มตาหยีอยู่เบื้องพระพักตร์แล้วก็ลอบถอนพระทัย การปกครองคนใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะคนเยี่ยงอุ่นเมือง หากมีอีกสักสิบคนเห็นจักทรงปวดเศียรเวียนเกล้ามิเว้นแต่ละวัน แม้นทรงเล่นด้วยมากนักก็จักกลายเป็นการทอดขัว๙ให้เสียอีก แต่จักให้ทรงเฉยก็อาจทำให้อีกฝ่ายตีความว่าทรงกลัว แลยิ่งทำให้ได้ใจมากไปเสียอีก ครั้นทรงละสายตาจากเจ้าคนบ้าบิ่นทอดพระเนตรข้าราชบริพารอื่นๆ ก็เห็นมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียว ฝ่ายเวียงสบสองบางคนมีแววยิ้มๆ เอาเสียด้วย ทรงนึกรู้ทันใด นี่คือราชกิจแรกที่ต้องทรงทำแลต้องสำเร็จลุล่วงด้วย
แม้นเจ้าว่ารสดีดั่งนั้นก็รินให้ข้าเถิด
ร่างสูงขยับคลานเข่าเข้ามารินน้ำจัณฑ์ถวายแต่โดยดี เจ้านางกาสะลองทรงหมุนถ้วยน้ำจัณฑ์เล่นในพระหัตถ์มิได้ยกขึ้นเสวยในทันที
ไยทรงลังเลนัก มิมีพิษอันใดหรอกเจ้า ในเมื่อข้าเจ้าเองก็ดื่มเฉกกัน
ทูลจบก็เทเมรัยลงถ้วยตนเองแลยกดื่มขึ้นทันใด นัยน์ตามีแววท้าทายเปิดเผย ขณะที่นายสาวสรวลในพระศอก่อนตรัสสุรเสียงเย็น
ผู้ใดว่าเมรัยไร้ซึ่งพิษ เมรัยยิ่งหอมแลหวานมากเท่าใด พิษแห่งมันก็มีมากตามไปด้วย เพราะมันจักทำให้ผู้ที่ดื่มติดใจในรสเรียกหาอยู่ตลอดเพลา กว่าจักรู้ตนก็ขาดสติไปเสียแล้ว ฤๅเจ้าว่าไม่จริง ไม่ทรงรอให้อีกฝ่ายทูลตอบว่าอันใด กลับตรัสสืบไปว่า
สติเป็นสิ่งสำคัญ การทำสิ่งใดต้องมีสติคอยคุมไว้เสมอ แม้กระทั่งการดื่มเมรัย จริงฤๅไม่อุ่นเมือง
คนลองดีถึงกับหน้าม้านไม่คิดว่าเจ้านางน้อยเพิ่งชันษาเต็ม ๑๕ จักทรงมีพระปรีชาตอกกลับตนเฉกนี้ เจ้านางกาสะลองสรวลเบาๆ ก่อนทรงยกเมรัยขึ้นจิบทีละน้อย ข้าราชบริพารฝ่ายเวียงฟ้าแลฝ่ายเวียงสบสองที่ยอมรับเจ้านางน้อยโดยใจสมัครต่างลอบยิ้มอย่างสาแก่ใจที่อุ่นเมืองถูกโต้กลับดั่งนี้ ส่วนฝ่ายที่ยังสองจิตสองใจอยู่ก็เริ่มเอนเอียงไปข้างยอมรับมากขึ้น หากมีผู้ใดจับสังเกตอุ่นเมืองสักน้อยก็จักเห็นว่า แม้เขาจักเสียทีเจ้านางกาสะลองก็ตาม แต่สายตาที่มองผู้เป็นนายนั้นเริ่มแปรเปลี่ยน จากที่หมิ่นหยามมาแต่เดิมนั้นมาบัดนี้เริ่มมีแววแห่งความชื่นชมฉายชัดมากขึ้น เช่นเดียวกับความรู้สึกบางประการที่เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของแม่ทัพหนุ่ม ถึงเพลานี้เจ้าตัวจักยังมิรู้ตนก็ตามที
อุ่นเมืองมันมิเคยรู้จักเจ้าหลวงเมืองคำแลเจ้านางหลวงเนตรดารา หาไม่มันคงมิกล้าทำเช่นนี้เป็นแม่นมั่น
เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาเบาๆ ทางฝั่งเวียงสบสอง ข้าราชบริพารเก่าแก่ยินคำนั้นก็ยิ้มน้อยๆ มิได้ต่อความว่าอันใด หากสีหน้าบอกชัดว่าเห็นด้วยกับคนพูดใช่น้อย แต่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เข้ามารับราชการภายหลังเจ้านางหลวงเนตรดาราทรงอภิเษกแล้ว กลับเป็นฝ่ายถามด้วยความอยากรู้แทน
ท่านน้อยอินทร์ ไฉนท่านจึงบอกว่าหากอุ่นเมืองรู้จักเจ้าหลวงเมืองคำแลเจ้านางหลวงแล้วจักมิกล้าทำดั่งนี้เล่า
แม่ทัพใหญ่น้อยอินทร์มองหน้าคนถามเพียงแวบเดียวเท่านั้น ก่อนตอบว่า
คอยดูต่อไปเองเถิด เจ้าจักกระจ่างใจเองว่าไยข้าจึงพูดเช่นนี้ เพลานี้ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่า อย่าได้คิดหมิ่นหยามเจ้านางน้อยกาสะลองเหตุเพราะทรงเป็นแม่ญิงก็พอ
ไยน้อยอินทร์จักมิรู้ ว่าเจ้านางกาสะลองทรงเป็นลูกไม้หล่นมิไกลต้นโดยแท้ ความเฉลียวฉลาดแลความปราดเปรื่องอันใดที่พระราชบิดาพระราชมารดาทรงมีนั้น บัดนี้ได้มารวมกันอยู่ในองค์เองจนสิ้น แลเพลานี้ก็ทรงแสดงเป็นที่ประจักษ์แล้ว แม่ทัพเฒ่ามั่นใจนัก เวียงสบสองจักต้องรุ่งเรืองแลเรืองนามไปทั่วทุกเขตแคว้นภายใต้ร่มเงาของเจ้าหลวงพระองค์นี้ เจ้าหลวงกาสะลอง!
อริญชย์
********************************
หมายเหตุ
๑ อิด เป็นภาษาคำเมือง แปลว่า เหนื่อย
๒ ใค่หัว เป็นภาษาคำเมือง แปลว่า หัวเราะ
๓ แลง เป็นภาษาคำเมือง แปลว่า ตอนเย็น (ตรงข้ามกับงายนะคะ ยามงาย คือเวลาเช้า ส่วนกลางวัน เรียกเมื่อตอน หรือยามตอนค่ะ อย่างข้าวเช้า ข้าวกลางวัน ข้าวเย็น ก็จะพูดว่า ข้าวงาย ข้าวตอน ข้าวแลง ตามลำดับค่ะ ^^)
๔ ตัวแพ้ เป็นภาษาคำเมือง แปลเป็นภาษาไทยได้ความประมาณว่า เป็นคนที่ทันเล่ห์ทันเหลี่ยมกัน รู้ทันจนเอาชนะกันได้ค่ะ (คำเมืองบางคำแปลเป็นไทยได้ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย ^^" )
๕ จิ่ม คำนี้อินติดมาจากภาษาวรรณคดีค่ะ แปลว่า จวนเจียน เกือบจะ (สงสัยอินจะติดภาษาแบบนี้มากไป จนน้องที่ดูแลเรื่องดาราฯ ของประพันธ์สาส์นอยู่ มีแซวๆ มาว่า ภาษาแบบนี้ไม่ค่อยเห็นใครเขียนแล้วนะ คนเขียนจบเอกวรรณคดีมารึเปล่าเนี่ย อยากบอกใจแทบขาดว่า วรรณคดีกะอินเป็นขมิ้นกับปูนทีเดียวเชียว อินจบสายภาษาศาสตร์ต่างหาก เฮ้อ --" )
๖ ม่วน เป็นภาษาคำเมือง แปลว่า สนุก
๗ ตะวา เป็นภาษาคำเมือง แปลว่า เมื่อวานนี้ (คำนี้อินจะใช้แบบพ่วงคำแปลไปในตัวเลย คือ ตะวาวันวาน นะคะ)
๘ ใจแท้ เป็นภาษาคำเมือง แปลว่า ใจจริง (แท้ คำเมือง แปลเป็นภาษาไทยว่า จริง ค่ะ)
๙ ขัว เป็นภาษาคำเมือง แปลว่า สะพาน ค่ะ
อันนี้แถมนิดนึง เป็นศัพท์จากบทก่อนค่ะ อินลืมใส่คำแปลให้ แหะๆ
- ใค่หัวหมั่นๆ อันนี้แปลว่า หัวเราะบ่อยๆ (หมั่น เป็นคำเมือง แปลว่า บ่อยๆ หรือขยันก็ได้ค่ะ แล้วแต่รูปประโยค)
- นอนแพร คำนี้เป็นภาษาที่ปรากฏในพงศาวดารไทใหญ่ แปลว่า ตาย ค่ะ
- ขะจั๋ย แปลว่า เร็วๆ , รีบๆ
- อีกสักกำ แปลว่า อีกสักครู่ (ถ้ากำเดียว แปลว่า เดี๋ยวเดียวนะคะ)
- เมิน แปลว่า นาน
แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 54 14:24:44
จากคุณ |
:
อริญชย์ (อินทรายุธ)
|
เขียนเมื่อ |
:
20 มี.ค. 54 13:51:00
|
|
|
|
 |