Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปพิษฐาน ตอนที่ 5 ติดต่อทีมงาน

ความเดิม จากตอนที่ 4 ครับ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10352625/W10352625.html

บทที่ 5

     ศาปานต์เป็นคนแรกที่มองเห็นบุรุษหน่มใหญ่ผู้นั้นก้าวผ่านออกมาจากเงามืดของลานเฉลียง ร่างสูงใหญ่จนแทบผงาดเงื้อมอยู่เหนือศีรษะ หากก็ยังดูแข็งแกร่งและมีพลังอำนาจอยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะสายตาคมกล้าจ้องมองมาที่หล่อนจนรู้สึกได้ชัดเจน

      วูบนั้นเองที่หล่อนขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างประหลาด เป็นเหมือนสังหรณ์บางอย่างที่เตือนขึ้นให้ระมัดระวังต่อชายแปลกหน้าคนนี้โดยไม่อาจตอบตัวเองได้ว่ามาจากสาเหตุใด

     “ยินดีที่ได้รู้จักครับ หนูสิ... หนูป่าน”

     ท้ายเสียงของเขาทิ้งลงพร้อมกับสายตานิ่งๆเหมือนบ่อน้ำลึกเกินคาดหยั่ง จ้องจับมาโดยชัดเจนและมีเป้าหมาย

     การสนทนาในค่ำคืนนั้นเป็นไปอย่างออกรสระหว่างสองพี่น้องต่างวัยซึ่งเป็นเสมือนเจ้าภาพของงานนี้ โดยมีสิชลเป็นฝ่ายพูดคุยเสริมรสอย่างสนุกสนาน ดูเหมือนจะมีเพียงผู้กองหนุ่มหน้าเข้มและศาปานต์เท่านั้นที่สงวนท่าทีในการสนทนามากกว่าคนอื่น หากก็ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน

     พระแสง พยายามสังเกตท่าทีนายหัวฉัตร ผู้ที่เขาเคยได้ยินกิติศัพท์มาก่อนหน้านี้แล้ว... ทั้งในด้านบวกและลบ!

      ในขณะที่ศาปานต์ระมัดระวังตัวจากสังหรณ์ประหลาด สังหรณ์ที่บอกให้พยายามถอยห่างบุรุษวัยฉกรรจ์ท่าทางทรงอำนาจผู้นี้ไปให้ไกลที่สุด ทั้งที่มันไม่มีเหตุผลใดๆมารองรับเลยแม้แต่น้อย!

    แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็พยายามที่จะทำความเข้าใจและรู้จักหล่อนให้มากที่สุดเช่นเดียวกัน โดยผ่านทางสิชล เพื่อนสาวที่ยังสนุกกับการพูดคุยไม่หยุดปากอยู่นั่นเอง

     “ร้านนี้เป็นร้านที่เปิดมานานแล้วครับ ผมรู้จักกับเจ้าของร้านเป็นอย่างดี เขาเป็นคนตะกั่วป่า ก็เลยตั้งชื่อร้านว่า กรุงตะโกลา”

     “ตะโกลาหมายถึงตะกั่วป่าหรือคะ? สิเองกลับไม่ยักรู้เลยนะเนี่ย”

     ชิงฉัตรเอนกายพิงพนักเก้าอี้ไม้อย่างสบายอารมณ์ พลางวางแขนเหยียดลงบนพนักด้วยท่าทีผ่อนคลายอย่างคนที่มั่นใจในตัวเอง นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกายพราวเมื่อเขาขออนุญาตจุดบุหรี่สูบและเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรื่อยเหมือนกำลังเล่านิทานสักเรื่องหนึ่ง

      “เมืองนี้บางแห่งเขาก็เรียกว่า ตักโกลาครับ โกละหรือโกลาคือกระวาน ตักก็คือตลาด ในอดีตเชื่อว่าเป็นเมืองท่าโบราณที่พ่อจากโลกตะวันตกนิยมเดนเรือมาค้าขาย และบางตำราก็สันนิษฐานว่าเมืองแงนี้น่าจะอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรมาลายู อย่างเมืองตะกั่วป่าบริเวณปากน้ำหรือไม่ก็อาจจะหมายถึงเมืองตรังก็ได้”

    รสลินกอดอกเบ้ปากเล็กน้อย นิทานดึกดำบรรพ์พวกนี้หล่อนเคยฟังโกฉัตรเล่ามามั่งไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว พี่ชายคนเดียวของหล่อนมีลักษณะที่ตรงกันข้ามหลายอย่างรวมกันอยู่ในบุคลิกของคนเพียงคนเดียว

      ในบางขณะเขาก็ไม่สนใจแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกของใคร ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เหมือนกับพวกวัตถุนิยมทั้งหลาย แต่ในขณะเดียวกันก็กลับมีความสนใจในประวัติศาสตร์ข้อมูลทางโบราณคดีต่างๆมากมาย จนกลายเป็นความคลั่งไคล้ ในคฤหาสน์ที่ตกแต่งตามใจรสลินสไตล์หลุยส์ยุโรปอย่างที่หล่อนต้องการนั้น แต่ภายในกลับประดับประดาด้วยข้าวของเครื่องใช้ของคนไทยโบราณที่โกฉัตรเสาะหามาสะสม ไม่ใช่เพื่อส่งเสริมฐานะบารมี แต่ด้วยความสนใจใคร่รู้อย่างรู้ลึกและรู้จริง จนบางครั้งรสลินก็รู้สึกเหมือนพี่ชายจะมีสองคนอยู่ในร่างเดียวกัน!!

     “โกฉัตรจบทางโบราณคดีมารึเปล่าคะนี่ สิเรียนภาษาไทย วรรณคดีไทยมาโดยตรงยังไม่รู้รายละเอียดลึกซึ้งพวกนี้มาก่อนเลย”

    นายหัวผิวเข้มนัยน์ตาเป็นประกายรื่นรมย์

     “ผมสนใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นอยู่แล้วครับ และการที่เราทำงานให้กับชุมชน การเรียนรู้รากเหง้าของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ ก็จะทำให้เรามองเห็นสภาพปัญหาต่างๆของท้องถิ่นเราด้วยสายตาที่เป็นจริงและเข้าใจมากขึ้น”

     สิชลพยักหน้ารับอย่างชื่นชม เขาได้หัวใจของหล่อนไปเต็มๆ ในขณะที่ศาปานต์มองเห็น “จิตวิทยา” ในการพูดของชิงฉัตร ธารานพรัตน์ได้โดดเด่นชัดเจนขึ้นเช่นเดียวกัน รู้สึกว่าเขามีกลวิธีในการพูดให้คนชื่นชมและศรัทธาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดนั้นออกมาจากความรู้สึกส่วนลึกในใจจริงดังว่าหรือเปล่า?

     อย่างน้อยสิชลก็คงจะลงคะแนนเสียงให้ไปแล้วโดยไม่มีข้อกังขา...

     “เหมือนกับเมืองกระบี่นี่ก็เช่นกันแหละครับ พวกคุณคงได้เคยได้ยินเรื่องลูกปัดโบราณคลองท่อมที่กำลังโด่งดังไปทั่วประเทศในตอนนี้”

     เมื่อเห็นทุกคนพยักหน้ารับ โกฉัตรก็กล่าวต่อไป นัยน์ตาคมกล้าของเขาทอดมองมาที่ศาปานต์บ่อยครั้งหากก็มิได้ให้เป็นที่ผิดสังเกตต่อคนอื่น

     “ในอดีต กระบี่ก็เป็นหนึ่งในเมืองเอกสิบสองเมืองของอาณาจักรตามพรลิงค์ ซึ่งมีนครศรีธรรมราชเป็นเมืองศูนย์กลาง และเจริญก้าวหน้าอย่างยิ่งในสมัยพุทธศตวรรษที่สิบหก ตอนนั้นยังมีการใช้ตราสิบสองนักษัตรเป็นตราประจำเมือง อย่างเมืองสายบุรีก็ใช้สัญลักษณ์เป็นรูปตัวหนู ปัตตานีเป็นวัว กลันตันเป็นเสือและกระบี่หรือในชื่อบันทายสมอก็คือรูปลิง ซึ่งนี่อาจจะเป็นข้อสันนิษฐานอย่างหนึ่งว่าชื่อกระบี่น่าจะมาจากความหมายของลิง ตามตราสิบสองนักษัตรนี้ด้วย”

   “ไม่ใช่หมายถึงอาวุธกระบี่หรือคะ?”

     ศาปานต์เอ่ยขึ้นมาบ้าง

     “คุณป่านอาจเห็นจากตราสัญลักษณ์ของจังหวัดเป็นรูปกระบี่ไขว้หรือเปล่าครับ นั่นก็เป็นอีกข้อสันนิษฐานหนึ่งเหมือนกันครับ ข้อคิดเห็นนี้นักประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งเชื่อว่ามาจากคำว่า ปกาไสย ซึ่งเป็นชื่อแขวงของเมืองกระบี่ในสมัยโบราณ ปกาหรือปากา แปลว่าดาบหรือกระบี่ และมีข้อมูลการขุดค้นทางโบราณคดีพบดาบโบราณ ก็เลยโยงเข้าหาชื่อของเมืองนี้ไปโดยปริยาย”

    “กรุงปกาไสย?”

     ชื่อนั้นคล้ายติดอยู่แนบกับความคิดของศาปานต์จนเผลออุทานออกมา เหมือนกับชื่อดังกล่าวจะสะท้อนก้องออกจากริมฝีปากหนาของนายหัวชิงฉัตรแล้วแผ่ขยายสัญญาณเสียงให้ทวีคูณเข้มข้นขึ้นทุกขณะ

    ปกาไสย ปากาไสย ปากา... ปักกา!!

    กุรุงปักกา!!!

                              *******************
   
    “ศาปานต์!!”

    เป็นผู้กองพระแสงรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว นายตำรวจหนุ่มถลันพรวดเดียวก็ตรงเข้าช้อนร่างของหญิงสาวที่ทรุดหงายล้มคะมำลงไปจากเก้าอี้ไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่ศีรษะของเด็กสาวจะกระแทกกับพื้นระเบียงด้านหลัง

    “ยายป่านเป็นลม...”

    สิชลเสียอีกที่ทำอะไรไม่ถูก เด็กสาวก๋ากั่นได้แต่ยืนละล้าละลังอยู่กับที่ จนพนักงานของร้านอาหารเข้ามาช่วยประคองร่างศาปานต์แล้วแนะนำให้พาเข้าไปนั่งยังห้องปรับอากาศด้านในแทน พระแสงพยักหน้ารับทราบอย่างเคร่งขรึม ชายหนุ่มเป็นฝ่ายช้อนร่างบอบบางนั้นไว้ด้วยตัวเอง เขาค่อยพยุงและช้อนอุ้มร่างที่อ่อนปวกเปียกขึ้นไว้ในวงแขนอย่างง่ายดายราวกับเบาน้ำหนัก แล้วจึงเดินตามบริกรหนุ่มเข้าไป

    ทุกอิริยาบถของผู้กองหนุ่มตกอยู่ในสายตาเขม็งมั่นของนายหัวฉัตรตลอดเวลา โดยอีกฝ่ายมิได้ปริปากอะไร เขาวางบทบาทของเจ้าภาพที่ดีด้วยการกันคนอื่นให้อยู่ในความสงบด้วยความนุ่มนวล ติดต่อเจรจากับเจ้าของร้านอาหารที่รู้จักกันมาก่อน แล้วจึงตามเข้าไปในภายหลัง ด้วยท่าทีอันแสดงถึงความห่วงใยอาทรอย่างผู้อาวุโสมีต่อเด็กสาว และสังเกตอากัปกิริยาของพระแสงไปในตัว

    แต่แรกชิงฉัตรก็มิได้สังเกตความผิดปกติใดๆ จนเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้น เขาจึงเริ่มมองเห็นถึงความรู้สึกบางอย่างคล้ายจะซ่อนเอาไว้ในความรู้สึกของผู้กองฉายาเสือยิ้มยากคนนี้

     ความตกใจ และห่วงกังวล... ที่อาจจะนำไปสู่ความรู้สึกอื่นใดเหนือไปกว่านี้ในอนาคตก็เป็นได้ วูบนั้น นายหัวปักษ์ใต้จึงเริ่มคิดในใจขึ้นเป็นครั้งแรก

     ทั้งห่วงอาหลิน น้องสาวสุดที่รักเพียงคนเดียว และความรู้สึกที่มั่นใจเป็นอย่างยิ่งของตนเองต่อศาปานต์

    ดูเหมือนว่าชายหนุ่มที่เขาปั้นมือว่าจะมาเป็นว่าที่น้องเขย กำลังจะทำตัวเป็นปรปักษ์กับเขาอย่างชัดเจนเสียแล้ว... ในสนามของความรัก!!

                         ****************************

       “เป็นอะไรนักหนานะ ยายเด็กคนนี้ สงสัยว่าจะออดอ้อนผู้กองพระแสงน่ะไม่ว่า”
     รสลินยืนจุดบุหรี่สูบอยู่ที่ด้านนอกอาคารผู้ป่วยด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อผู้กองหนุ่มตัดสินใจพา “นังเด็กสาวป่าน” มาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และตัดสินใจให้นอนพักอยู่ที่นั่นเพื่อสังเกตอาการ

     ยิ่งเมื่อรู้ว่า นังเด็กป่าน เป็นแค่เพื่อนของ “น้องสิ” และตามมาเที่ยวกระบี่เฉยๆ ท่าทางของมันก่อความรู้สึกระคายใจเหมือนมีหนามแหลมเล็กๆเข้ามาทิ่มตำ แม้จะไม่ถึงกับเจ็บปวดแต่ก็ก่อความรำคาญให้เกิดขึ้นมิใช่น้อย

     “แกอาจจะอ่อนเพลียจากการเดินทางก็ได้ครับ ผมว่ายังไงให้นอนอยู่ที่นี่สักคืน ในความดูแลของแพทย์ แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับจะดีกว่า”

    นายแพทย์ออกความเห็น หลังจากตรวจเช็คสุขภาพร่างกายและซักประวัติไปบ้างแล้ว นายหัวฉัตรอาสาเป็นเจ้าของไข้เอง ด้วยท่าทีที่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ

     “ถือว่าผมขอรับผิดชอบแล้วกันนะครับ จริงๆแล้วผมก็ยายหลินเป็นฝ่ายตั้งใจเชิญพวกคุณมารับประทานอาหารที่นี่อยู่แล้ว”

    พระแสงไม่อาจปฏิเสธทั้งที่เขาเองก็รู้สึก “ไม่ถูกชะตา” อย่างประหลาด กับพี่ชายของรสลิน คนนี้ตั้งแต่แรก อาจจะด้วยกิติศัพท์หรือข้อมูลที่เคยรับทราบมาก่อน หรือสายตาที่บอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร ในยามที่เหลือบมองมายังศาปานต์

    เขาไม่ปฏิเสธในพลังอำนาจและบารมีของบุรุษหนุ่มใหญ่ผู้นี้ แม้ว่าในบางอย่างที่สัมผัสเป็นความเคลือบแคลงสงสัยที่ยังมิอาจพิสูจน์ได้

    ชิงฉัตรก้าวเดินออกมาจากเคาน์เตอร์หลังจากติดต่อ “เคลียร์”ทุกอย่างกับทางโรงพยาบาลที่คุ้นเคยเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าเข้มยังยิ้มให้กับนายตำรวจหนุ่มเมื่อเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

    “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ ผมติดต่อพยาบาลพิเศษให้คอยเฝ้าคุณป่านไว้แล้ว หมอบอกว่าพรุ่งนี้คงกลับได้”

    นายหัวหนุ่มใหญ่พูดเหมือนกับตนเองเป็นผู้ดูแลทุกอย่างรวมทั้งชีวิตของศาปานต์ โดยมีเขาและสิชล ไม่ต่างกับเป็นตัวประกอบเล็กๆสักตัวสำหรับเรื่องนี้

    “ว่าแต่ผู้กองจะกลับหรือยังครับ ผมฝากส่งยายหลินด้วยนะครับ พอดีให้คนที่บ้านขับรถกลับไปตั้งแต่ที่ร้านอาหารแล้ว ส่วนผมว่าจะไปธุระต่อ”

    พระแสงรับปากด้วยมารยาทแม้จะรู้ว่าภายใต้น้ำเสียงสุภาพนุ่มนวลของว่าที่นักการเมืองท้องถิ่นจะเป็นเชิงบังคับอยู่กลายๆ

    “ขอบคุณนะครับ ยินดีอย่างยิ่งที่เราได้รู้จักกัน และหวังว่าคงมีโอกาสได้ติดต่อร่วมงานหรืออื่นๆต่อไปนะครับ”

    โดยไม่รอให้เขาตอบ ร่างสูงท้วมก็เดินห่างออกไปทางประตูด้านหน้า พระแสงตั้งใจจะก้าวเข้าไปในห้องพักคนไข้ แต่พยาบาลสาวผู้ดูแลก็ออกมาบอกว่าศาปานต์หลับไปแล้ว อยากจะให้หญิงสาวได้พักผ่อนเต็มที่ เขาจึงจำต้องกลับออกไปด้วยความผิดหวังพร้อมกับสิชล โดยที่รสลินรออยู่แล้วด้านนอก

   “เสียดายนะคะ สิว่าคืนนี้จะอยู่เฝ้ายายป่านซะหน่อย โกฉัตรก็ติดต่อพยาบาลพิเศษไว้เสียก่อน”

    เจ้าหล่อนบ่นเบาๆ และเมื่อเห็นรสลินเดินเข้ามาสมทบสิชลก็เงียบเสียงลงทันที ท่าทีหน้านิ่วคิ้วขมวดของน้องสาวนายหัวฉัตร น่าจะเป็นธรรมชาติอันแท้จริงที่ไม่ทันได้ปิดบังอีกต่อไป อากาศที่ร้อนอบอ้าว และเวลาที่ล่วงเข้าวันใหม่ เริ่มทำให้อารมณ์ผ่องแผ้วรื่นรมย์ของรสลินเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดร้อนรุ่มจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้

    “ไปรึยังคะ หรือว่าผู้กองจะอยู่เฝ้าคุณหนูป่านที่นี่ทั้งคืนดีคะ?”

    เสียงของหล่อนไม่เบานัก โดยเฉพาะการเน้นประโยค “คุณหนูป่าน” เป็นการประชดให้รู้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะไม่มีใครอยู่แถวนั้นก็ตาม แต่ก็ทำให้พระแสงหน้าเข้มขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขรึมนิ่งตามแบบฉบับ

    “ป่านมาพักอยู่กับผมในฐานะเพื่อนของยายสิ ถึงยังไงก็เป็นความรับผิดชอบที่ต้องดูแลอยู่แล้วครับ แต่พอดีพี่ชายคุณติดต่อพยาบาลพิเศษเอาไว้ก่อนแล้ว และฝากให้ผมไปส่งคุณที่บ้านด้วย นี่ก็ดึงมากแล้ว เราจะไปกันรึยังล่ะครับคุณหลิน?”

    เขาเอ่ยตัดบทช้าๆ และรสลินก็อารมณ์เริ่มเย็นลงบ้างแล้วเมื่อได้ยินเสียงเข้มๆของเขา ให้ตายเถอะ! ดินเนอร์มื้อนี้ ช่างเป็นมื้อที่ฝาดเฝื่อนเต็มทน และมันคงจะดีกว่านี้ ถ้าหากว่าไม่มีนังเด็กเจ้าสำออยคนนั้น

    ...ศาปานต์!!

                             *************************

    หล่อนเผลอหลับไปนานเท่าใดกันนี่? ศาปานต์รู้สึกถึงความรู้สึกอ่อนเพลียถั่งโถมเข้ามาพร้อมกัน ภายหลังจาก...

    เด็กสาวพยายามทบทวนความทรงจำอีกครั้ง เหมือนกับสวิทช์ทั้งหมดในร่างกายถูกกดปิดลงพร้อมกันโดยไม่ทันตั้งตัว ใช่! ตั้งแต่คำๆคำนั้นที่เกี่ยวโยงกันอย่างประหลาด จากคำพูดของนายหัวฉัตรที่เอ่ยเป็นคำสุดท้าย

    ปกาไสย... จนนำมาสู่ กุรุงปักกา!!

     กุรุงปักกา... เพียงแค่นึกถึงชื่อนั้นขุมขนก็ลุกชันขึ้นมาทั้งที่อากาศมิได้หนาวยะเยือกแต่ประการใด ศาปานต์รู้สึกว่าเหมือนมีพลังอำนาจบางอย่างต่อตนเองอย่างหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ ชื่อทำให้หล่อนรู้สึกว่ามีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่อย่างเป็นปริศนา ทั้งที่มั่นใจว่าไม่เคยได้ยินคำๆนี้จากที่ใดมาก่อน

    กุรุงปักกา? มันหมายถึงสถานที่ใดกัน หรือหมายถึงแขวงปกาไสย อย่างที่นายหัวฉัตรเอ่ยถึงโดยมิเจตนานั้น?

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นเพียงแผ่วเบาและหล่อนก็ชันกายลุกขึ้นจากเตียงนอน แสงไฟสลัวเหนือผนังห้องส่องให้เห็นร่างพยาบาลสาวนอนซบนิ่งกับที่นอนเฝ้าไข้ด้านข้าง ศาปานต์ตั้งใจจะเอ่ยเรียกปลุก แต่ประตูห้องก็หมุนดังกริ๊กขึ้นก่อนในความเงียบ แล้วบานประตูทั้งบานก็เปิดแง้มออกจากกัน

    ร่างๆหนึ่งก็ก้าวผ่านเข้ามาอย่างเงียบกริบ... หากมีผลให้หล่อนถึงกับอุทานด้วยความประหลาดใจ

    คุณสิงหบดี!!

    ในอุ้งมือของเขามีช่อดอกไม้สีขาวสะอาดส่งกลิ่นหอมระรวยริน ชายหนุ่มเดินเข้ามาช้าๆและหยุดนิ่งอยู่ที่ปลายเตียง

    “โปรดเรียกผมว่าสิงห์... สิงหรา...”

    ท้ายเสียงนั้นแผ่วเบาจนหล่อนจับใจความแทบไม่ได้ นัยน์ตาอีกฝ่ายคล้ายจะพยายามบ่งบอกบางสิ่งให้รับรู้ แต่ก็หยุดชะงักเอาไว้เสียก่อน

    “ผมมาเยี่ยม ทราบว่าคุณป่านไม่สบาย”

    “เอ้อ...ค่ะ”

   ศาปานต์ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เหมือนเวลาทุกอย่างหยุดอยู่กับที่ มีเพียงหล่อนและเขาอยู่กันเพียงสองคนเท่านั้น รอยยิ้มเบิกขึ้นบนใบหน้าของเขาเพียงนิดเดียว มีความเคร่งเครียดที่อ่านไม่ออกปรากฏบนใบหน้าคมคายนั้น เป็นเหมือนความลังเล ไม่แน่ใจบางอย่าง...

    “ผมคงต้องรีบไปแล้ว มีเวลาไม่มาก แต่ก็อยากให้ทราบว่าเป็นห่วงคุณมาก... มากเหลือเกิน”

    คำพูดนั้นอ่อนโยนนักจนหล่อนสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากผู้พูด รู้สึกวาบลึกไปกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล ศาปานต์ไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่าเอ่ยขอบคุณ

    “แล้วคุณสิงห์จะเดินทางกลับเกาะนกยูงแล้วหรือคะ?”

    บางอย่างทำให้หล่อนเอ่ยออกไป ประกายเรืองรองเปล่งขึ้นกลางนัยน์ตาคมจัดคู่นั้นเมื่อหล่อนเอ่ยจบ สิงหบดีพยักหน้าน้อยๆ

    “ผมมีธุระในเมืองอีกสองสามวัน และจากนั้นก็จะกลับครับ ถ้าคุณป่านไม่รังเกียจ ผมขอเชิญให้ไปเยือนเกาะนกยูงด้วยกัน พวกเราคงจะยินดีมาก”

    “พวกเรา...?”

    หล่อนทวนคำด้วยความฉงนฉงาย ชายหนุ่มรูปงามหัวเราะในลำคอเบาๆ นัยน์ตายังเป็นประกายเจิดจรัส

    “หมายถึงครอบครัวของผมเองครับ เราไม่เคยเชื้อเชิญแขกคนไหนมาเยือนเกาะนกยูงมาก่อน พวกเขาน่าจะดีใจที่ได้พบกับคุณ”

    “ค่ะ”

    บางอย่างทำให้ศาปานต์ตอบออกไปอย่างลืมตัว ช่อดอกไม้กลิ่นหอมจัดวางลงที่อ้อมแขน และหล่อนก็สูดมันเข้าไปด้วยความสดชื่น เห็นนัยน์ตาชายหนุ่มพราวพราย... และหมายมาด!

    “การะบุหนิง... ที่คุณชอบ”

    ความสงสัยต่อชื่ออันประหลาดนั้นมลายหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อความง่วงงุนเคลื่อนเข้าครอบงำสติสัมปชัญญะ ศาปานต์ยกมือแตะริมฝีปากกลั้นหาว ขณะที่สิงหบดีค้อมศีรษะลงเอ่ยอำลาแล้วถอยห่างออกไปช้า ราวกับภาพในความฝัน

   “แล้วเราจะได้พบกัน... ศาปานต์ ผมจะรอคุณที่นั่น รอคุณ...”

    “คุณสิงหบดี”

    กลิ่นหอมรวยรินของดอกไม้ชื่อประหลาดกำซาบนาสา และส่งให้หล่อนเดินทางเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันแม้แต่จะเอ่ยลาอีกฝ่าย...

                           *************************

    พยาบาลบุหงาตื่นขึ้นเอาเกือบตีห้าครึ่งของวันใหม่ด้วยความตระหนก หล่อนไม่เคยหลับยาวนานขนาดนี้มาก่อน... ในระหว่างการขึ้นเวรดึก!

    เมื่อคืนหล่อนนอนอ่านนิตยสารไปสักพัก เมื่อเห็นว่าคนไข้พิเศษของนายหัวฉัตรทานยาและหลับไปแล้ว หลังจากนั้นก็ให้รู้สึกง่วงจนทนไม่ไหว บุหงาไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไร จนรู้สึกตัวอีกครั้งก็เกือบจะเช้า!!

    โชคดีที่ไม่มีใครเข้ามาตรวจ ไม่เช่นนั้นหล่อนอาจจะถูกเขียนรายงาน บกพร่องในหน้าที่ไปเสียอีกด้วย โดยเฉพาะถ้าล่วงรู้ถึงนายหัวฉัตร... เจ้าของไข้ผู้ป่วยพิเศษคนนี้

    บุหงาเอนกายขึ้นแล้วเพ่งมองร่างน้อยของนางสาวศาปานต์ที่นอนเอนอยู่เบื้องหน้าด้วยความพิศวง ท่าทางเด็กสาวตัวเล็กๆไม่ประสีประสาอะไรเลยนอกจากหน้าตาสะสวยคนนี้ จะมีความสำคัญขนาดทำให้นายหัวคนดังของจังหวัด เดินทางมาส่งและรับเป็นเจ้าของไข้ด้วยตัวเอง?? นี่ยังไม่นับนายตำรวจหนุ่มหน้าเข้มที่ตามมาด้วยกันนั่นอีก

    “ดูแลคุณป่านให้ดีที่สุดนะบุหงา แล้วผมจะมีรางวัลพิเศษเพิ่มให้อีก”

    คำสั่งแกมกำชับของเขา ทำให้หล่อนทั้งดีใจและหวั่นวิตกไปพร้อมกัน รู้ถึงชื่อเสียงกิติศัพท์ความเข้มงวดจริงจังและกล้าได้กล้าเสียอย่าง “นักเลง” ของโกฉัตรเป็นอย่างดี ทุกคนรู้ดีว่าถ้าโกฉัตรประสงค์สิ่งใดแล้ว... ต้องได้! แม้ว่าจะต้องใช้ความอดทนหรือระยะเวลาอันยาวนานสักเท่าใดก็ตาม หรือแม้ว่า... สิ่งนั้นจะต้องแลกมาด้วยวิธีการใดก็ตามเช่นกัน!

    ตัวอย่างของนักการเมืองท้องถิ่นคนเก่า โกสุ่นหรือนายสุนทร อัศวยุทธการ ที่เพิ่งเสียชีวิตไปอย่างเป็นปริศนาด้วยอุบัติเหตุนั่นอย่างไร เสียงซุบซิบที่บุหงาได้ยินจนหนาหูก็คือการตายของโกสุ่นมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่ากลัวอยู่มิใช่น้อย เพราะอีกฝ่ายก็คือ “ก้าง” ขวางคอชิ้นใหญ่ของนายหัวชิงฉัตร และการเสียชีวิตในครั้งนี้ก็เป็นเสมือนการเปิดทางสะดวกให้กับนายหัวฉัตรก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งแทนที่โกสุ่นได้ โดยแทบไม่จำเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้งเลยด้วยซ้ำ!!

    บุหงาจึงลนลานรับคำของอีกฝ่ายในทันที แต่หล่อนก็ดันเผลอหลับไปจนได้!! โชคดีเหลือเกินที่คนไข้พิเศษไม่มีอาการผิดปกติใดๆระหว่างการเฝ้าเวรของหล่อน

    “ตื่นแล้วหรือคะ? เอ๊ะ... นั่นดอกไม้”

    พยาบาลฝืนเอ่ยเสียงอ่อนหวาน เมื่อเห็นคนไข้สาวเผยยิ้มอ่อนโยนทักทายตอบมา หญิงสาวเดินตรงเข้ามาชิดข้างเตียง เพื่อเตรียมตรวจเช็คความเรียบร้อยต่างๆ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นในอุ้งมือของศาปานต์กำช่อดอกไม้สีขาวสดเอาไว้แน่น จำได้ว่าตอนแอดมิทเข้าห้องพิเศษยังไม่มีช่อดอกไม้อยู่เลยสักดอกเดียว

    “เห็นเขาเรียกว่าการะบุหนิง...”

    ศาปานต์เอ่ยเมื่อหยิบมันขึ้นมาจรดปลายจมูกดอมดม เหตุการณ์ที่ผ่านมารางเลือนเสียจนไม่ทันสังเกต นอกจากกลิ่นหอมรวยรินและพาให้หล่อนเคลื่อนเข้าสู่ห้วงภวังค์ในเวลาอันรวดเร็ว จนเริ่มสังเกตอีกครั้งในตอนเช้านี้

    “ที่แท้ก็เป็นดอกแก้วเองนี่นะ? แต่ทำไมถึงเรียกว่าดอกการะบุหนิง?”

    “ใครเรียกหรือคะ?”

    บุหงา เสทำเป็นหยิบเครื่องวัดความดันออกมาวางข้างตัว ขณะนัยน์ตายังจ้องมองมายังคนไข้วีไอพีที่ต้องจับตาดูอย่างเป็นพิเศษด้วยความสงสัย

    “อ้อ... คุณสิงหบดีน่ะค่ะ พอดีเขามาเยี่ยมป่านเมื่อคืนนี้ แล้วก็นำดอกแก้วนี่แหละมาให้ แต่บอกว่าชื่อดอกการะบุหนิง... อ้อ ป่านรู้แล้วล่ะค่ะ ที่แท้มันเป็นคำภาษาชวานั่นเอง ดอกแก้วการะบุหนิง!!”

    หล่อนเพิ่งนึกถึงชื่อดอกไม้ที่เป็นภาษาชวาอีกหลายชื่อที่เคยได้ยินมาก่อนตอนเรียนวรรณคดี อย่างเช่น มิรันตี ก็คือดอกดาวเรือง นวาระหรือดอกกุหลาบ  บุษบามินตรา ก็คือดอกพุทธรักษา...

    แต่บุหงามิได้สนใจชื่อดอกไม้เหล่านั้น ใจของหล่อนกำลังเต้นระทึกโครมคราม เมื่อนึกได้ว่าหล่อนเผลอหลับไปได้อย่างไร โดยไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามีบุคคลที่สามเข้ามาเยี่ยมเยือนศาปานต์ถึงในห้อง ทั้งที่โกฉัตรกำชับเอาไว้แล้วอย่างดี โดยไม่ให้ผู้ใดรับรู้

  ห้ามทุกคนเข้ามาเยี่ยมศาปานต์โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะผู้กองพระแสงคนนั้น!!

  นั่นคือสาเหตุที่หล่อนแสร้งตอบผู้กองหนุ่มออกไปว่าศาปานต์หลับไปแล้วและต้องการการพักผ่อน แต่กลับผิดพลาดยอมให้ชายคนอื่นเข้ามาในห้องพิเศษนี้ได้

  ผู้ชายที่ชื่อสิงหบดี!!

                          **********************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 08:13:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com