Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มันตราพันธนาการ บทที่ 7 ร่างจำแลงแห่งความตาย ติดต่อทีมงาน

ติดตามมันตราพันธนาการได้ที่

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=24-12-2010&group=16&gblog=1

บทที่ 6 หัวใจแห่งการฉ้อฉล
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10337161/W10337161.html

<7>

ร่างจำแลงแห่งความตาย

บาร์คเงยหน้าขึ้นจ้องกิลกาเมช อีกฝ่ายลุกยืนและกวาดตามองไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง

“ข้ายังไม่เห็นผู้ใดเลยสักคน”

“สายตาเอลฟ์อาจจะคมกริบ แต่จมูกของพวกเราว่องไวยิ่งกว่า” หมาป่าเอ่ยพลางหันไปมองเซรัคซึ่งยังคงประคองร่างของเลเบนอยู่ “วางเจ้าหนูนั่นลงบนหลังของข้า”

ชายหนุ่มมองสุนัขสีเทาตัวโตตรงหน้าด้วยสายตาแสดงความไม่ไว้วางใจ มันทอประกายออกมาจนอีกฝ่ายสามารถรู้สึกได้ บาร์คคำรามในลำคอ

“ข้าดูเหมือนหมาป่าอดอยากหิวโซถึงขนาดต้องคาบเด็กไปกินอย่างนั้นหรือ”

“หมาป่าก็คือหมาป่า ข้าจะวางใจเจ้าได้อย่างไร แค่การที่เจ้าเจรจาได้ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากเหลือเกินแล้ว”

“ได้เห็นเอลฟ์มาเดินในแผ่นดินมนุษย์ไม่ยิ่งแปลกกว่าอีกหรือ” เจ้าหมาป่าย้อนพลางพ่นลมหายใจออกมาจากจมูก “หากเจ้ายังอยากเห็นสิ่งประหลาดมากกว่านี้ก็จงรีบวางเด็กนั่นลงบนหลังของข้าแล้วหนีออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เจ้ามนุษย์!”

เซรัคขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่พอใจในคำพูดเชิงปรามาสของบาร์ค เขาขยับตัวเล็กน้อยแต่ต้องชะงักเมื่อกิลกาเมชเอ่ยขัดขึ้น

“อย่ามัวใส่ใจกับคำพูดไร้สาระของเจ้าหมาป่าตัวนี้เลย โปรดวางเด็กน้อยคนนั้นลงบนหลังของเขาและทำตามคำแนะนำโดยเร็วเข้าเถิด เพื่อชีวิตของเจ้าหนูนั่นและตัวเจ้าเอง”

สีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความวิตกกังวลของเอลฟ์แห่งพงไพรทำให้เซรัครู้สึกเอะใจขึ้นมา เขาเลื่อนสายตามองข้ามร่างกิลกาเมชเข้าไปในป่าและเอ่ยถามเสียงหนัก

“พวกเจ้ากลัวอะไร”

“โลกิ” บาร์คตอบคล้ายคำราม “อสูรเทพผู้โหดเหี้ยมที่สุดแห่งแอสการ์ด”

“โลกิอย่างนั้นหรือ” เซรัคทวนคำและขมวดคิ้ว “เทพระดับสูงเช่นนั้นจะลงมาที่เมืองมนุษย์นี่ทำไม”

“เรื่องมันยาว” หมาป่าแยกเขี้ยวและจ้องหน้าชายหนุ่ม “ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังระหว่างการเดินทาง เอาล่ะอย่ามัวแต่พูดเร่งวางเด็กน้อยนั่นลงบนหลังของข้าเร็ว”

ประโยคสุดท้ายเสียงของบาร์คแทบจะกลายเป็นการเห่ากรรโชก สีหน้าอันร้อนรนของมันทำให้เซรัคตัดสินใจช้อนร่างของเลเบนขึ้นและวางลงบนหลังของบาร์ค เจ้าหมาป่าหันไปทางกิลกาเมช  

“เจ้าคงวิ่งตามข้าทัน”

“คำกล่าวเช่นนั้นควรเป็นของข้ามากกว่า” แม่ทัพแห่งเออร์ไอเด็นพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาตวัดไปทางเซรัคซึ่งทำท่าคล้ายจะเดินกลับเข้าไปในป่า

“นั่นเจ้าจะไปไหน”

“ข้ามีเรื่องที่ต้องสะสางกับโรบาวห์” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ กิลกาเมชคว้าไหล่ของเขาเอาไว้ทันที

“ชีวิตของเจ้าอาจดับสูญหากขืนย้อนกลับเข้าไปตอนนี้”

เซรัคหัวเราะในลำคอ เขาหันหน้ามาประจันกับกิลกาเมช ประกายตาบางอย่างซึ่งกำลังเต้นระริกอยู่ภายในทำให้เอลฟ์หนุ่มถึงกับอึ้ง เขาคลายมือลง

“เจ้า”

“ความแค้นของข้าที่มีต่อโรบาวห์นั้นหนักหนาสาหัสนัก ต่อให้ต้องแผชิญหน้ากับเทพโลกิข้าก็ไม่หวั่น ขอเพียงได้ปลิดชีวิตดับลมหายใจของเจ้าโจรถ่อยนั่น ข้ายอมตกนรกทั้งเป็น”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีความแค้นใดกับมนุษย์ใจหยาบผู้นั้น แต่สิ่งที่เจ้าคิดนั้นนับเป็นความผิดอย่างมหันต์ การประจันหน้ากับโลกิมิใช่แค่ได้พบกับความตาย แต่มันจะกลายเป็นความทรมานยิ่งกว่าลงไปสู่นรกทั้งที่ยังมีชีวิต”

สายตาของกิลกาเมชประสานกับดวงตาของเซรัคแน่วนิ่งก่อนจะกล่าวต่อ

“ข้าจะไม่เข้าไปขัดขวางการชำระความแค้นของเจ้า เซรัค แต่ในเวลานี้เจ้าควรหลีกหนีภัยร้ายจากอสูรเทพไปก่อนจากนั้นจึงค่อยแยกจากพวกเราไป”

สีหน้าของเซรัคเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างหนัก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะมองกลับเข้าไปในป่า ชายหนุ่มขบกรามตนเอง

“ก็ได้” เขากล่าวออกมาพร้อมกับหันไปทางเลเบนซึ่งยังคงนอนสิ้นสติอยู่บนหลังของบาร์ค “ข้าจะไปกับพวกเจ้า” เขาหันกลับมายังกิลกาเมช “แต่พอเจ้าหนูนั่นฟื้นข้าจะแยกไปทันที”

“ตกลงตามนี้” เอลฟ์หนุ่มตอบ เขาเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้ซึ่งสะบัดเอนลู่ไปตามกระแสลมซึ่งเริ่มพัดรุนแรงขึ้น “หวังว่าเจ้าคงวิ่งตามพวกเราทัน” สายตาเลื่อนกลับลงมาจ้องเซรัคอีกครั้งและเบนไปทางบาร์ค

“ไป”

เจ้าหมาป่าแลบลิ้นเลียปากของตนเองก่อนจะวิ่งนำหน้าออกไป

*/*/*/*/*

โลกิยืนนิ่งอยู่ภายใต้เงาของต้นไม้ในป่า ดวงตาดุดันจ้องหมู่บ้านขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ตรงหน้า อสูรเทพยกมือของตนขึ้นหมายจะกวาดล้างสิ่งปลูกสร้างให้พ้นไปจากเส้นทางของตนแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อสัมผัสถึงกระแสพลังบางอย่างที่ไหลวนเวียนอยู่ในมวลอากาศ จอมอสูรลดมือลง

“พลังแห่งมันตรา” เขาพึมพำ “ดูเหมือนจะมีกุญแจเลือดอยู่ที่นี่ด้วย”

รอยยิ้มเหี้ยมผุดขึ้นบนมุมปาก เทพแห่งความร้ายกาจแยกเขี้ยวของตนเอง

“ไม่เพียงกุญแจเลือด ข้ายังได้กลิ่นเหม็นสาบของพวก( ^o^ )แห่งแอสการ์ด พวกมันมาที่นี่ทำไม”

ประกายตาวาวโรจน์ทอแสงขึ้น โลกิฟาดมือไปยังต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ด้านข้าง ลำต้นหนาแหลกเป็นผงไปในพริบตา

“หรือเจ้าพวกเทพชั่วส่งมันมาขัดขวางข้า” เสียงหัวเราะในลำคอขณะดวงตาดุดันหรี่ลง “หากเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ย่อมได้ ธอร์!” โลกิคำรามพลางเลื่อนตาจ้องกลับไปที่หมู่บ้านอีกครั้ง

“งานสร้างสรรค์ของเหล่าเทพ สิ่งมีชีวิตอันสวยงามที่พวกเจ้าสร้างขึ้น ข้าจะทำลายมันให้พินาศเดี๋ยวนี้!”

กายสูงสง่าทอแสงเรืองรองเจิดจ้า ร่างของโลกิค่อยๆหดเล็กลง เพียงชั่วพริบตากายจำแลงสูงใหญ่ของอสูรเทพกลายเป็นเพียงร่างเล็กน่ารักของเด็กชายวัยสิบขวบ โลกิแสยะยิ้ม

“ข้าจะใช้ร่างไร้เดียงสานี้ค้นหากุญแจโลหิต จากนั้นจึงค่อยทำลายเจ้ามนุษย์หน้าโง่พวกนี้ทิ้งให้หมด เจ้าจงคอยเก็บกวาดเศษซากแห่งหายนะในทุกเส้นทางที่ข้าเดินผ่านไปเถิด ธอร์”

*/*/*/*/*

เด็กชายตัวน้อยสองสามคนที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่บนลานโล่งหน้าบ้านของตนหยุดส่งเสียงหัวเราะเมื่อเห็นร่างจำแลงของเด็กชายแปลกหน้าวัยไล่เลี่ยกันกำลังเดินตรงเข้ามาหา พวกเขาพากันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกสงสัยแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปหา จนกระทั่งโลกิเดินไปหยุดยืนตรงหน้า เด็กคนหนึ่งจึงรีบถาม

“เจ้าเป็นใคร” เขาหันไปมองหน้าเพื่อนคล้ายลังเลก่อนจะกลับมามองเด็กชายผมทองอีกครั้ง โลกิยิ้ม

“ก็แค่คนจร” เขาไล่สายตาสำรวจเด็กทุกคนตรงหน้า “ข้ากำลังตามหาคน”

“ใครกัน” เด็กคนเดิมพูด “บอกชื่อของเขามาบางทีพวกเราอาจจะพอช่วยได้”

“ข้าไม่รู้จักชื่อของเขา” ร่างจำแลงตอบ “และเขาก็ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเจ้าตามหา” เด็กอีกคนกล่าว “พ่อข้าเป็นผู้ดูแลคนที่นี่ บางทีท่านอาจจะเคยพบคนที่เจ้าต้องการก็ได้”

“ไม่จำเป็น” โลกิตอบพร้อมกับหมุนกายหันไปอีกด้าน “ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกไร้ลมหายใจ”

เพียงแค่ยกมือขึ้นร่างของเด็กทั้งสามถูกพลังอันรุนแรงฉีกกระชากจนแหลกเป็นชิ้นทันทีโดยที่พวกเขายังไม่ทันได้รู้ตัว โลกิชำเลืองมองเศษชิ้นส่วนที่กระจายเกลื่อนพี้นด้วยดวงตาเย็นชา รอยยิ้มอันน่ากลัวแต้มบนริมฝีปากบางขณะที่ร่างจำแลงเด็กชายตัวน้อยก้าวเข้าไปในใจกลางของชุมชน

ช่างตีเหล็กขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกรำคาญใจหลังจากถูกมองด้วยสายตาประหลาดของเด็กชายแปลกหน้ามาได้สักพัก เขาเหวี่ยงค้อนในมือฟาดลงบนแผ่นเหล็กร้อนจัดเต็มแรงและโพล่งขึ้น

“มองอะไร!”

“ข้าแค่กำลังหาของสำคัญ” โลกิตอบพร้อมกับยิ้มอย่างน่ารักขณะชูมือประกอบ “มันเป็นเครื่องประดับซึ่งมีขนาดเพียงเท่านี้”

“ข้าไม่มีของที่เจ้ากล่าวถึง” ช่างตีเหล็กตอบเสียงห้วน “ร้านข้ามีแต่ดาบกับงานโลหะ”

“งั้นหรือ” เด็กชายกล่าวพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด เขายิ้มพลางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อและดึงห่อผ้าขนาดเล็กออกมา ดวงตาของช่างตีเหล็กเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงแผ่นโลหะกระทบกันอย่างแผ่วเบาอยู่ภายใน

“ข้ามากับพวกพ่อค้า บิดาข้าเป็นนักสะสมของเก่า พวกเรากำลังหาเครื่องประดับชิ้นหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ” โลกิหรี่ตาลง “พวกเราไม่เกี่ยงเรื่องราคา”

“บางทีในร้านของข้าอาจมีของที่เจ้ากล่าวถึง” ช่างตีเหล็กรีบพูด เขาวางค้อนด้วยกิริยาลุกลน อสูรเทพมองเครื่องมือตรงหน้าด้วยสายตาชิงชังก่อนจะเดินตามชายผู้นั้นเข้าไปในบ้านตามคำเชื้อเชิญ

“เจ้าจะวางห่อนั่นลงก่อนค้นหาของที่กล่าวถึงก็ได้” ช่างตีเหล็กกล่าวโดยสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ห่อผ้า โลกิกวาดตามองไปทั่วห้องก่อนจะชำเลืองมองเขาพร้อมกับเหยียดปาก

“ไม่จำเป็น” ร่างจำแลงโยนห่อผ้าให้กับอีกฝ่าย “เพราะที่นี่ไม่มีของที่ข้าต้องการ ส่วนเหรียญทองนั่น”

โลกิแสยะยิ้มขณะจ้องช่างตีเหล็กซึ่งกำลังเปิดห่อผ้าและเทเหรียญทองออกมานับด้วยท่าทางละโมบ

“ข้าขอจ่ายสำหรับค่าชีวิตของเจ้า”

“อะไรนะ” ช่างตีเหล็กขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำวาวโรจน์ของเด็กชาย เสียงปะทุดังมาจากผนังรอบด้าน ดาบซึ่งถูกแขวนไว้แกว่งไกวไปมากระทบกันจนเกิดเสียงดัง ช่างเคราะห์ร้ายผู้นั้นขยับถอยหลังพร้อมกับถามเสียงสั่นระรัว

“เจ้าเป็นใคร”

“ชีวิตของเจ้าต่ำต้อยเกินกว่าจะรับฟังนามของข้า” โลกิแยกเขี้ยว “ไอ้พวกมนุษย์!”

ดาบทั้งหมดหลุดออกมาจากผนังและพุ่งไปปักบนร่างของช่างตีเหล็ก เขาอ้าปากเพื่อจะส่งเสียงร้องแต่ไม่อาจทำได้เมื่อถูกค้อนโลหะซึ่งหมุนคว้างเข้ามาจากหน้าต่างฟาดลงไปบนใบหน้าเต็มแรง เสียงแตกของกะโหลกดังลั่น ร่างกำยำทรุดลงไปกับพื้น เลือดไหลทะลักออกมาราวกับน้ำ โลกิเปล่งเสียงหัวเราะด้วยความสาสมใจ

“พอกันทีสำหรับพวกไร้ประโยชน์”

อสูรเทพพังประตูบ้านของช่างตีเหล็กและก้าวออกมายืนท่ามกลางฝูงชน พวกเขาต่างพากันหยุดมองเด็กน้อยด้วยความสงสัย และเริ่มถอยหนีเมื่อเห็นใบหน้าอันน่ากลัวของโลกิ กระแสลมกรรโชกพัดเรือนผมสีทองของเขาจนปลิวสยาย มันเริ่มยืดยาวออกดุจเดียวกันกับกายของอสูรเทพซึ่งขยายใหญ่โตขึ้น

“เมื่อไม่มีกุญแจเลือดพวกแกก็ไม่มีค่า” เขาวาดมือทั้งสองข้างกวาดไปรอบตัว พลังทำลายล้างอันรุนแรงแผ่เป็นวงคลื่นกระจายออกมา “จงพินาศไปเถิดเจ้าพวกชั้นต่ำ”

เสียงกรีดร้องดังระงมเมื่อสายลมคมกริบราวใบมีดพัดตัดร่างกลุ่มชนจนขาดเป็นชิ้น โลกิส่งเสียงหัวเราะก้องขณะยืนมองผู้คนซึ่งกำลังวิ่งหนีเขาด้วยความหวาดกลัว เส้นผมสีทองปลิวสยายไปกับสายลมและพลิ้วไหวไปมาราวกับสาหร่ยในสายน้ำ มันสะบัดตัดร่างของหญิงสาวนางหนึ่งจนขาดเป็นสองท่อนและม้วนตวัดรัดร่างทารกในอ้อมแขนของนางออกมา อสูรเทพคำรามในลำคอก่อนจะฉีกกระชากเด็กน้อยออกเป็นชิ้นและกลืนกินเข้าไปจนหมด

“โอชะยิ่งกว่าสิ่งใด” ลิ้นแดงเข้มแลบเลียริมฝีปาก ดวงตาจ้องภาพความพินาศตรงหน้าด้วยความรู้สึกบันเทิงใจอย่างที่สุด และเมื่อเนื้อชิ้นสุดท้ายล่วงผ่านลำคอ หมู่บ้านซึ่งเคยตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนั้นก็เหลือแต่เพียงเศษซากปรักหักพังไร้สัญญาณแห่งสรรพชีวิตอีกต่อไป โลกิทำเพียงชำเลืองตามองก่อนจะเบือนสายตามองไปยังขอบฟ้าทางด้านใต้ สายลมหนาวเย็นพัดผ่านกายกำยำ

“กลิ่นของเอลฟ์” รอยยิ้มแห่งความพอใจปรากฏขึ้น “พวกมันกำลังหนีลงใต้”

อสูรเทพคำรามก่อนจะเดินตรงไปยังป่าเบื้องหน้า

“พวกแกอาจหนีข้าไปได้ แต่จะไม่มีวันหลุดรอดพ้นจากชะตากรรมแห่งกุญแจโลหิต”

โลกิกล่าวเสียงเหี้ยมขณะก้าวหายเข้าไปในป่าลึก ทิ้งความพินาศย่อยยับของเหล่ามนุษย์เอาไว้ทางเบื้องหลังอย่างไม่ไยดี หลังจากเดินผ่านป่าอันหนาทึบไปได้ไม่นาน อสูรเทพต้องหยุดและมองป่าซึ่งเงียบสงัดลงอย่างผิดปรกติ เสียงกิ่งไม้แตกที่ดังออกมาจากพุ่มไม้หนาทำให้เขาเหยียดยิ้ม

“ต้องการอะไร”

โลกิถามเสียงห้วน ดวงตาจ้องเงาของชายร่างใหญ่ซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ไม่ห่างไปจากตน เสียงขึงสายธนูดังรอบด้าน ร่างจำแลงของอสูรเทพกระตุกมุมปากอย่างดูแคลน

“คิดว่าอาวุธของเจ้าสามารถทำอันตรายข้าได้อย่างนั้นหรือ”

“ต่อให้เป็นนักรบมากฝีมือก็ไม่อาจมีชีวิตรอดหากยืนอยู่ท่ามกลางนักแม่นธนูนับสิบคนเช่นนี้”
โรบาว์กล่าวตอบพร้อมกับก้าวออกมาจากที่ซ่อน “ส่งของมีค่าของเจ้าออกมาให้หมด”

“เจ้าควรหลีกทางให้กับข้ามากกว่า” โลกิกล่าว “เพราะดูเหมือนสิ่งมีค่าที่สุดในเวลานี้น่าจะเป็นลมหายใจของพวกเจ้า”

“น่าขัน” หัวหน้าโจรพูดกลั้วหัวเราะ “เจ้าเพียงแค่หนึ่งกับลูกน้องของข้านับสิบ ชีวิตฝ่ายใดที่น่าจะสูญเสียมากกว่ากัน”

“เป็นคำกล่าวที่รนหาที่ตายเหลือเกิน”

อสูรเทพกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจพลางยกมือขึ้นสะบัดอย่างรำคาญ คันธนูทั้งหมดหักสะบั้นลงพร้อมกันท่ามกลางความตื่นตกใจของเหล่าโจร โรบาวห์ถึงกับอ้าปากค้างขณะจ้องแสงสีขาวเจิดจ้าบาดตาซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของเทพแห่งความชั่วร้าย เขายกมือขึ้นปิดหน้าและก้มตัวลงหมอบอย่างเร็วด้วยสัญชาตญาณ โจรร้ายนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกถึงคลื่นความร้อนอันรุนแรงที่กำลังไหลผ่านแผ่นหลัง กลิ่นเหม็นไหม้ของเนื้อย่างทำให้เขาต้องสำลักไอออกมา โรบาวห์เงยหน้าขึ้นและผงะหงายหลังเมื่อพบว่า
โลกิกำลังยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าแสนเย็นชาจ้องเขานิ่ง

“ความเก่งกาจหรือความขลาดเขลากันแน่ที่ทำให้เจ้าหลบพลังของข้าได้” น้ำเสียงที่ถามเต็มไปด้วยความดูแคลน โรบาวห์ถึงกับสั่นไปทั้งร่างด้วยความหวาดกลัว เขากวาดตามองเหล่าบริวารของตน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อพบว่าทุกคนอยู่ในสภาพไหม้เกรียมทั้งที่ยังคงยืนค้างอยู่

“กลิ่นเนื้อมนุษย์ย่างนี่ช่างหอมหวลนัก” อสูรเทพกล่าวพลางยื่นมือออกมาคว้าลำคอของหัวหน้าโจรเอาไว้ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน

“กายเจ้ามีพลังแห่งมันตราแต่มันช่างอ่อนเหลือเกิน” เขากระชากร่างโรบาวห์บังคับให้ยืนขึ้นและจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง “เจ้าพบกับผู้ที่มีสัญลักษณ์แห่งมันตรามาใช่หรือไม่”

“ข้าไม่เคยพบกับคนที่ท่านกล่าว” โรบาวห์ตอบเสียงสั่น ร่างจำแลงโลกิคำราม

“โกหก!” มือซึ่งกุมรอบคอหัวหน้าโจรบีบกระชับแน่นขึ้น “เจ้าได้พบกับกุญแจเลือดไม่ต่ำกว่าสองคนแน่ จึงมีพลังแห่งมันตราแผ่กระจายออกมาจนข้าสามารถสัมผัสได้ จงบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าคนพวกนั้นเป็นใครและพวกมันกำลังไปที่ไหน”

“ข้า....”โรบาวห์หยุดคำพูดค้างและกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากขณะพยายามนึกถึงสิ่งที่โลกิกล่าว ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงเครื่องประดับชิ้นเล็กในมือของเลเบนขึ้นมาได้ หัวใจของโจรชั่วเต้นระรัวราวกับกลองขณะรีบบอกกับอสูรเทพด้วยความหวาดกลัว

“ข้าพบเด็กคนหนึ่งชื่อว่าเลเบน เจ้านั่นมีจี้สีเงินประหลาด”

“จี้สีเงินประหลาด” โลกิทวนคำ “ยังไง”

“เท่าที่เห็นมันเป็นจี้ทรงกระบอกทำจากเงินบริสุทธิ์มีพลอยประดับและมีอักษรแปลกๆแถมยังหมุนได้รอบตัวอีกด้วย”

“มันตรา” โลกิคำรามในลำคอ “เจ้าพบกับใครอีก”

“เอลฟ์” โรบาวห์แทบร้องออกมาด้วยความกลัวอย่างที่สุดเมื่อเห็นดวงตาวาววับของอีกฝ่าย “กับหมาป่าสีเทาตัวใหญ่”

“( ^o^ )แห่งแอสการ์ด” โลกิกล่าวเสียงลอดไรฟันออกมา “พวกมันนำหน้าข้าไปได้อย่างไรกัน”

เขาจ้องหัวหน้าโจรนิ่งพร้อมกับตวาดถาม

“แล้วพวกมันบอกหรือไม่ว่าจะไปทางไหน”

“ข้าไม่ได้ถาม” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “ข้ารู้แต่เพียงว่าพวกนั้นกำลังหลบหนีใครบางคน ดูเหมือนเจ้าหมาป่าจะเรียกคนผู้นั้นว่า” ดวงตาของหัวหน้าโจรเบิกกว้างขณะจ้องผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“โลกิ”

ใบหน้ากร้านซีดขาวด้วยความหวาดกลัว กางเกงที่สวมไว้เปียกแฉะเมื่อน้ำอุ่นๆไหลซึมออกมา
โรบาวห์แทบสิ้นเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่เขากำลังพูดด้วยเป็นใคร อสูรเทพมองกิริยาหวาดกลัวของมนุษย์ตรงหน้าด้วยสายตาพึงพอใจ

“เจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่เอ่ยนามของข้าแล้วยังมีชีวิต” มือที่กุมรอบคอคลายออก ร่างของหัวหน้าโจรไหลลงไปนั่งกองกับพื้น เขาคู้ตัวลงพร้อมกับกล่าว

“ขออภัยท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ข้าไม่ทราบว่าท่านมายังแผ่นดินมนุษย์ ซ้ำยังบังอาจทำกระทำการจาบจ้วงล่วงเกินต่อท่าน”

“หุบปาก!” โลกิตวาดด้วยความรู้สึกรำคาญ เขาเพ่งสายตามองตรงไปยังทิศใต้ สีหน้าของอสูรเทพเต็มไปด้วยการครุ่นคิด

“จากนี้ไปมีเมืองของมนุษย์อีกมากแค่ไหน”

“นับสิบแห่ง แต่ละที่ล้วนแล้วแต่เป็นนครขนาดใหญ่ที่มั่นคงและแข็งแรง” โรบาวห์ตอบ โลกิลูบคางของตนเอง    

“ข้าไม่สนใจกำลังพลของมนุษย์เพราะพวกมันเปรียบเหมือนมดปลวกยามอยู่ตรงหน้า” เทพแห่งความร้ายกาจกล่าวพลางลดมือลง “เจ้าพวกนั้นคงเลี่ยงที่จะผ่านเมืองเช่นเดียวกัน แต่มันจะใช้เส้นทางใดเพราะกลิ่นไอแห่งมนตราที่ข้าจับได้ช่างอ่อนเสียเหลือเกิน”

ดวงตาวาววับตวัดกลับมาจ้องที่โรบาวห์อีกครั้ง

“เจ้าคงชำนาญเส้นทาง”

“ข้าเดินทางไปทุกที่ในผืนแผ่นดิน เชี่ยวชาญในทุกเส้นทางรวมทั้งทางลัดตัดผ่านหุบเขา”

“พอที!” โลกิตะคอก “ข้าจะยอมละชีวิตเจ้าเพื่อนำทางให้ แต่จงอย่าได้หลงลำพองใจว่าเจ้าคือคนสำคัญเป็นอันขาด เพราะข้าไม่จำเป็นจะต้องมีสุนัขนำทางเท่าใดนัก และที่สำคัญ” ดวงตาเย็นชาหรี่ลง

“การที่พลังแห่งมันตรามาสถิตยังเจ้า แสดงว่าหนึ่งในนั้นมีความสัมพันธ์พิเศษต่อตัวของเจ้า ข้าจะใช้สายสัมพันธ์นั้นเป็นตัวดึงพวกมันให้เข้ามาหาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งไล่ตามให้เหนื่อยแรง”

อุ้งมือแข็งแรงคว้าไหล่ของโรบาวห์และกระชากเขาให้ลุกขึ้น

“นำทางข้าไป และอย่าได้คิดหลบหนีเป็นอันขาด”

“ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่” หัวหน้าโจรกล่าวด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม เขาสำรวจต้นไม้โดยรอบและพบกับหยดเลือดดวงเล็กบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง โรบาวห์ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“ข้าพบเส้นทางของพวกมันแล้ว” เขาชี้มือไปที่หยดเลือด “พวกมันคนหนึ่งถูกพวกข้ายิงจนได้รับบาดเจ็บ เจ้าพวกนั้นรีบเร่งหนีท่านจนไม่มีเวลารักษา ข้าคิดว่าพวกมันคงจะไปหยุดพักที่แม่น้ำใหญ่ข้างหน้าห่างจากที่นี่ราวยี่สิบไมล์อย่างแน่นอน”

“จงรีบนำทางข้าไป” โลกิพูดเสียงเข้ม โรบาวห์รีบกลับหลังหันและเดินนำอสูรเทพแห่งแอสการ์ดมุ่งตรงไปยังแม่น้ำใหญ่ตามคำกล่าวของตนอย่างรวดเร็ว

*/*/*/*/*/*

เนื่องจากตอนนี้กำลังเขียน มันตราฯกับผลึกวิญญาณฯ พร้อมกัน ดังนั้นมูนนี่ขอลงนิยายสองเรื่องนี้สลับกันไปนะคะ

มาคุยกันค่า ^ ^

น่าจะได้พวกอีก 2 คนแล้ว
เจ้าหนุ่มน้อยเก่งมากๆ เลย
จากคุณ : scottie  
- เซรัคเคยเป็นนักรบรับจ้างมาก่อนเลยมีฝีมือ ไว้มูนนี่จะนำตอนพิเศษที่เป็นเรื่องราวของหนุ่มคนนี้มาลงให้อ่านกันค่ะ

ตอนนี้ชุมนุมตัวละครเก่งๆเห่ๆหลายคน
เริ่มสนุกขึ้นอึกแล้ว
จากคุณ : GTW
- ดีใจจัง มูนนี่กลัวว่านิยายเรื่องนี้จะจืดชืดไม่น่าอ่าน ได้ยินแบบนี้แล้วโล่งใจขึ้นเยอะเลย

ตอนนี้นอกจากมันตราฯกับผลึกวิญญาณมังกรแล้วยังต้องเร่งเซ็นซูภาคสองด้วย ดังนั้นบางทีมูนนี่อาจหลงลืมหรือลงนิยายช้าไปบ้าง ต้องขออภัยผู้อ่านล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านมากๆค่ะ วันนี้ขอเสนอรูปตัวละครอีกตัวนั่นก็คือ เลเบน

 
 

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 12:50:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com