Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จอมใจอเวจี 3...Psycho Hell (เทวบุตรมาร) ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10298052/W10298052.html

ความเดิมตอนที่แล้ว

เฟรี่ เทพธิดาตกจากอวกาศในขณะแข่งยานอวกาศระหว่างดวงดาว แล้วเกิดอุบัติเหตุ
จนตกลงมาในดินแดนบริเวณขอบอเวจี ซึ่งเป็นดินแดนนอกเหนือการควบคุม

ไนท์ นักรบหน้ากากอเวจี ซึ่งตามล่าพวกปีศาจนอกรีต บังเอิญมาพบ และช่วยเหลือเฟรี่ ให้กลับออกมาจากดินแดนปีศาจ เพื่อให้เธอกลับไปหาคนรักของเธอ

เขาจะทำได้หรือไม่
และในบทนี้ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับคู่ปรับคนสำคัญ



**************
PSYCHO HELL

จอมใจอเวจี 3.....เทวบุตรมาร

**************


เฟรี่เร่งฝีเท้าตามหลังบุรุษลึกลับผู้อยู่ในชุดดำและปิดบังโฉมหน้าแท้จริงไว้ในหน้ากากสีขาวอันเย็นชาไร้ความรู้สึกด้วยความขัดเคืองใจ คนบ้าอะไร...บอกจะไป ก็เดินไปเสียเฉยๆ ต่อหน้าต่อตา ไม่มีมรรยาท ไม่ได้มีท่าทางเป็นห่วงคนซึ่งเป็นสาวสวยเดินตามหลังเลยสักนิด แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจำใจเดินตามไปด้วยความรู้สึกขวางๆ


บรรยากาศในถ้ำอับชื้น แต่ยังคงมีแสงสว่างอันเกิดจากก้อนหินเรืองแสงซึ่งฝังตัวกระจัดกระจายอยู่เป็นระยะทำให้มองเห็นทางเดินภายในถ้ำค่อนข้างชัดเจน พื้นถ้ำไม่ได้ราบเรียบแต่สูงๆ ต่ำๆ เต็มไปด้วยเศษหิน ทำให้หญิงสาวสะดุดเสียหลักหลายครั้งแต่คนนำหน้าเหมือนไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงเลยสักนิด เห็นหลังไวๆ เลี้ยวหายไปตามมุมผนังอย่างน่าคลั่งใจ

“รอข้าด้วย....จะรีบไปตามควายที่ไหน”

หญิงสาวร้องเสียงดังอย่างโมโห แต่ร่างในชุดดำนั้นหายลับไปเสียแล้ว แถมมีเสียงดังแว่วมาจากด้านหน้า ฟังแล้วกวนประสาทที่สุดว่า

“ไม่ได้ตามควายที่ไหนหรอก กลัวแต่ควายจะเดินตาม”

ฟังแล้วอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ แล้วจับก้อนหินทุบหัวคนพูดให้รู้แล้วรู้รอดไปเหลือเกิน แต่ทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว เพราะเป้าหมายไม่อยู่ให้เห็น เฟรี่เริ่มขมวดคิ้ว เท้าทั้งสองข้างเริ่มเจ็บระบบขึ้นมาจากการย่ำเดินไปบนพื้นขรุขระมาตลอดตั้งแต่วานนี้แล้ว แม้ว่าจะสวมรองเท้าชั้นดีราคาแพงอยู่ก็ตาม แต่มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เดินอยู่ในพื้นผิวนรกแบบนี้

นึกแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจกับตัวเองว่าไม่น่าเข้ามาร่วมกับกีฬาท้าอวกาศจนเป็นเหตุให้หลุดมิติตกลงมาในดินแดนนรกแห่งนี้เลย คนรักก็ไม่รู้ว่าจะหลุดหล่นไปอยู่ที่ไหน แต่อย่างไรก็เป็นผู้ชายคงไม่น่าเป็นห่วงมากนักและรายนั้นก็คงเอาตัวรอดได้เพราะเขาเองก็เป็นนักรบแห่งเบื้องบนคนหนึ่งเหมือนกัน แต่ตัวเองตอนนี้ชะตากรรมเบื้องหน้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้

เขาจะเป็นห่วงเราไหมนะ ห่วงแค่ไหนกัน

กำลังทำอะไรอยู่

หนุ่มชาวสวรรค์เทพบุตรผู้แสนดี หล่อเหลา ร่ำรวย และใจดี คอยเอาอกเอาใจตามใจไปสารพัดทุกเรื่อง คนแบบนี้หาง่ายที่ไหนกัน แต่ตอนนี้ชะตากรรมซ้ำซัดให้พลัดพรากเสียแล้ว

หญิงสาวแห่งเบื้องบนพยายามสลัดความคิดวิตกออกจากจิตใจ อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ค่อยหาทางแก้ไปตามขั้นตอน จะมาตายอยู่นี่ก็ให้มันรู้ไป

เดินมาสักครู่หนึ่งก็รู้สึกถึงแสงสว่างจ้ามากขึ้น เห็นหลังคนเดินหนีควายยืนหยุดอยู่ปากอุโมงค์จริงๆ เฟรี่ลอบถอนใจอย่างโล่งอกว่าถ้ำแห่งนี้สามารถเดินลอดทะลุออกมาอีกด้านหนึ่งได้ กำลังจะเอ่ยปากต่อว่า แต่อีกฝ่ายยกมือทำเป็นสัญญาณให้เงียบเสียง ทำให้นางฟ้าตกสวรรค์ได้แต่อ้าปากค้างและเริ่มมองสำรวจไปโดยรอบทันที

ปากถ้ำแห่งนี้สูงจากพื้นเบื้องล่างสูงลิบ ด้านล่างเต็มไปด้วยโขดหินสูงๆ ต่ำๆ มากมายน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับคนซึ่งไม่เคยพบเห็น ไกลออกไปเป็นขุนเขาอีกลูกทอดตัวโค้งยาวเหยียดเป็นครึ่งวงกลม ราวกับเป็นปราการนรกกั้นทั้งสองไม่ให้หลุดออกไปจากแดนอเวจี

ด้านล่างดูสงบ แต่เป็นความสงบอันไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด ไม่อย่างนั้นคนเดินตามควายคงไม่หยุดจ้องมองนิ่งอยู่อย่างนี้หรอก

“มีอะไร...”

ในที่สุดก็อดใจถามขึ้นไม่ได้ ขณะยืนเอามือป้องหน้ามองดูแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอะไรแม้แต่ควายสักตัว ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากความเงียบสงบเบื้องล่าง

“ถ้าอยากออกจากที่นี่เราต้องตัดข้ามภูเขาลูกนั้นไป”

อีกฝ่ายชี้มือออกไป ดูเหมือนจะตอบไม่ตรงคำถามนัก สายตายังคงเขม้นมองออกไปอย่างตั้งอกตั้งใจ

“แล้วมัวรออะไรอยู่ล่ะ ก็ไปเลยสิ”

“ข้าพบมีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านล่าง ห่างออกไปตรงบริเวณเชิงเขาด้านโน้น สงสัยว่าจะต้องออกแรงอีกแล้ว”

น้ำเสียงของไนท์ราบเรียบไม่แสดงอารมณ์เหมือนหน้ากากที่สวมใส่ แต่คนฟังรู้สึกใจหายวาบ เพราะหมายความว่าอาจจะต้องออกแรงวิ่งหนีอะไรอีกแล้ว

“อะไรกัน..สถานที่บ้าๆแบบนี้ยังมีคนมาอยู่อีกเหรอ”

“ก็เพราะระเบิดบ้า ๆ ของเจ้านั่นล่ะ ที่ทำให้เขตนี้แตกตื่นวุ่นวายไปหมด”

“มาโทษข้าได้ยังไง”

 เฟรี่ขึ้นเสียงทันทีอย่างขุ่นมัวเขม้นจ้องหน้ากากอีกฝ่าย

“ถ้าเจ้าพูดดีๆกับข้า ข้าก็คงไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก ความจริงข้าจะระเบิดตัวข้าเองไม่เห็นเกี่ยวกับเจ้าเลยสักนิด”

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำแบบนั้นจริง ๆ หรอก”

ไนท์พูดแล้วหันหน้าเหมือนมองด้วยหางตา แต่เพราะใส่หน้ากากอยู่จึงไม่รู้ว่าเป็นการมองแบบเหยียดๆหรือไม่ แต่นั่นก็พอแล้วในการทำให้หญิงสาวชาวสวรรค์หงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง หากพยายามสะกดอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่

“เจ้าทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ ให้ข้าช่วยต่างหาก..”

บ้า....พูดออกมาได้”

คราวนี้ความอดทนของเฟรี่สิ้นสุด ยกมือซัดตูมเข้าไปกลางหลังคนพูดเต็มแรง แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่สะดุ้งสะเทือนไม่สนใจอะไรด้วยซ้ำ ก่อนหญิงสาวจะรีบถอยห่างออกมาอย่างไม่ไว้วางใจ แต่ไนท์สนใจความเคลื่อนไหวข้างล่างมากกว่าจะมาต่อปากต่อคำกับคู่กรณี ยืนมองนิ่งอยู่อย่างนั้น

“มันไกลเกินไปจนไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน”

“เจ้ามองไม่ชัดใช่ไหมล่ะ”  เสียงใสๆของเฟรี่ดังขึ้นข้างๆแถมมีแววเยาะเย้ยในที
“มันไกลเกินไป ไม่มีใครมองเห็นชัดหรอก”

“ใครคนหนึ่งขึ้นไปยืนแล้วมองไปบนก้อนหินนั่นใส่ชุดรัดกุมสีดำหัวฟูๆ สะพายดาบไว้กลางหลัง อืม....รู้สึกว่าตาซ้ายจะบอดด้วยเพราะมีเหรียญกลมๆ คาดปิดตาเอาไว้ หน้าผากเหมือนจะมีผ้าคาดหัวแถบหนึ่ง เท่ไม่เบาเชียวล่ะ ดูเหมือนจะมีสมุนมาด้วยห้าคนท่าทางป่าเถื่อนมาก..เจ้ารู้จักไหมว่าคนพวกนี้เป็นใครกัน”


คราวนี้ไนท์หันมามองด้วยความประหลาดใจว่าทำไมรู้ละเอียดราวตาเห็นขนาดนั้น ก็เห็นหญิงสาวกำลังยกวัตถุเป็นแท่งยาวประมาณคืบกว่าๆ ส่องลงไปข้างล่างอย่างสนใจ ก่อนหันมามองแล้วยักคิ้วให้อย่างเป็นต่อ แล้วพูดเหมือนถากถางว่า


“เจ้าไม่มีทางมองเห็นชัดแจ๋วแบบข้าหรอก ว่าไหม”

“อะไรกัน”

“ลองใช้นี่ส่องดู”

ว่าพลางยื่นวัตถุในมือส่งให้ ไนท์รับมาแบบไม่ตั้งใจก่อนลองยกขึ้นส่องมองผ่านวัตถุประหลาดนั้นออกไป แล้วหลุดปากออกมาอย่างแปลกใจ

“เห็นเหมือนภูเขาซึ่งอยู่ไกลออกไป ย้ายมาอยู่ใกล้ๆตรงหน้านี้เอง นี่มันเวทมนตร์อะไรกัน”

“เขาเรียกว่ากล้องส่องทางไกล พวกเจ้าคงไม่รู้จักหรอกของแบบนี้ แต่สำหรับพวกข้าแล้วมันเป็นเพียงของเล่นเด็กๆ เท่านั้น อย่าว่าแต่เพียงแค่นี้ ความจริงยังมีแบบมองไปยังดวงดาวไกลแสนไกลได้ชัดแจ๋ว”

ตอนนี้นักรบปีศาจดูเหมือนจะสนใจกล้องส่องทางไกลในมือมากกว่าจะโต้เถียงกับคู่กรณี เขาใช้วัตถุพิสดารในมือกวาดมองไปมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่กับกลุ่มคนซึ่งความจริงอยู่ไกลออกไปมองเห็นลิบๆ แต่พอมองผ่านกล้องแล้วรู้สึกเหมือนคนพวกนั้นอยู่ข้างหน้าจนแทบจะยื่นมือออกไปจับต้องได้

“นั่นมันพวกของเทวบุตรมาร”

ไนท์เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าเมื่อมองเห็นคนกลุ่มนั้นได้ถนัดชัดเจนว่าคงกำลังลังเลเหมือนกันว่าจะไปในทิศทางใดดี

“พวกตัวอันตรายทีเดียว สำคัญคือเราต้องผ่านดินแดนของพวกนี้ออกไป”

“ไม่มีทางอื่นไปอีกแล้วหรือ” ถามเสียงอ่อย สีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาทันที

“ไม่มี”

“แล้วเราจะทำยังไง”

“ก็ต้องผ่านพวกมันออกไป”

“ยากไหม..”

“ถ้ามีข้าตามลำพัง ไม่ยากหรอก แต่ถ้ามีเจ้าคอยตามข้าอยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว”

“นี่เจ้าหาว่าข้าถ่วงความเจริญของเจ้าหรือไง”

ตาเขียวปั้ดและน้ำเสียงออกแววไม่พอใจมาอีกแล้ว นักรบปีศาจหัวเราะในลำคอไม่พูดอะไรอีก เฟรี่โมโหเลยพาลเอื้อมมือมากระชากกล้องส่องทางไกลออกไปจากมือของอีกฝ่าย

“ไม่ให้ดูแล้ว เอาคืนมาเลย”

นักรบหน้ากากหันมามอง ทำท่าค้างเป็นรูปปั้นครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าหัวเราะอีก ไม่รู้ว่าขำอะไรเหมือนกัน เฟรี่มองหน้าค้อนขวับแล้วจับกล้องส่องทางไกลบิดพับไปมาจนเหลือขนาดเล็กนิดเดียวก่อนเก็บเข้าอกเสื้อ โดยมีไนท์คอยมองอยู่อย่างเงียบๆ เห็นชุดมอมแมมซึ่งเคยขาวสะอาดของหญิงสาวแล้วก็รู้สึกเห็นใจเหมือนกันกับคนไม่เคยเผชิญหน้ากับความลำบากแบบนี้ แต่เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นแล้วก็พอจะเบาใจได้บ้างว่าไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ

“แรงระเบิดของเจ้าทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นแหล่งกระตุ้นความสนใจของบรรดากลุ่มปีศาจแถวนี้ ตัวข้าเองก็ต้องยุ่งยากในการจะกลับเส้นทางเดิม จำเป็นต้องเดินไปในทิศทางเดียวกับเส้นทางที่เจ้าจะเดินทางกลับอย่างช่วยไม่ได้”

ปีศาจหน้ากากเย็นชาอธิบายเสียงเรียบๆ ขณะดึงดาบออกมาจากฝัก ตรวจดูคมดาบไปมาให้แน่ใจว่าพร้อมอยู่ในสภาพใช้งาน

“เจ้าจะตามข้ามาก็ได้แม้ว่าข้าจะไม่เต็มใจนักกับการแบกรับภาระผู้หญิงไม่ได้เรื่องคนหนึ่งซึ่งทำอะไรไม่ค่อยเป็น เพราะเคยอยู่แต่เบื้องบนสุขสบาย  แต่บอกก่อนนะว่าถ้าตามข้ามาแล้วห้ามดื้อเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าทิ้งเจ้าไว้ที่นี่แน่”

หญิงสาวพยายามนับหนึ่งถึงร้อยกับวาจากวนประสาทนั่น แต่รู้ว่าต่อไปนี้ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นอีกแล้ว นอกจากตามปีศาจจอมโอหังเย็นชาผู้นี้ไปอย่างช่วยไม่ได้ พลางคิดในใจ คอยดูนะ...กลับไปได้เมื่อไรข้าจะไปฟ้องคนรักให้นำกองทัพมาตามจับตัวคนใจร้ายปากร้ายอย่างเจ้าไปขังคุกเสียให้เข็ด เห็นว่าเรามาพึ่งพาอาศัยทำปากคอเราะร้ายพูดไม่เกรงอกเกรงใจกันบ้างเลย

ไนท์ตรวจดูอาวุธคู่กาย จนพอใจแล้วเก็บดาบเข้าฝักตามเดิม เดินไปเกาะโขดหินจ้องมองลงไปบริเวณด้านล่างอีกครั้งซึ่งตอนนี้เริ่มมีกลุ่มหมอกสีดำลอยมาปกคลุมจนเลือนรางไปบ้างแล้ว

“ไปกันตอนนี้เลย”

เขาสอดฝักดาบเข้ากับสายรัดเอวหันมาพยักหน้าให้อีกฝ่าย

“ตอนนี้หมอกกำลังเคลื่อนตัวมา เราเดินทางจังหวะนี้ทำให้พวกนั้นหาเราพบยากขึ้น ข้าไม่อยากเสี่ยงกับพวกของเทวบุตรมาร พวกนั้นเป็นตัวอันตราย ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการปะทะกับพวกมัน”

พูดจบก็ไม่ต้องฟังความเห็นของใคร ไนท์หันหลังแล้วเดินลัดเลาะช้าๆ ลงไปตามทางเดินแคบๆ และอันตรายจากการร่วงหล่นลงไป ดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับเส้นทางนี้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเฟรี่แล้วเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเหลือเกินเพราะทางเดินธรรมชาติแบบนั้นทั้งชันทั้งแคบ ด้านหนึ่งคือหน้าผาสูงด้านหนึ่งคือผนังชันดิ่งลงไปอย่างน่ากลัวแม้ว่าจะไม่สูงอะไรมากนัก แต่หากหล่นลงไปก็อาการหนักแน่นอน

“ถ้าไม่แน่ใจก็จับชะง่อนหินเอาไว้”

ไนท์หันมาบอก ท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจเท่าไรแต่ก็ไม่ได้เดินห่างออกไปจนหายลับเหมือนอยู่ในถ้ำ เขาเว้นระยะไปเพียงไม่กี่ช่วงแขนเท่านั้น

“ไม่ต้องห่วงข้าหรอกน่า ทางแค่นี้ข้าเดินสบายอยู่แล้ว”

หญิงสาวกัดฟันร้องบอกด้วยเสียงหนักแน่นพยายามก้าวเท้าลงมาตามทางลาดชันนั้นด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้ จนอีกฝ่ายต้องมองแล้วนึกชมในใจ เห็นท่าทางผู้ดีนุ่มนิ่มแบบนั้น ถึงคราวจำเป็นก็พยายามจะทำตัวไม่เป็นภาระให้ใครมากมายเกินความจำเป็นได้เหมือนกัน

ขณะลงมาถึงครึ่งทาง หญิงสาวเหยียบพลาด ร่างไถลลื่นลงมาตามทางเดินแล้วทำท่าจะหลุดออกไปจากหน้าผาพร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจ ไนท์เหมือนคอยดูอยู่แล้วแบบไม่ให้คลาดสายตา เขารีบพุ่งตัวมาดึงแขนของหญิงสาวกระชากกลับเข้ามาในแนวทางเดินอย่างทันท่วงที

“ข้าไม่เป็นไร”

เฟรี่บอกเสียงสั่น พยายามฝืนยิ้มแม้ใบหน้าจะขาวซีดด้วยความตกใจ ไนท์ค่อยปล่อยมือของเธอออกด้วยท่าทางแปลกๆ แถมยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นมาดูเหมือนไม่แน่ใจ

“มันไม่ระเบิดใช่ไหม”  

 คู่กรณีมองหน้ากากแล้วถามสั้นๆ

“ใช่..”

ปีศาจหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงแสดงความครุ่นคิด

“ตำราที่ข้าเคยเรียนมาน่าจะผิด มันเขียนบอกว่าร่างกายของพวกเบื้องบนและพวกเบื้องล่าง เป็นเหมือนสสารและปฏิสาร ถ้ากระทบกันตรงๆ เมื่อไรจะระเบิดทำลายตัวเองไปทั้งคู่”

“ในตำราของพวกข้าก็เขียนไว้แบบนี้เหมือนกัน”

เฟรี่บอกขณะเริ่มเดินลงมาอีกครั้งอย่างระมัดระวังมากกว่าเก่า ไม่ต้องลงมาแบบรีบร้อนเพื่อพิสูจน์อะไรให้ใครบางคนเห็นอีกแล้ว ส่วนปีศาจนักรบก็ยังคงเดินนำหน้าลงไปเหมือนเคย อย่างน้อยก็ทำให้เห็นแล้วว่าภายใต้หน้ากากเย็นชาไร้อารมณ์นั้น ยังมีความปกป้องดูแลอีกฝ่ายอยู่ ไม่ได้ใจร้ายไส้ระกำจนไม่แยแสอะไรทั้งนั้น

“เจ้าเชื่อแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม....”

หญิงสาวเป็นฝ่ายชวนคุย

“เรื่องอะไร”

“เรื่องสสารปฏิสารอะไรนั่น...เจ้าเชื่อว่าเป็นจริงไหม”

“ถ้าข้าเชื่อข้าก็คงปล่อยให้เจ้าหล่นลงไปแล้ว..ตอนนี้ก็พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องจริงเจ้ากับข้าคงระเบิดเป็นจุลไปแล้วเมื่อครู่”

“ทำไมตำราพวกนั้นต้องบอกแบบนั้นนะ”

น้ำเสียงของเฟรี่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ เพราะในตำราสมัยเรียนบอกว่าพวกปีศาจและพวกสวรรค์จะกระทบกันไม่ได้ จะระเบิดเป็นพลังงานสูญหายไปอย่างไม่มีวันกลับมาเป็นสภาพเดิมได้อีก และยังบอกว่าชาวปีศาจรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวไม่มีรูปกายของความเป็นมนุษย์เลยสักนิด ตัวโตและชอบกินเนื้อสดๆ เป็นอาหาร ชอบการฆ่าฟันและทำลายล้าง

“เจ้าเป็นปีศาจจริงๆ หรือ” หญิงสาวถามอีก

“แล้วเจ้าล่ะ เป็นนางฟ้าจริงๆ หรือ”

“เลิกเสียทีได้ไหม อาการย้อนถามแบบนี้ ข้าไม่ชอบเลย”

เริ่มเสียงขุ่นอีกแล้ว แต่อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ อย่างหาความหมายอะไรไม่ได้ ก่อนจะพูดด้วยเสียงราบเรียบตามความเคยชินว่า

“ข้าว่าบางทีมันอาจเป็นเพียงคำเรียกขานเท่านั้น พวกข้าเป็นปีศาจ แล้วเป็นปีศาจจริงๆ หรือไม่ ถ้าไม่ใช่แล้วปีศาจจริงๆ อยู่ที่ไหน เจ้าเป็นพวกชาวสวรรค์จริงๆ หรือไม่ ถ้าไม่ใช่แล้วพวกชาวสวรรค์จริงๆ อยู่ที่ไหน แล้วพวกเราเป็นอะไรกัน ข้าก็ไม่เข้าใจ แต่ที่แน่ๆ พวกเราถูกแบ่งแยกกันแล้วด้วยอะไรบางอย่าง”

“เจ้าไม่ค่อยเหมือนปีศาจที่ข้าเคยคิดเอาไว้สักเท่าไร” เฟรี่บอกด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ความจริงข้าเองก็เคยสงสัยว่าลึกลงไปใต้อาณาจักรของพวกเรายังจะมีพวกโลกเบื้องล่างอยู่อีกหรือ แล้วอะไรคือเบื้องบนเบื้องล่าง ข้ายิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ  ถ้าเราอยู่ในอวกาศว่างๆ ตามลำพัง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าด้านไหนคือด้านบน ด้านไหนคือด้านล่าง”

“ข้าก็เคยสงสัยเหมือนกัน ว่าเบื้องบนอาณาจักรของข้าจะมีพวกเบื้องบนอยู่ที่ไหน สูงขึ้นไปเท่าไร ข้าก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกัน”

“นี่...”

“อะไร”

ต่างฝ่ายต่างถามและตอบกันสั้นๆ เหมือนไม่ค่อยพอใจในการพูดคุยกันนัก  แต่การสนทนายังคงดำเนินต่อไป

“เจ้าว่าโลกของพวกมนุษย์กลมหรือแบน”

“ไม่เห็นจะยาก โลกของพวกมนุษย์นั่นแบนอยู่แล้ว”

“ผิด” หญิงสาวร้องอย่างผู้ชนะ

“โลกกลมต่างหาก นี่แสดงให้เห็นว่าความรู้ทางวิทยาการของพวกปีศาจยังคงล้าหลังเหลือเกิน พวกข้ารู้มาตั้งนานแล้วว่าโลกกลม”

“แล้วมันต่างกันตรงไหน”

“ก็ต่างกันระหว่างคำว่ากลมกับแบนน่ะสิ หรือว่าเจ้าแยกแยะระหว่างสองคำนี้ไม่ออก กลมคือกลมๆ แบนก็คือแบนๆ ถ้าโลกแบนเจ้าเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็ตกลงไปตาย”

“ตกลงไปไหน”

“ก็......”

เฟรี่อึกอัก เพราะตัวเองก็สงสัยคำถามแบบนี้เหมือนกัน นั่นสิ..จะตกลงไปไหน แต่ในที่สุดก็พบทางออกของคำตอบนี้โดยรวดเร็วเหมือนกัน

“ก็เพราะว่าโลกมันกลม จึงไม่ต้องตกลงไปไหน แค่ถามเจ้าก็ถามผิดแล้ว”

“แล้วโลกสวรรค์ของเจ้าล่ะเป็นยังไง กลมๆ หรือว่าแบนๆ หรือว่าบิดๆ เบี้ยวๆ แหว่งๆ ขาดๆ หายๆ บุบบิบบู้บี้ยู่ยี่เป็นลูกพลับ”

หญิงสาวร้องออกมาคำหนึ่งอย่างขัดใจ เผลอตัวพุ่งเข้าไปผลักกลางหลังของคนพูดจากวนประสาทเต็มแรงจนคนโดนผลักผวาหลุดออกไปจากทางเดินแคบๆ คนผลักร้องอย่างตกใจแต่แล้วก็รีบเอามืออุดปากตัวเองไว้เมื่อเห็นว่านักรบปีศาจลงไปยืนอย่างสบายใจอยู่พื้นด้านล่างแล้วไม่ไกลออกไปนี่เอง

“ทำอะไรของเจ้า”

ไนท์พูดเสียงขุ่นอย่างไม่พอใจ

“ถ้าบังเอิญว่าเมื่อครู่อยู่สูงกว่านี้ ข้าไม่ตกลงมาคอหักตายหรือไง”

“คอหักเสียได้ก็ดี มาหาว่าโลกของข้า..บิดๆ เบี้ยวๆ แหว่งๆ ขาดๆ หายๆ บุบบิบบู้บี้......”

พูดยังไม่ทันขาดคำ หญิงสาวก็หยุดพูด กัดริมฝีปาก สีหน้าเปลี่ยนไป แล้วในที่สุดก็เอามือปิดปากหัวเราะออกมาเสียงใสอย่างอดใจไว้ไม่ได้ ทำเอาคู่กรณีมองด้วยท่าทางแปลกๆ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

“เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว บ้าหรือเปล่า”

“ข้าขำที่เจ้าว่าโลกของข้าบิดๆ เบี้ยวๆ แหว่งๆ ขาดๆ หายๆ บุบบิบบู้บี้น่ะสิ” พูดพลางหัวเราะพลางจนตาหยี

”นึกภาพแล้วตลกชะมัด โลกปีศาจของพวกเจ้าก็คงเหมือนกัน แต่คงอาการหนักมากกว่าโลกของข้าแน่ๆ คงแฟ่บๆ เหี่ยวๆ บิดๆ เบี้ยวๆ แหว่งๆ ขาดๆ หายๆ บุบบิบบู้บี้”

“ข้าว่าเจ้าต่างหากอาการหนักแล้ว มาหัวเราะเป็นบ้าอยู่ในที่แบบนี้ เอาล่ะ..เลิกโลกเบี้ยวได้แล้ว เดินตามข้ามาและระวังตัวด้วย แถวนี้อันตรายรอบด้าน”

ว่าพลางปีศาจหนุ่มก็หันซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง

“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าโลกของเจ้าเป็นแบบไหน”

แน่ะ...ยังไม่เลิกอีก ปีศาจหนุ่มเริ่มรู้สึกทั้งขำทั้งรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว พวกเบื้องบนเป็นอย่างนี้ทุกคนไหมนะ

“ถ้าข้าเดินไปแล้วไม่เกิดอาการตกโลก ข้าก็ไม่สนใจหรอกว่ามันจะกลมหรือแบน แต่ถ้าโลกของข้ามันกลมมันก็หมายถึงว่าไม่มีเบื้องบนเบื้องล่างจริงใช่ไหมล่ะ ส่วนที่ข้าคิดว่าโลกแบนยังพอคิดได้ว่าเหนือหัวของข้าขึ้นไปยังมีโลกซึ่งอยู่สูงกว่าขึ้นไป หรือว่าเจ้าอยากมาอยู่ในระดับเดียวกับข้าล่ะ”

“ไม่มีทาง ข้าต้องอยู่สูงกว่าพวกปีศาจอย่างเจ้าอยู่แล้ว” เอ่ยย่างมั่นใจเต็มที่

“งั้นก็แสดงว่าเจ้ายอมรับเรื่องโลกแบน เพราะถ้าโลกกลมเจ้าก็หาความสูงแท้จริงไม่ได้ เพราะเมื่อข้าเดินรอบโลกเป็นวงกลม เหนือหัวของข้าทุกที่ก็ต้องคือเบื้องบนทั้งหมดซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ว่าเบื้องล่างจะมาจำกัดอยู่ที่โลกของข้าเท่านั้น”

“โลกกลม...ไม่ต้องมาเถียงข้า”

“ข้าก็ไม่อยากจะเถียงกับเจ้าเท่าไรหรอกน่า”  

พูดจบไนท์ก็หันหลังก้าวเท้ายาวๆ ออกเดินทันทีในลักษณะเดินตามควายอเวจีอย่างที่ถูกตั้งวิธีการเดินให้ เฟรี่ต้องรีบเดินตามโดยเร็วอีกครั้ง

ตำราสวรรค์เคยสอนว่าในนรกร้อนราวเตาไฟ แต่ความจริงซึ่งหญิงสาวเผชิญอยู่นี้ดินแดนของโลกปีศาจไม่ได้ร้อนระอุแบบนั้นหากจะมีทั้งความร้อนอบอ้าวพอทนได้และความหนาวเหน็บพัดผ่านสลับกันไปมาอยู่เช่นนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องปรับตัวให้ได้

สภาพพื้นดินแตกระแหงสีน้ำตาลไหม้เป็นภาพไม่น่าดูนักและเต็มไปด้วยโขดหินใหญ่น้อยเรียงรายไปตลอดบริเวณ โลกเบื้องล่างไม่มีดวงอาทิตย์หากมีแสงสว่างไปทั้งท้องฟ้าซึ่งหญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรกับระบบกลางวันกลางคืนของที่นี่ แต่ก็น่าจัดทีมมาศึกษาค้นคว้าถ้ามีเวลาและเป็นไปได้ บางทีอาจได้รับรางวัลขั้นสูงสุดของสมาคมโลกวิทยาการแห่งเบื้องบนก็เป็นได้

จะว่าไปแล้วมันก็เป็นภาพน่าประหลาดทีเดียวกับการที่นักรบปีศาจเดินนำหน้าสาวชาวสวรรค์อยู่ในดินแดนอเวจีแบบนี้ เป็นปรากฏการณ์ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อยว่าดวงดาวชาวสวรรค์จะร่วงหล่นลงมาในขุมนรก

สายลมเย็นเริ่มพัดผ่านมาอีกแล้ว เฟรี่กัดฟันเดินตามผู้นำทางอย่างไม่ย่อท้อแม้ว่าสองเท้าจะระบมจนแทบจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ไม่มีวันเสียล่ะว่าจะแสดงความอ่อนแอให้คู่ปรับได้ใจ แต่ในที่สุดเมื่อความทนทานเกินขีดจำกัดร่างของหญิงสาวก็เซซวนทำท่าจะล้มลงกับพื้น ดีว่ามือคว้าชะง่อนหินข้างตัวไว้ทัน

ปีศาจหนุ่มหยุดเดินหันมามองเหมือนจะเอ่ยปากถาม แต่ก็เฉย หญิงสาวชาวสวรรค์มองหน้าแล้วแยกเขี้ยวย่นจมูกใส่อย่างโมโหก่อนร้องเสียงขุ่นว่า

“ไม่ต้องมาซ้ำเติมเลย ข้าแค่เหนื่อยอยากพักเท่านั้น เดี๋ยวก็เดินได้แล้ว”

“ท่าทางเจ้าไม่ไหวแล้ว”

“แล้วทำไม”

กระชากเสียงถามแล้วมองหน้ากากเย็นชาแต่ดูเหมือนว่าใต้หน้ากากสีขาวนั้นกำลังปรากฏรอยยิ้ม

“ข้าไม่ทำไมหรอก  อย่างดีก็แค่ทิ้งเจ้าไว้ที่นี่”

“จะไปไหนก็ไป”

เฟรี่ถอนหายใจแล้วตวาดอย่างเหลืออด รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ทั้งโมโหทั้งแค้นใจตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ดังใจ พยายามแล้วว่าจะไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น แต่บางครั้งมันก็เป็นเรื่องเหลือวิสัยเกินกำลัง

“แน่ใจนะ”

ยังมีหน้ามาถามแบบนี้อีก ฟังแล้วอยากร้องไห้ออกมาดังๆ แล้วกระโดดงับคอหอยคนถามให้ชักดิ้นชักงอไปเหลือเกิน แต่สิ่งที่ทำหลังจากนั้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่อยากทำเลยแม้แต่น้อยเพราะน้ำตาเจ้ากรรมพาลร่วงพรูออกมาแบบหน้าตาเฉยต่อหน้าต่อตา

“อ้าว....เป็นอะไร อยู่ๆ ก็ร้องไห้เป็นเด็กขี้แยแบบนี้”

ไนท์ถามอีกก่อนเดินมานั่งลงใกล้ๆ แต่ยังมีท่าทางระแวดระวังตลอดเวลา คู่กรณีนั่งกอดเข่าหันหน้าไปทางอื่น ไม่พูดไม่จาอะไรอีก เอาแต่นั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าอย่างเดียว นักรบปีศาจมองแล้วโคลงหัวไปมา เขาไม่รู้วิธีจัดการกับอารมณ์แบบนี้ของผู้หญิง


ขณะนั้นเองมีเสียงคำรามแหบต่ำชวนขนลุกดังออกมาจากบริเวณด้านข้าง ปีศาจหนุ่มลุกขึ้นทันทีมือกุมด้ามดาบแน่นสายตาจ้องเขม็งไปยังทิศทางของเสียง เฟรี่ขยับเข้ามาหาไนท์โดยไม่ต้องบอก รู้ว่าเรื่องร้ายๆ กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว


*********

แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 54 20:54:58

จากคุณ : GTW
เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 20:40:04




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com