บทที่ ๑ ทางเลือกของทั้งสอง
“นี่ไม่ใช่ฝัน”
เจ้าหญิงแห่งความฝันเอ่ย พร้อมกับบีบมือที่เธอเกาะกุมอยู่แน่นขึ้นตามไปด้วย
นั่นไม่ใช่คำถาม ไม่ใช่ถ้อยคำแสดงความกังขา แต่เป็นการยืนยัน
“ดูเจ้าไม่แปลกใจเลย” ผู้บุกรุกนัยน์ตาสีทองเผยรอยยิ้มน้อยๆ ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากระเบียง
“ข้าว่าข้ารู้จักท่านดีกว่าที่ท่านคิดนะ” หญิงสาวกวาดมองชายตรงหน้า ให้สมความคิดถึง “เช่น ท่านเป็นคนรักษาสัญญา...แต่ไม่นึกว่าจะมาอย่างเอิกเกริกกว่าที่คิด”
“แล้วไม่กลัวหรือ”
“อาเมียร์ก็คืออาเมียร์ ทำไมข้าต้องกลัวด้วยล่ะ” แอชลีนน์ผละไปจากเขา หมุนตัวกลับไปหมายจะจุดตะเกียง...แต่เพียงอีกฝ่ายโบกมือ แสงของตะเกียงครอบแก้วก็กลับส่องสว่างขึ้นมาเอง
หญิงสาวนิ่งอึ้งไปเพียงครู่เดียว ก็หันกลับมาเข่นเขี้ยว
“ขี้โกง”
“เขาเรียกอำนวยความสะดวก” อาเมียร์เอียงคอ ยักไหล่พร้อมกับยิ้มน้อยๆ แต่หลังจากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนที่เขาจะหลับตาลง ปีกสีดำที่กลางหลังของเขาสลายหายไปราวกับฝุ่นควัน
และเมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาก็กลับเป็นสีดำลึกล้ำที่คุ้นเคยอีกครา
“เดี๋ยวนี้ใช้เวทมนตร์เป็นว่าเล่นเชียว” แอชลีนน์อดพูดไม่ได้ “ไม่เป็นอะไรหรือ”
“ไม่หรอก ข้าสงบศึกกับเจ้าเด็กอีกคนในร่างได้แล้ว ถึงทำได้” เขาตอบ “เห็นมาลิอาบอกว่าเล่าให้เจ้าฟังแล้ว แต่ถ้าอยากรู้อะไรมากกว่านี้ ข้าจะเล่าให้ฟังระหว่างทางก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มพูดราวกับรู้ว่าเธอจะไม่ปฏิเสธ
“ท่านเชื่อว่าข้าจะไปด้วยหรือ” ด้วยเหตุนี้เอง แอชลีนน์จึงได้ตั้งคำถาม
“ข้ามาพาเจ้าไปเพื่อตัวเจ้าเอง และเพื่อธีร์ดีเรด้วย”
“ให้ข้าได้เป็นราชินีด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีราชา” หญิงสาวต่อคำพูด ก่อนจะนั่งลงบนเตียงของตน เหมือนในฝันครั้งนั้น
เธออดไม่ได้ที่จะถอนใจ ความยินดีที่ได้พบชายเบื้องหน้าดูราวกับจะเหือดหายไปเสียหมดกับความคิดนั้น
“ข้าไม่คิดว่าจะมีใครสนับสนุนเรื่องนั้นกันนักหรอก”
“อย่างน้อยก็มีท่านเบเรค พ่อข้า แล้วก็ตัวข้า” อาเมียร์แย้ง “และยังมีเรื่องที่หากเปิดเผยออกมา ใครๆ ย่อมต้องคัดค้านการประลองเลือกคู่เป็นแน่”
“แต่เราต้องแลกด้วยอะไรบ้าง อาเมียร์” เจ้าหญิงยังคงติง “ธีร์ดีเรมีเรื่องวุ่นวายมากพอแล้วนะ กว่าข้าจะเป็นราชินีที่พวกขุนนางยอมรับได้ด้วยตนเอง ยังต้องใช้อีกกี่ปี ใครจะไปรู้”
“แต่นี่คือหนทางที่ดีที่สุดต่อเจ้า และธีร์ดีเร ทั้งในความคิดของข้า และทุกคนที่รู้เรื่องทั้งหมดด้วย”
“แต่ข้าคิดว่า...ตราบใดที่ชาวธีร์ดีเรสงบสุข นั่นต่างหากถึงจะดีที่สุด” หญิงสาวเอ่ย แม้จะไม่กล้าสบตากับเขา “ข้ารู้...ข้ากับดูลัสอาจจะเข้ากันไม่ได้ในบางเรื่อง แต่ตราบใดที่เราเห็นตรงกันในเรื่องบ้านเมือง เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว”
“แต่เจ้าควรมีสิทธิ์เลือกคู่ครองด้วยตนเอง” อาเมียร์ยังคงค้าน “หากดูลัสหวังดีต่อเจ้าจริงๆ เขาต้องเข้าใจ ว่าเขาหรือใครก็ตามไม่มีความชอบธรรมในฐานะ ‘คู่หมั้น’ ของเจ้ามาแต่แรก เว้นเสียแต่เจ้าจะสมัครใจเลือกเขา โดยไม่มีใครบังคับด้วยเหตุอื่นใดทั้งสิ้น”
“เพราะอะไร” เธอรู้ คำถามนั้นฟังดูโง่เขลา หญิงสาวเองก็คิดว่าตนเองควรมีสิทธิ์เลือก แต่สำหรับเจ้าหญิง การแต่งงานกับคู่ครองที่เหมาะสม...ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายต่างเมืองหรือขุนนางชั้นสูงคนใด...ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้อื่นตัดสินให้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ
“เพราะผู้ที่วางแผนลอบปลงพระชนม์คือพ่อของเขา”
หากว่าแอชลีนน์ตกใจกับคำพูดนั้น...ถ้อยคำที่ชายหนุ่มเอ่ยต่อมาก็เป็นยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด
“...ร่วมกับจิตอีกด้านของตัวข้าเอง”
* * * * *
เจ้าชายแห่งความมืดยังคงกลัว...แม้ในขณะที่เล่า ‘ความจริง’ ทั้งหมดออกไป
อาเมียร์รู้ ว่าตนไม่รู้สึกตัวและไม่ได้รู้เห็นสิ่งที่จิตอีกด้านในร่างของมาดายทำลงไป แต่นั่นไม่ใช่เหตุที่จะขอความเห็นใจ หรือการให้อภัยจากแอชได้ไม่ใช่หรือ เขาเองเคยเป็นผู้สูญเสีย และรู้ว่าเหตุผลอย่างใดก็ตามย่อมไม่ใช่เหตุที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้คร่าชีวิตได้
แต่สิ่งที่เขาตั้งใจจะทำก็ไม่ใช่แค่เพื่อไถ่โทษหรือแสดงความรับผิดชอบ นั่นเองที่ชายหนุ่มอยากให้หญิงสาวเข้าใจ
...เขาตั้งใจจะทำเพื่อเธอ เพราะอยากให้เธอได้มีความสุขอย่างแท้จริง...
“ข้ารู้ ตัวเองแค่พูดได้ปากเปล่า ยังยืนยันอะไรไม่ได้ ที่จริงข้ารู้ว่ามีมนตร์ช่วยถ่ายทอดความทรงจำที่ข้าเห็น ให้เจ้าได้เห็นด้วยกัน แต่...ข้าไม่คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่เจ้าควรดู ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม” ชายหนุ่มสรุป
แอชลีนน์ยังคงนิ่งงัน ทอดสายตาเลื่อนลอยไปบนพื้นห้อง ไม่ตอบคำใดเลย ตั้งแต่เขาเริ่มเล่าสิ่งที่ตนเห็นผ่านสายตาของเนอร์กุย มือสังหารชาวอัสลานผู้รอดชีวิต
...ว่าพ่อและพี่ชายของเธอตายได้อย่างไร ส่วนแม่นั้น...
สิ่งที่เล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบา
แต่ก็ดังพอจะทำให้อาเมียร์สะดุ้ง
“แอช...”
“ไม่เป็นไร” หญิงสาวเบือนหลบจากเขา เสียงเอ่ยยังคงสั่นเครือ แม้เขาฟังออกว่าเธอพยายามกดให้เรียบแล้ว “...ข้า...”
อาเมียร์ปราดเข้าหาเธอ ราวกับหญิงสาวกำลังจะจมน้ำในอีกไม่กี่อึดใจ
แอชซุกหน้าลงกับเสื้อของเขา...ซึ่งไม่ช้าก็เปียกชุ่มโชก สองมือจิกแผ่นหลังเขาแน่นจนสั่นเกร็ง กระทั่งเสียงอู้อี้ไม่เป็นคำที่เปล่งออกมานั้นยังดังและกราดเกรี้ยว ราวกับเสียงของสัตว์ที่บาดเจ็บ
ชายหนุ่มลูบเรือนผมและหลังไหล่ของเธอ ไม่ได้บอกว่าอย่าร้องไห้ หรือนิ่งเสีย เขาเองก็รู้ดี...เมื่อมีสิ่งใดที่อัดแน่นอยู่ในอก ย่อมต้องเปิดช่องทางให้มันระบายออกมา เมื่อครู่แอชเพิ่งรู้ว่าพ่อแม่และพี่ชายของตนตายไปอย่างไร...หลังจากถูกปิดบังมาเนิ่นนาน
เขาเองก็อยากรู้...เวลานี้ก็ยังคงอยากรู้ เสด็จพ่อที่ใช้พระชนม์ชีพปกป้องแม่ไว้เล่าตายไปอย่างไร เจ็บปวดหรือทรมานมากไหม...แต่หากได้รู้แล้ว ก็คงจะมีปฏิกิริยาไม่ต่างจากหญิงสาวในอ้อมแขน หรือเด็กชายซึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมแขนของแม่ที่ตนเคยเป็นนัก
ก็คงเป็นเช่นนี้เอง...มีบางสิ่งที่มิอาจร่วมแบกรับหรือปลอบโยนได้ด้วยวาจา แต่เป็นสัมผัสและการอยู่เคียงข้าง
ไม่รู้ว่านานเท่าใด ที่แอชร้องไห้อยู่เช่นนั้น อาเมียร์พร้อมจะรอให้เธอได้ระบายอารมณ์จนพอใจ...ทว่าเป็นสิ่งอื่นต่างหากที่ไม่รั้งรอ
เสียงเคาะประตู
“องค์หญิง! ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ!”
ชายหนุ่มตำหนิตนเองที่ลืมใช้อาคมปิดกั้นเสียงไว้ก่อน และรีบใช้อาคมลงกลอนประตู ป้องกันไว้ในทันใดนั้น
ทว่าแอชยังคงมีสติดี เธอปล่อยมือจากเขา และหันกลับไปตอบ แม้เสียงจะยังสั่นอยู่
“ม...ไม่มีอะไร เราแค่ฝันร้าย เคียราไม่ต้องห่วงหรอก”
“ทรงพระสุบินไม่ดีหรือเพคะ ให้หม่อมฉันเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร เคียราไปนอนเถอะ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ”
“แต่ว่า...”
“บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ!”
มีเสียงว่า ‘เพคะ’ รับมาอ่อยๆ ก่อนอีกฝ่ายจะเงียบไป
หญิงสาวรีบปาดน้ำตาโดยเร็ว และดูเหมือนจะพยายามกลับมาเป็นคนเดิม เธอพูดกับอาเมียร์ด้วยเสียงที่เบาลง
“ข้ารู้ว่าท่านคงไม่อยากเห็นข้าเป็นอย่างนั้น แต่ก็...ขอบคุณที่บอกนะ ถึงอย่างไรข้าก็ยังอยากรู้อยู่ดี”
อาเมียร์พยักหน้า และตั้งท่าจะพูดขึ้น ทว่าเจ้าหญิงกลับเอ่ยต่อเสียก่อน
“แต่เรื่องไปกับท่าน และเปิดโปงความจริง...ถึงจะรู้อย่างนั้น ข้าก็ไม่อยากทำให้เรื่องเลวร้ายลงไปกว่านี้ ต่อให้แฟคท์นาเป็นคนร้าย เขาก็...อายุมากแล้ว ท่านก็บอกเองว่าดูลัสไม่น่าจะรู้ และดูลัสก็ไม่ใช่คนที่กระหายอำนาจ ข้า...คิดว่าเขาคงรักข้าด้วยซ้ำ”
“แต่เจ้าไม่ได้รักเขาไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มยังมีเหตุผลอีกมากมาย “แอช ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจจะยอมแต่งงานกับเขา เพื่อความสงบสุขของธีร์ดีเร แต่มันจะเป็นอย่างนั้นได้จริงหรือ ต่อให้แฟคท์นาชราแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่คิดทำอย่างอื่นหากเจ้าแข็งข้อ หรือยืนกรานจะดูแลราชการเอง จุดประสงค์หลักที่เขาให้ดูลัสแต่งงานกับเจ้า ก็เพื่อให้ดูลัสได้ครองบัลลังก์ และมีทายาทที่มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ หากว่าได้ทั้งสองอย่างแล้ว เขาอาจจะลอบสังหารเจ้า หรือใช้วิธีอื่นควบคุมเจ้า ไม่ให้ดูแลธีร์ดีเรได้ตามต้องการก็ได้”
อาเมียร์รอฟัง ทว่าหญิงสาวกลับก้มหน้าเงียบงัน มือยกขึ้นซับน้ำตาเป็นระยะๆ เท่านั้น
“และต่อให้แฟคท์นาไม่ลงมืออะไร เจ้าจะทนได้หรือ ...ชั่วชีวิตกับคนที่ไม่ได้รัก หรือกระทั่งอาจจะเข้ากันไม่ได้ แม่ของข้าเคยเป็นทุกข์ด้วยเรื่องนี้มาแล้ว แม้ข้าจะเพิ่งได้รู้ไม่นานนี้เอง แผ่นดินนี้จะเป็นสุขได้อย่างไร ถ้าผู้ปกครองของแผ่นดินไม่ได้มีความสุขไปด้วย” เขารวบรวมความกล้า...เอ่ยชื่อคนที่รูอาร์คเคยเปรย ยามแนะนำว่าเขาควรจะเกลี้ยกล่อมแอชอย่างไร “...ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นอย่างมาทิลดาแห่งทารา”
มาทิลดา...เจ้าหญิงรัชทายาทองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ทารา ผู้สืบเชื้อสายจากเอรินและสุริยเทพ มีตำนานเล่าขานว่านางถูกบังคับให้สมรสกับเชรุน อัศวินตระกูลอลาชตาร์ผู้เป็นต้นราชวงศ์ใหม่ และสิ้นพระชนม์เพราะตกจากยอดหอคอย หลังมีพระประสูติกาลโอรสของเชรุน
ตอนที่รูอาร์คเล่าให้เขาฟัง ชายผมแดงให้ข้อสันนิษฐานเอาไว้ บ้างว่ามาทิลดาฆ่าตัวตายเพราะถูกบังคับให้อภิเษก บ้างว่าหญิงนางกำนัลที่เป็นชู้รักของเชรุนผลักนางลงมา แต่บ้างก็ว่าเชรุนหรือใครอื่นอาจจะลอบสังหารนาง เพื่อมิให้ก้าวก่ายการปกครองของราชวงศ์ใหม่ หลังจากได้โอรสผู้เป็นรัชทายาทแล้ว
อาเมียร์เองอดเชื่อไม่ได้ว่าเป็นอย่างหลังสุด หากมาทิลดาจะฆ่าตัวตาย...เหตุใดจึงต้องรอจนมีโอรสก่อนด้วยเล่า
“หากดูลัสรักเจ้าจริง เขาย่อมอยากให้เจ้าได้ทำสิ่งที่ต้องการไม่ใช่หรือ”
แอชยังคงนิ่งเงียบอยู่อีกครู่หนึ่ง จึงปาดน้ำตาและเปรย
“ทำไมเราถึงได้นึกถึงคนคนเดียวกันนะ”
เธอไม่ขยายความ...ว่านั่นหมายถึงมาทิลดาแห่งทารา หรือพระคู่หมั้นดูลัส
“ถ้าข้าไปด้วย ท่านคิดจะทำอะไรต่อไป” หญิงสาวเหยียดหลังตรง เสียงถามเป็นพิธีรีตอง ราวกับกำลังสนทนาเรื่องราชการแผ่นดิน
อาเมียร์รู้ ว่าเขาต้องให้คำตอบที่ชัดเจนที่สุด
“ข้าจะพาเจ้าไปที่ยาร์ลาธในคืนนี้ หากใช้เวทมนตร์ เราคงไปถึงได้ในวันมะรืน ทางวังหลวงย่อมรู้ดีพอที่จะไม่ป่าวประกาศว่าเจ้าหายตัวไป และเมื่อถึงยาร์ลาธแล้ว เจ้าจะส่งสาสน์ลับกลับมา”
“ขอลี้ภัย?”
“ใช่ และขอให้ดูลัสกับท่านผู้สำเร็จราชการมาพบ...เพื่อฟังความจริงเบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์”
สีหน้าของแอชเริ่มเคร่งเครียดขึ้น
“คนของท่านเบเรคกำลังตามหาเกลกับซานา...ในฐานะพยาน เมื่อดูลัสกับท่านผู้สำเร็จราชการรู้ความจริง ก็ให้พวกเขาไปเจรจากับแฟคท์นา ...ให้เลิกล้มแผนการทั้งหมดเสีย เพื่อแลกกับการอภัยโทษ”
หญิงสาวกลับดูตะลึงงัน
“นั่นมัน...”
“นี่คือวิธีที่สงบที่สุดที่ข้าคิดได้ หากว่าแฟคท์นายังมีความคิดอยู่บ้าง เขาย่อมรู้ว่าเมื่อความจริงถูกเปิดโปง ความชอบธรรมและชาวธีร์ดีเรก็จะไม่อยู่ข้างตนอีกต่อไป” อาเมียร์อธิบาย “ส่วนตัวข้าอีกคนที่สิงร่างมาดาย ข้ากับท่านลูเธียนและมาลิอาจะจัดการเอง ข้ารู้...ว่านี่ไม่อาจทวงความยุติธรรมให้กับทั้งสามพระองค์ได้ แต่มันเป็นวิธีที่สูญเสียเลือดเนื้อน้อยที่สุด แฟคท์นาชรามากแล้ว อาจจะอยู่ได้ไม่นาน และความหวังทั้งหมดของเขาก็อยู่ที่ดูลัส ...แทนที่เราจะประหารพวกเขาทั้งสองคนตามกฎมณเฑียรบาล เรายังให้โอกาสทั้งสองได้ใช้ชีวิตอยู่ในฐานะขุนนาง และยังคงมีสิทธิ์ปกครองมณฑลตามเดิมด้วยซ้ำ”
แอชยังคงเงียบอยู่อีกครู่ จนสุดท้ายจึงได้เอ่ย
“ข้าไม่อยากให้ดูลัสรู้เลย แต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่ไหม”
อาเมียร์พยักหน้า...ก่อนจะตระหนักได้ว่านั่นหมายถึงการบอกว่ามีทางเลือก อย่างไรก็ดี หญิงสาวดูจะคุ้นชินกับภาษากายของเขาแล้ว
“ข้ากลัวว่าเขาจะเรียกร้องให้ประหารเขากับพ่อเสียเอง” เธอพูดต่อไป “...เขาเป็นคนอย่างนี้”
แต่นั่นยังดีกว่าเป็นอย่างที่ชายหนุ่มนึกเกรง ...หากว่าดูลัสกับบิดาไม่ยอมรับข้อตกลง และดึงดันจะชิงตัวเจ้าหญิงคืนมา
ตราบใดที่ยังไม่มีพยานและหลักฐานเพียงพอที่จะพลิกคดี หรือยังไม่อาจทำให้ดูลัสและท่านผู้สำเร็จราชการเชื่อว่าคนร้ายที่แท้จริงคือแฟคท์นา ต่อให้ป่าวประกาศให้ชาวธีร์ดีเรรู้โดยทั่วไป ก็ยังยากที่จะทำให้คนส่วนมากเชื่อ
มิหนำซ้ำ...นั่นอาจเป็นการชักนำภัยเข้ายาร์ลาธ ชาวอุลทูร์ผู้ภักดีต่อเจ้ามณฑลย่อมเดือดดาล...และชอร์ซาซึ่งความสัมพันธ์กับยาร์ลาธยิ่งเลวร้าย...อาจร่วมมือกันเล่นงานยาร์ลาธ ด้วยข้อหายุยงให้เกิดความแตกแยก และก่อกบฏ
ทั้งยังมีจิตอีกด้านของเขาในร่างของมาดาย ซึ่งไม่อาจคาดเดาจุดประสงค์ได้ ว่าจะทำสิ่งใดต่อไป เพื่อยึดครองอาณาจักรนี้
“แต่หากแฟคท์นาไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ล่ะ” แอชดึงความคิดของอาเมียร์กลับมา “ท่านคงคิดเรื่องนั้นไว้แล้วใช่ไหม”
ชายหนุ่มกลั้นเสียงถอนใจ “เช่นนั้นเราต้องจับกุมเขา เปิดโปงความจริงว่าเขาเป็นคนร้าย และทำให้ขุนนางส่วนมากกับชาวธีร์ดีเรเชื่อให้ได้ หากลงมือได้เร็ว และดูลัสให้ความร่วมมือ การสู้รบก็จะหยุดอยู่แค่ปราบปรามกบฏ แต่หากดูลัสไม่ให้ความร่วมมือ และแฟคท์นามีโอกาสรวบรวมกำลังในมณฑลของเขา...
“ก็อาจเกิดสงครามกลางเมือง”
ถ้อยคำหลังสุดลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศราตรีอันเงียบงัน กระทั่งเสียงของแมลงกลางคืนในอุทยานก็ดูราวกับจะหยุดสิ้นลงในบัดนั้น
ลมหายใจของแอชฟังเหมือนเสียงถอนใจ
“เพื่อข้า...ท่านจะยอมทำถึงขั้นนั้นเชียวหรือ”
“เพื่อเจ้า...และเพื่อธีร์ดีเรที่เข้มแข็งขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น ปัญหาจะใหญ่หลวงเกินป้องกันไม่ให้เกิดการเสียเลือดเนื้อได้แล้ว”
ทุกสิ่งเกิดจากความปรารถนาของแฟคท์นา กับเจ้าชายทัมมุซอีกคนหนึ่ง...และต้องจบสิ้นที่ตัวทั้งสองเอง
กระนั้น อาเมียร์ยังกังขามาตลอด ว่าทั้งสองจะไม่ลากผู้บริสุทธิ์มากมายเข้ามาบาดเจ็บล้มตายด้วยเชียวหรือ
ข้อเสนอในการประนีประนอมและอภัยโทษนั้นเป็นเพียงเสือกระดาษ ซึ่งชายหนุ่มสังหรณ์ว่าอีกฝ่ายไม่รีรอที่จะฉีกเป็นชิ้นๆ
บางที... หากว่าแอชยังไม่ยินยอมไปด้วย และยืนกรานจะแต่งงานกับดูลัส เพื่อไม่ให้ประชาชนของเธอเองต้องสูญเสีย อาเมียร์ก็บอกตนเองว่าเขาจะไม่กล่าวโทษเธอเลย...แม้นั่นจะขัดกับความปรารถนาของตนก็ตาม
“ข้าจะเขียนจดหมายทิ้งไว้”
ทว่าคำตอบของหญิงสาวเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิด
“แอช...”
“ท่านน้า แม่นม เคียรา...แล้วก็ดูลัส ทุกคนจะได้ไม่กังวล และรู้ว่าข้าไปด้วยความสมัครใจของตนเอง” เจ้าหญิงเอ่ยราบเรียบ พร้อมกับลุกจากเตียง ถือตะเกียงน้ำมันไปที่โต๊ะเครื่องประดับ “ข้าจะไม่เอ่ยชื่อท่าน หรือมณฑลยาร์ลาธ แต่บอกว่าจะติดต่อกลับมาเมื่อไปถึง ‘ที่ปลอดภัย’ แล้ว อย่างนั้นคงได้ใช่ไหม”
อาเมียร์พยักหน้า พร้อมกับรับคำเบาๆ
หญิงสาววางตะเกียงลงบนโต๊ะ ซึ่งมีหนังสือสองสามเล่มและกล่องเครื่องเขียนวางอยู่แล้ว แต่ก่อนจะนั่งลงเบื้องหน้ามัน เธอก็หันหน้ามาสบตากับชายหนุ่มอีกครั้ง
“ข้าขอถามอะไรได้ไหม”
“หือม์”
“ข้ารู้ ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แต่ก็ไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร” ยิ่งแอชเกริ่นเช่นนั้น อาเมียร์ก็ยิ่งงุนงงว่าเธอต้องการถามอะไร “แต่มีเรื่องที่ข้าอยากรู้จากท่าน ขอให้ตอบมาตามตรง เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าข้าจะไปหรือไม่ไปกับท่าน...”
เจ้าหญิงเงียบไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาเสลงเหมือนต้องการหลบสายตาของเขา แต่แล้วก็ตัดสินใจสบตานิ่งอยู่
“ท่าน...รู้สึกอย่างไรกับข้า อาเมียร์”
* * * * *
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
21 มี.ค. 54 20:48:17
|
|
|
|