Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 8 ด้านมืดกับด้านสว่าง ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 7 ร่างจริงของจอมเวท
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10346847/W10346847.html

<8>

ด้านมืดกับด้านสว่าง

ร่างที่เปลี่ยนไปจนแลดูน่ากลัวของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสก้าวเดินออกไปข้างหน้า ไฮดร้าขู่คำรามเสียงดังพร้อมกับพุ่งเข้าจู่โจมเขาอย่างรวดเร็ว หัวทั้งสามอ้าปากออกและพ่นไอพิษเข้าใส่จอมเวทหนุ่ม ฟอร์เซ็ตติยกมือของเขาไปข้างหน้า เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโพลงขึ้น มันเผาละอองไอพิษที่เจ้างูยักษ์พ่นออกมาจะระเหิดหายไปหมด มันชะงักการบุกทันทีราวกับลังเล

“ลินซ์...........เอานางคืนมา”

เสียงที่ดังออกมาทั้งทุ้มต่ำและแหบพร่าจนน่าสยอง โซลย์ซึ่งกำลังพยุงร่างของเดฟล่อนถึงกับกลืนน้ำลายลงคอตัวเองอย่างยากลำบาก โมไดรีบปราดเข้ามาช่วยพ่อของเขาพร้อมกับถาม

“เกิดอะไรขึ้น!” เขามองจ้องไปที่ฟอร์เซ็ตติเขม็ง “แล้วเจ้านั่นทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” โซลย์ตอบขณะที่ประคองแขนข้างหนึ่งของเดฟล่อนและพยายามยกเขาอย่างระมัดระวัง โมไดกวาดตามองไปรอบๆ

“ลินซ์ล่ะ น้องข้าอยู่ที่ไหน หรือว่าพวกเจ้าช่วยนางไม่ได้”

โซลย์กัดปากของตนเองแน่นแทนคำตอบ เด็กหนุ่มแทบจะปล่อยร่างพ่อของเขาแล้วไปขย้ำคอของแม่ทัพแห่งมอร์เซลแทนด้วยความโกรธ

“พวกเจ้าปล่อยให้ไอ้พวกปิศาจนั่นมันเอาตัวลินซ์ไปโดยไม่ช่วยอะไรเลยเรอะ”

“ข้าขอโทษ” โซลย์พูดแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจ

“ขอโทษ! เจ้าพูดได้แค่นี้เองรึ นี่เหรอแม่ทัพแห่งมอร์เซลผู้เก่งกาจ ช่วยเด็กเล็กๆคนหนึ่งยังไม่ทำสำเร็จเลย”

เปรี้ยง!

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจนพื้นดินสะเทือนเรียกความสนใจของชายทั้งสามให้เบนสายตาไปมองดูด้วยความตื่นตระหนก

“นั่นมันพลังอะไรกัน”

โมไดถึงกับเผลออุทานออกมาเมื่อเห็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่รอบตัวของ ฟอร์เซ็ตติ กระแสลมอันปั่นป่วนเพิ่มความรุนแรงขึ้น ใบหน้าน่ากลัวของจอมเวทก้มลงเล็กน้อยขณะที่แขนทั้งสองข้างกางออก เสียงพร่ำมนตราด้วยภาษาแปลกดังระรัวเร็ว ประกายอสนีบาตวิ่งลงมารวมอยู่บนมือของเขา

“หากไม่คืนนางมา ก็จงตาย!”

เสียงลั่นเปรี๊ยะดังสนั่น เมื่อสายฟ้าในมือของจอมเวทถูกปล่อยออกไป พลังงานของมันสร้างแรงอัดอากาศอันมหาศาลกระจายออกมาจากตัวของเขาแผ่เป็นคลื่นออกไปโดยรอบ ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆถึงกับฉีกออกเป็นสองท่อน โซลย์ดันร่างของโมไดและเดฟล่อนให้นอนราบลงกับพื้นทันที

“หมอบลง!”

เสียงหักโค่นของต้นไม้ที่ถูกแรงกระแทกของลมพัดผ่านทำให้แม่ทัพแห่งมอร์เซลถึงกับขนลุกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าร่างของเขาจะเป็นอย่างไรหากโดนพลังนั้นเข้าไปอย่างเต็มที่ โซลย์ผงกหัวขึ้นมอง เขารู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเมื่อเห็นไฮดร้าถูกพลังของฟอร์เซ็ตติอัดจนกระเด็นออกไปไกลหลายสิบฟุต หัวทั้งสามขาดห้อยร่องแร่งปล่อยเลือดกรดให้ไหลทะลักออกมา มันเริ่มกัดกร่อนทุกอย่างและขยายวงกว้างออกไป เจ้าอสรพิษร้ายพยายามยกตัวของมันขึ้นและเริ่มต้นสะบัดเลือดกรดของมันเข้าใส่ร่างของจอมเวทด้วยความคั่งแค้น เขาเพียงแค่ยกมือปัดมันออกขณะที่เดินเข้าไปหามัน

“นี่ เจ้าจอมเวท เลือดของไอ้งูบ้ามันกำลังจะไหลมาถึงพวกเราแล้วนะ!” เสียงโมไดร้องขึ้นอย่างเหลืออดเมื่อเห็นโลหิตของไฮดร้าไหลทะลักตรงมายังพวกเขาอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนฟอร์เซ็ตติจะไม่สนใจ

“ฟอร์เซ็ตติ ป่ากำลังจะถูกทำลายแล้ว” โซลย์ร้องขึ้นมาบ้าง ร่างของจอมเวทชะงักนิ่งทันทีกระแสลมอันปั่นป่วนสงบลง แม่ทัพแห่งมอร์เซลยิ้มอย่างดีใจ

“รันนิ่ง!”

ฟอร์เซ็ตติร้องขึ้น รันนิ่งที่อยู่ในซองหนังข้างเอวของโมไดสั่นระริกและลอยออกจากที่เก็บ มันหมุนวนและพุ่งไปหาจอมเวทอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาตกใจของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ

“นั่นมันของของข้านะเจ้าจอมเวทขี้ขโมย!” เขาร้องตะโกนอย่างโกรธจัดขณะที่มองดูรันนิ่งซึ่งบัดนี้กำลังลอยอยู่เหนือฝ่ามือของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัส เขาใช้ปลายเล็บกรีดไปบนใบมีดพร้อมกับท่องมนต์

“บลาสต์ !”

รันนิ่งระเบิดลุกเป็นเปลวไฟและพุ่งเข้าใส่ร่างของไฮดร้า มันโฉบฟันไปรอบร่างอสรพิษร้ายอย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน โซลย์มองดูด้วยความกังวล

“ทำแบบนั้นเลือดของมันก็ยิ่งกระจายไปทั่วหนักกว่าเดิมอีกน่ะสิ”

รอยยิ้มที่เย็นชาฉาบบนริมฝีปากสยองของจอมเวท เขาเพียงยกมือขึ้นข้างหนึ่งโบก รันนิ่งเพิ่มความเร็วในการจู่โจมจนมองเห็นเพียงเงาวิ่งไปมารอบตัวของไฮดร้า มันสร้างกระแสลมหมุนวนล้อมรอบตัวของอสรพิษร้ายที่กำลังส่งเสียงร้องโหยหวน ชั่วพริบจากลมหมุนก็รุนแรงขึ้นจนกลายเป็นพายุไต้ฝุ่นขนาดย่อมล้อมร่างของไฮดร้าไว้ภายใน เสียงฉีกขาดของเนื้อ เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมาไม่ขาดระยะ แต่หยาดหยดเลือดเศษเนื้อของมันกลับไม่กระเด็นออกมาแม้เพียงสักหยดเนื่องจากแรงวายุอันหนักหน่วงเปรียบประดุจเป็นกำแพงกั้นขวางเอาไว้ ฟอร์เซ็ตติหันขวับไปทางเหล่าผีดิบที่กำลังเดินเข้ามา เขายื่นมือออกไปคว้าลำคอของมันและออกแรงบีบอย่างแรง

“ลินซ์....นางอยู่ที่ไหน”

อมนุษย์ทำเพียงส่งเสียงร้องอึกอัก จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสจึงเค้นลำคอมันอย่างหนักหน่วงจนหัวของเจ้าผีดิบตัวนั้นขาดคามือ โมไดซึ่งช่วยโซลย์พยุงร่างพ่อของเขาให้ออกมาจนพ้นรัศมีการต่อสู้ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกสยอง

“เจ้านั่นมันเป็นจอมเวทแน่เหรอ”

เด็กหนุ่มถามแม่ทัพแห่งมอร์เซลเสียงแผ่ว อีกฝ่ายสั่นหน้า

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ดูราวกับว่าเขากำลังถูกพลังอะไรบางอย่างครอบงำอยู่มากกว่า”

“ข้าได้ยินลินซ์บอกว่าจอมเวทผู้นี้มีสองตัวตน” เดฟล่อนเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก ทั้งโซลย์และโมไดหันมามองดูเขาพร้อมกัน

“มีสองตัวตน มันหมายความยังไงกัน”

“ข้าเองก็ไม่รู้” เดฟล่อนสำลักไอออกมาเป็นเลือด โมไดมองดูบิดาของเขาด้วยความเป็นห่วง

“จะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วเพราะด้านหนึ่งเป็นปิศาจ ส่วนอีกด้านก็เป็นคนบ้า ขืนปล่อยให้ต่อสู้กันแบบนี้ต่อไปฝ่ายที่จะแย่ก็คือเรา”

“เขากำลังคลั่งเพราะปกป้องน้องสาวของเจ้าดังที่ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ไม่ได้ต่างหาก โมได”

เดฟล่อนพูดคล้ายตำหนิ บุตรชายกัดปากตนเองแน่นขณะที่กำลังปฐมพยาบาลผู้เป็นพ่อ โซลย์เงยหน้าขึ้นมองดูพายุที่ก่อตัวห้อมล้อมร่างของไฮดร้าไว้แล้วขมวดคิ้ว

“พายุนั่นกำลังอ่อนกำลังลง” เขาเปรยขึ้นมา ทั้งโมไดและเดฟล่อนหันไปมองดู ชายทั้งสามแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อเห็นซากร่างที่ยับเยินของไฮดร้านอนอยู่ บาดแผลอันเกิดจากการโจมตีของรันนิ่งกรีดทำลายมันจะไม่มีชิ้นดี ซ้ำเลือดกรดของมันยังกัดกร่อนกินเนื้อหนังของตัวเองจนเปื่อยยุ่ย ฟอร์เซ็ตติเดินไปหยุดยืนใกล้ๆมันพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นและร่ายเวทด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

ซอนเนน!

พรึ่บ!

เปลวไฟอันร้อนแรงระเบิดลุกท่วมร่างของไฮดร้าและแผดเผามันจนมอดไหม้กลายเป็นผงธุลีภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา สายลมอันร้อนผ่าวพัดผ่านร่างของจอมเวท ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเขาฉายแสงวาบ

“โกเล็ม”

ฟอร์เซ็ตติร้องคำรามออกมาคำหนึ่ง แล้วจู่ๆร่างของเขาก็สลายหายวับไปกับตา โซลย์ถึงกับผุดลุกขึ้นยืนในทันที

“ฟอร์เซ็ตติ!” แม่ทัพแห่งมอร์เซลรีบวิ่งตรงไปที่ซากเถ้าถ่านของไฮดร้าและมองไปรอบๆ

“เขาหายไปไหน!”

“ข้าไม่รู้” โมไดตอบ “แต่เจ้านั่นเอารันนิ่งของข้าติดมือไปด้วย บ้าชะมัด!”

“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งหวงของกันอยู่นะ ช่วยข้าคิดหน่อยสิเจ้าเด็กโอหัง” โซลย์ตวาดอย่างหัวเสีย เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นทันที

“ข้าไม่ใช่เพื่อนของไอ้หมอนั่นเหมือนเจ้าจะได้รู้ว่าเขาไปไหนมาไหน” โมไดตะคอกกลับ “แค่มันเป็นต้นเหตุให้พวกปิศาจมาพาตัวลินซ์ไปข้าก็แทบไม่อยากให้อภัยมันแล้ว”

“เจ้า!”

โซลย์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความรู้สึกโกรธอย่างที่สุดแต่ก็ต้องยอมจำนนในคำพูดประโยคสุดท้ายของเด็กหนุ่ม เขาเหวี่ยงกำปั้นฟาดไปที่ต้นไม้อย่างแรง

“ไอ้บ้าเอ้ย!”

“ข้าคิดว่าท่านจอมเวทอาจจะติดตามโกเล็มไป” เดฟล่อนพูดขึ้นอย่างยากลำบาก เขาพยายามดันกายให้อยู่ในท่านั่งแต่โซลย์รีบร้องห้ามและเดินไปทรุดตัวนั่งลงข้างเขา

“ท่านว่าเขากำลังติดตามเจ้าปิศาจดินนั่นไปอย่างนั้นหรือ ท่านเดฟล่อน”

“ข้าคิดว่าใช่” อดีตแม่ทัพแห่งมอร์เซลกล่าวตอบ “เพราะใจของท่านฟอร์เซ็ตติมุ่งมั่นอยู่ที่การปกป้องลินซ์ ความคิดของเขายึดติดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถูกเจ้าอสรพิษนั่นทำร้าย...เอ่อ....จนหมดพลัง....ข้าคิดว่าน่าจะใช้คำนี้มากกว่า”

เดฟล่อนหยุดคำพูดและไอหนักๆสองสามครั้ง โมไดมองหน้าพ่อของเขานิ่ง

“พ่อกำลังจะบอกว่า เจ้านั่นจะไปช่วยลินซ์เพียงลำพังเหรอ”

“ข้าคิดว่าใช่” อดีตแม่ทัพกล่าว ดวงตาจ้องไปที่โซลย์เขม็ง “ข้าไม่รู้จักท่านจอมเวทผู้นี้ดีพอแต่เท่าที่เห็นโดยสายตา ในเวลานี้ท่านฟอร์เซ็ตติกำลังอยู่ในลักษณะที่ขาดสติอย่างสิ้นเชิง”

“เหมือนคนบ้ามากกว่า” โมไดเสริมและหุบปากเงียบทันทีเมื่อเห็นสายตาดุดันของผู้เป็นพ่อ โซลย์ถอนหายใจ

“เขาเคยบอกกับข้ามาแล้วครั้งหนึ่งเหมือนกัน แต่ตอนนั้นข้าคิดว่าเขาแค่เย้าเล่นด้วยมนตราจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างนั่นจะเป็นภาพจริง”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลรำพึงและลุกยืนขึ้น

“ข้าจะตามไปช่วยเขา”

“ป่านนี้เจ้าโกเล็มนั่นเดินไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เจ้าไม่มีทางตามมันได้ทันแน่” โมไดพูดขัดขึ้น โซลย์หันมาทางเขาและตอบ

“แล้วเจ้าจะยอมให้ปิศาจดินนั่นพาน้องสาวไปเป็นเครื่องสังเวยเจ้าจอมมารหรือ โมได”

เด็กหนุ่มเงียบลงทันที เขาเดินไปประจันหน้ากับแม่ทัพหนุ่มและพูดเสียงห้วน

“ข้าไม่ยอมให้น้องสาวของข้าตกอยู่ในอันตราย ถึงต้องเผชิญหน้ากับความตายข้าก็ยินดี”

“ถ้าอย่างนั้นไปกับข้า” โซลย์พูดขึ้น โมไดหันไปมองดูพ่อของเขาด้วยสายตาเป็นห่วง ผู้เป็นพ่อรีบเอ่ยขึ้นทันที

“จงไป ไม่ต้องเป็นห่วงข้า พอรุ่งเช้าชาวบ้านก็จะขึ้นมาที่นี่และนำข้าลงไปจากสถานที่แห่งนี้เอง เพราะนับแต่นี้ต่อไปที่นี้ก็จะกลายเป็นที่แห้งแล้งเหมือนที่อื่น”

โมไดพยักหน้าอย่างเข้าใจและหันไปทางโซลย์ที่กำลังเหน็บดาบของเขาเข้ากับเอว จากนั้นจึงหยิบไม้เท้าของฟอร์เซ็ตติขึ้นมาถือไว้

“แล้วพวกเราจะไปกันยังไง”

โซลย์เป่าปากครั้งหนึ่ง อาชาพ่วงพีสองตัวเหยาะย่างออกมาจากแนวป่า แม่ทัพแห่งมอร์เซลลูบหน้าของมันเบาๆ

“ข้าจะขี่ม้าของฟอร์เซ็ตติไป ส่วนเจ้าใช้ม้าของข้า” แม่ทัพหนุ่มเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าด้วยท่าทางสง่างาม เขาก้มลงมองดูโมไดที่ยังคงยืนนิ่ง

“เอ้าจะรออะไรอยู่อีกล่ะเจ้าหนู”

“แล้วพวกเราจะไปทางไหนกัน”

โซลย์นิ่งเล็กน้อย เขามองดูไม้เท้าของฟอร์เซ็ตติในมือและคิดชั่วขณะหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

“จงบอกสถานที่อยู่ของนายเจ้าเดี๋ยวนี้!”

คริสตัลบนปลายไม้สว่างวาบขึ้น ลำแสงสีฟ้าสดใสพุ่งวาบหายไปทางทิศเหนือก่อนจะสลายหายไป แม่ทัพหนุ่มหันมาทางโมได

“มีปัญหาอะไรอีกไหม เจ้าหนู”

“มี!” โมไดเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าของโซลย์อย่างคล่องแคล่ว “ข้าชื่อโมได ไม่ใช่เจ้าหนูจำเอาไว้ด้วย!”

โซลย์ทำเพียงแค่กระตุกยิ้มที่มุมปาก เขาหันไปทางเดฟล่อนพร้อมกับก้มศีรษะลง อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

“ขอให้พวกท่านโชคดี และขอให้ท่านฟอร์เซ็ตติกลับคืนมาเป็นตัวของตัวเองดังเดิม”


*/*/*/*/*/*

ลินซ์พยายามดิ้นรนและส่งเสียงร้องอยู่ในอุ้งมือของปิศาจดินไปตลอดทาง จนเมื่อเริ่มรู้สึกเหนื่อยเด็กน้อยจึงรวบรวมสติและมองดูหน้าแข็งกระด้างของอสุกายที่จับตัวของเธออย่างพิจารณา

“นี่ จะพาลินซ์ไปไหนกันน่ะ” เธอทำใจสู้และเริ่มชวนเจ้าโกเล็มคุย แต่เจ้าปิศาจยักษ์นั่นไม่สนใจ มันยังคงก้าวเดินต่อไปด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ เด็กหญิงตัวน้อยถอนหายใจ

“เจ้าพูดไม่ได้หรือ” เธอไม่ละความพยายาม “รึว่าเจ้าไม่อยากจะพูดกับข้า”

คราวนี้โกเล็มก้มหน้าลงมามองดูเธอ มันอ้าปากส่งเสียงร้องคำรามคล้ายกับเตือนให้เธอหุบปากเสียและเงยหน้าขึ้นมองจ้องตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม เด็กน้อยนิ่งไปชั่วอึดใจจึงพูดต่อ

“ลินซ์หิวน้ำ” เธอทุบไปบนมือของปิศาจดิน “ได้ยินหรือเปล่า”

โกเล็มหยุดชะงัก มันครางเสียงหนักในลำคอและหมุนตัวมองไปรอบๆ ลินซ์แอบยิ้มด้วยความดีใจ

“วางลินซ์ลงก่อนสิ จะได้มองหาแหล่งน้ำสะดวก” เธอร้องบอกโกเล็ม มันทำท่าหันรีหันขวางสักพัก แล้วจู่ๆดวงตาดินของมันก็เบิกกว้าง เจ้าอสุรกายร่างยักษ์ส่งเสียงขู่ดังลั่น มันหมุนตัวหันหลังกลับไปมองในทิศทางที่เพิ่งเดินจากมา เด็กน้อยมองกิริยาของมันอย่างนึกเอะใจ ความสงสัยมลายหายไปสิ้นเมื่อมองเห็นคลื่นอากาศกำลังม้วนตัววิ่งตามมาด้วยความเร็ว เพียงพริบตามวลอากาศนั้นก็หยุดอยู่ตรงหน้าของปิศาจดิน เงาร่างสีขาวสะอาดปรากฏขึ้นบนพื้นดินแห้งผาก ฝุ่นละอองอันเกิดจากกระแสลมแห่งพลังเวทปลิวฟุ้งกระจาย เด็กน้อยยิ้มอย่างดีใจ

“ท่านผู้วิเศษ”

ฟอร์เซ็ตติเงยหน้าขึ้นมองดูลินซ์ในอุ้งมือของโกเล็ม เขาแสยะยิ้ม

“ลินซ์”

ภาพใบหน้าที่แปรเปลี่ยนไปจนดูน่ากลัวของจอมเวทละลายรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อย

“เกิดอะไรขึ้นกับท่าน ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้” ลินซ์คราง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเศร้าขณะที่มองดูฟอร์เซ็ตติ เขาชี้มือไปยังโกเล็ม

“ปล่อยนาง!”

เจ้าอสุรกายดินอ้าปากและพ่นฝุ่นดินจำนวนมหาศาลออกมา ผงคลีดินอันหนาทึบคละคลุ้งบดบังร่างของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสไว้ ลินซ์ร้องออกมาอย่างตระหนก

“อย่า!”

ดวงไฟสีน้ำเงินเข้มสองดวงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางละอองดินที่ฟุ้งกระจาย มวลอากาศเริ่มมีการเคลื่อนไหว มันหมุนวนรอบตัวของฟอร์เซ็ตติและเริ่มเร็วขึ้น เงาสะท้อนสีเงินไหววูบอยู่ท่ามกลางฝุ่นดินหนาทึบ เสียงของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสดังออกมา

“รันนิ่ง!”

ละอองดินที่โกเล็มพ่นออกถูกกระแสลมหมุนอันเกิดจากการวิ่งวนของมีดบินพัดออกไปจนพ้นจากร่างของจอมเวท เขากรีดกรงเล็บชี้ไปยังอสุรกายดินทันที

“บลาสต์!”

รันนิ่งหมุนคว้างออกมาจากพายุหมุน มันวิ่งไปตัดแขนของโกเล็มข้างที่จับลินซ์อยู่จนขาดกระเด็น ฟอร์เซ็ตติรีบขยับเคลื่อนตัวไปข้างหน้าและเอื้อมมือออกไปรับร่างของเด็กน้อยที่หลุดออกจากอุ้งมือของอสุรกายดินมิให้ตกลงกระแทกพื้น ลินซ์หลับตาแน่นด้วยความตกใจ  

“ลินซ์”

เสียงเรียกชื่ออันแสนอ่อนโยนของจอมเวทหนุ่มทำให้เด็กน้อยลืมตาขึ้น เธอเงยหน้ามองดูฟอร์เซ็ตติพร้อมกับยิ้ม

“ข้ารู้ว่าท่านต้องมาช่วย” เด็กน้อยยกมือขึ้นแตะใบหน้าอันน่ากลัวของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเบาๆ “แต่ไม่คิดว่าท่านจะมาในอีกตัวตนหนึ่ง”

จอมเวทหนุ่มไม่ได้เอ่ยคำใดตอบออกมา เขากระชับร่างของลินซ์ที่อยู่ในอ้อมแขนคล้ายบอกเป็นนัยว่าจะปกป้องเด็กน้อยให้ปลอดภัยก่อนหมุนตัวหันหลังกลับไปยังทิศทางที่เขามา เสียงขู่คำรามอย่างโกรธจัดของโกเล็มดึงร่างของฟอร์เซ็ตติให้ชะงักและเอี้ยวคอไปมอง เขาแยกเขี้ยวเมื่อเห็นเจ้าอสุรกายยักษ์เงื้อกำปั้นของมันขึ้นและฟาดลงมา

“ซอนเน็น!บลัช!”

พลังคลื่นแสงแผ่กระจายเป็นวงออกมาจากร่างของจอมเวทหนุ่ม มันกระแทกเข้ากับกำปั้นของโกเล็มจนแตกสลายกลายเป็นผง ปิศาจดินส่งเสียงกู่ร้องดังก้องกังวานสะท้อนทั่วทุ่งโล่ง มันยกเท้าอันใหญ่โตของมันขึ้นและกระทืบลงไปที่ร่างของฟอร์เซ็ตติและลินซ์อย่างแรง

คลื่นแสงอันร้อนแรงแผ่กระจายออกมาจากร่างของจอมเวทอีกครั้ง คราวนี้มันเพิ่มความรุนแรงมากกว่าครั้งแรก พลังอัดอันมหาศาลผลักฝ่าเท้ามหึมาของปิศาจยักษ์ให้ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ มันสั่นระริกและเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ ร่างอันเกิดจากดินของมันปริแยกออกแตกป่นเป็นผง รันนิ่งที่วิ่งวนอยู่กลางอากาศหมุนทะลวงผ่านทะลุร่างของมันกลับไปกลับมาอยู่สองสามครั้ง ปิศาจดินจึงแตกสลายกลายเป็นกองเศษธุลีแห้งกองโต ฟอร์เซ็ตติมองดูด้วยสายตาที่ยากแก่การอ่าน มันทั้งเต็มไปด้วยความสาแก่ใจและกระหยิ่มอิ่มเอมราวกับเขารู้สึกสนุกกับการทำลาย ลินซ์มองใบหน้าของจอมเวทอย่างเศร้าๆ

“ท่านดูไม่ใจดีเหมือนเมื่อก่อนเลย แม้จะมาช่วยลินซ์ไว้ก็เถอะ”

ฟอร์เซ็ตติก้มหน้าลงมองดูเด็กน้อยในอ้อมแขนอย่างสงสัย ดวงตาสีน้ำเงินลึกสุดหยั่งมีประกายแสงฉายอยู่ไกลๆ มือน้อยๆของลินซ์ยกขึ้นแตะบนอกของจอมเวทอย่างแผ่วเบา

“หัวใจของท่านมีแต่ความชัง” ดวงตาสีฟ้าใสทอประกายแสงอันแสนอบอุ่นออกมา ร่างน้อยในอ้อมแขนคล้ายเกิดพลังบางอย่างขึ้นโอบล้อมรอบกายของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสไว้ มันเป็นพลังแห่งความอ่อนโยนดุจอ้อมกอดแห่งแม่ธรณี  ใบหน้าที่น่ากลัวของฟอร์เซ็ตติผ่อนคลายลง

“ลินซ์”

น้ำเสียงที่ใช้เรียกอ่อนโยนกว่าครั้งแรก ดวงตาสีน้ำเงินดุดันเริ่มจางลงทีละน้อย กระแสลมอันเกรี้ยวกราดซึ่งพัดรอบกายเริ่มอ่อนกำลังลง ร่างของจอมเวทหนุ่มทรุดนั่งลงบนพื้นราวกับสิ้นแรง แขนที่กอดประคองเด็กหญิงคลายออกปล่อยเธอให้เป็นอิสระ

“ท่านผู้วิเศษ”

ลินซ์เรียกชื่อของเขาเบาๆ ฟอร์เซ็ตติสะบัดหน้าของตัวเองสองสามครั้ง สติที่เคยพร่าเลือนกลับคืนมาทีละน้อย แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากขานตอบคำเรียกของเด็กน้อย ร่างของเขาก็สะดุ้งเฮือกสุดตัวและผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“มันมาแล้ว”

เขาร้องเสียงดัง มือข้างหนึ่งดึงร่างของลินซ์มากอดไว้กับตัวขณะที่กรงเล็บในมืออีกข้างถูกกางออก ประกายแสงเจิดจ้าสว่างวูบวาบอยู่ในอุ้งมือข้างนั้น ลินซ์ถามอย่างตระหนก

“ใครมาหรือ”

“จอมมาร!”

ฟอร์เซ็ตติตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาเข้มเขม้นมองจ้องตรงไปยังกองธุลีดินอันเคยเป็นร่างของโกเล็ม กระแสลมพัดกรรโชกอย่างรุนแรงพัดฝุ่นดินให้ฟุ้งกระจาย ลินซ์เพ่งสายตามองฝ่าละอองดินตามจอมเวท เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นเงาสีดำสนิทกำลังเคลื่อนไหวอย่างช้าๆอยู่ท่ามกลางผงคลีดินอันหนาทึบ เสียงหัวเราะแผ่วต่ำดังแทรกอยู่ในอากาศสร้างความกดดันอันมหาศาลจนร่างของฟอร์เซ็ตติถึงกับสั่นสะท้าน

“ไม่คิดว่าจะมีพวกมาร์วัลลัสหลงเหลือรอดอยู่ในมอร์เซลนี่ด้วย”

เสียงทุ้มต่ำอันทรงพลังดังมาจากร่างในเสื้อคลุมสีดำของคอร์ฟคาคาร์สที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเรือนผมสีดำสนิทของเขาพลิ้วกระจายไปมาท่ามกลางกระแสลมอันรุนแรงแลดูน่ากลัว ดวงตากระด้างเย็นชาเลื่อนลงมามองดูเด็กหญิง จอมปิศาจแสยะยิ้ม

“เป็นเหยื่อที่น่าโอชะยิ่งนัก” เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนเบนสายตามามองฟอร์เซ็ตติ จอมเวทขยับตัวของเขามาบังร่างของลินซ์เอาไว้

“อย่ายุ่งกับนาง!”

เขาตวาดเสียงดัง คอร์ฟคาคาร์สมีสีหน้าแปลกใจขณะที่มองดูร่างของจอมเวทหนุ่มราวกับพิจารณา

“เจ้าไม่ใช้ผู้ใช้เวทสายเลือดแท้” รอยยิ้มหยามหยันฉาบบนริมฝีปาก “เจ้าพวกลูกครึ่งชั้นต่ำ”
จอมปิศาจยกมือขึ้นและสะบัด ร่างของฟอร์เซ็ตติกระเด็นออกไปทันทีราวกับถูกมือขนาดยักษ์ตบอย่างแรง เสียงลินซ์กรีดร้องด้วยความตกใจ

“ท่านผู้วิเศษ!”

“ผู้วิเศษรึ” คอร์ฟคาคาร์สพูดทวนแล้วหัวเราะ “เจ้านี่น่ะไม่คู่ควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้วิเศษหรอกนังเด็กน้อย” มืออันแข็งแกร่งยื่นออกมาคว้าไหล่ของลินซ์ที่ทำท่าจะวิ่งไปหาจอมเวทแห่ง
มาร์วัลลัสและกระชากเข้าหาตัวอย่างแรง

“แต่น่าแปลกเหลือเกินที่มันสามารถทำลายเวทแห่งชีวิตที่ข้าใช้สร้างโกเล็มขึ้นมาได้” ดวงตาของจอมมารหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นฟอร์เซ็ตติพยายามยันตัวให้ลุกยืนขึ้น

“ซ้ำพลังของมันยังสร้างแรงอัดอากาศให้แผ่ไปถึงแซฟเวจย์ได้อีกด้วย” มือที่จับไหล่ของลินซ์บีบแน่นราวกับคีมเหล็ก เด็กน้อยถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด

“ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”

ฟอร์เซ็ตติตวาดเสียงดังลั่นด้วยความโกรธ จอมปิศาจเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“แกสั่งข้ารึ” ดวงตาของจอมมารส่องประกายลุกโชนขึ้น “แกกล้าสั่งคอร์ฟคาคาร์ส ราชันย์แห่งแซฟเวจย์เชียวรึเจ้าจอมเวทชั้นต่ำ”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสยื่นแขนของเขาออกไปข้างหน้า แสงเพลิงในมือพุ่งวาบเข้าปะทะกับจอมมารโดยที่เขายังไม่ทันได้ระวังตัวหรือปัดป้อง ร่างของจอมปิศาจถึงกับเซถอยไปด้านหลังหลายก้าวมือที่จับลินซ์ไว้คลายออกโดยไม่รู้ตัว

“หลบไป!”

ฟอร์เซ็ตติร้องบอกเด็กหญิงเสียงดังพร้อมกับพุ่งตัวเข้าไปหาจอมมารอย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังร่ายมนต์เพื่อการโจมตีอีกครั้ง คอร์ฟคาคาร์สก็ยันตัวให้ยืนตรงและสะบัดผ้าคลุมของเขาไปด้านหลัง มือข้างหนึ่งยื่นเหยียดตรงไปด้านหน้าโดยหงายฝ่ามือขึ้น

“ไอ้คนโอหัง!”

จอมปิศาจร้องอย่างโกรธจัด นิ้วมือกำรวบเข้าหากันและพลิกกลับลงไปด้านล่าง ร่างของ
ฟอร์เซ็ตติสะดุ้งสุดตัวและล้มกลิ้งลงไปกับพื้นคล้ายถูกกระชาก คอร์ฟคาคาร์สมองดูเขาด้วยสายตาดูแคลน

“ฝีมืออย่างเจ้าไม่มีวันทำร้ายข้ามากไปกว่าทำให้เซไปสองสามก้าวหรอก เจ้าครึ่งจอมเวท” จอมปิศาจเหวี่ยงมือทั้งสองข้างของเขาออกไปด้านข้าง ร่างของจอมเวทพลิกนอนหงายลักษณะถูกตรึงทั้งมือและเท้าโดยเชือกที่มองไม่เห็น จอมปิศาจหัวเราะต่ำๆขณะที่เดินมาหยุดยืนค้ำเหนือร่างของเขา

“จะฆ่าเจ้าโดยวิธีไหนดี” ประกายเหี้ยมสว่างในดวงตา “ฉีกเนื้อออกทีละชิ้นขณะที่ฟังเสียงคร่ำครวญร้องขอชีวิตหรือหักแขนขาทีละข้างแล้วค่อยควักดวงตาสีสวยนั่นออกมาทำเป็นเครื่องประดับ”

กรงเล็บอันแหลมคมขยับไปมาระหว่างที่พูด ฟอร์เซ็ตติขบกรามตนเองแน่น ดวงตาตวัดมองไปที่ลินซ์ด้วยความเป็นห่วง คอร์ฟคาคาร์สเลื่อนสายตาของเขามองตาม รอยยิ้มไม่น่าดูผุดพรายบนใบหน้า

“ดูเหมือนหัวใจของเจ้าจะผูกพันอยู่กับนังเด็กน้อยนี่สินะ” จอมปิศาจหมุนข้อมือของตนเล็กน้อย ร่างของลินซ์ก็ลอยขึ้นและเลื่อนเข้าหาเขาอีกครั้ง จอมมารรวบลำคอเล็กๆของเธอเอาไว้

“วันนี้ข้ายังไม่ได้ลิ้มรสเนื้อสดๆของมนุษย์เลยสักคน” คอร์ฟคาคาร์สพูดพลางแลบลิ้นเลียไปบนใบหน้าของลินซ์ด้วยท่าทางกระหาย เด็กน้อยเบือนหน้าหนีด้วยความขยะแขยงและหวาดกลัวมือทั้งสองข้างพยายามแกะนิ้วมือที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็กให้หลุดออกจากลำคอ จอมปิศาจมองการ
ดิ้นรนของเด็กน้อยอย่างบันเทิงใจ

“ข้าอยากจะเห็นสีหน้าของแกตอนที่มองดูข้ากำลังฉีกเนื้อนังเด็กนี่กินต่อหน้าเหลือเกิน” ราชันย์มารยิ้มอย่างชั่วร้าย “มันคงน่าดูมาก”  

ฟอร์เซ็ตติร้องคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น เขาพยามดิ้นรนอย่างเต็มที่เพื่อจะให้หลุดออกจากพันธนาการเวท คอร์ฟคาคาร์สหัวเราะและเหยียบไปบนอกของจอมเวทหนุ่มอย่างแรง

“โทษที่บังอาจทำร้ายบริวารของข้านั้นมันหนักหนาสาหัสนัก” จอมปิศาจพูดเสียงคำราม “ข้าจะทรมานเจ้าจนกว่าจะขาดใจตาย เจ้าครึ่งคน!”

จอมมารกระชากร่างของลินซ์เข้าหาตัวและอ้าปากเตรียมจะฝังคมเขี้ยวลงไปในลำคอของเธอ
ฟอร์เซ็ตติเบิกตากว้างและตะโกนเสียงดัง

“อย่า!”

ดวงตาของจอมเวทบังเกิดแสงเจิดจ้า ร่างทั้งร่างของเขาเกิดเปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้น
คอร์ฟคาคาร์สถึงกับผงะถอยหลังออกไปด้วยความตกใจ อาคมแห่งพันธนาการคลายลง ฟอร์เซ็ตติดันตัวให้ลุกยืนขึ้นและพุ่งเข้าใส่จอมปิศาจอย่างเร็วโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือข้างหนึ่งคว้าที่ลำคอของราชันย์มารในขณะที่อีกข้างบีบข้อมือของเขาเอาไว้แน่น

“ปล่อยลินซ์เดี๋ยวนี้!”

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 09:05:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com