4 หอมกลิ่นปาริชาติ
เขาร้องไห้เพราะเจ็บอ่ะดิ ...โดนธนูเสียบไง 55555555
บ้าที่สุด! ประโยคนั้นของตาทัพพีทำให้ฉันนอนไม่หลับเลยทั้งคืน ได้แต่พร่ำโทษโกรธตัวเองที่วิ่งหนีจากเขามาทั้งที่เขากำลังโดนใครอีกสองคนช่วยกันรุมทำร้าย อา...ไม่ใช่สองคนสิ เงาดำสองเงานั้นต้องไม่ใช่คนแน่นอน คนเราไม่สามารถลอยไปลอยมากลางอากาศได้แบบนั้นหรอกน่า
ที่ฉันเห็นคืออะไร?
ภาพเหตุการณ์ นักรบหนุ่มร่ำไห้ถูกรุมทำร้ายด้วยลูกธนู นั่นเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งอย่างนั้นหรือ? แล้วทำไมฉันถึงเห็นภาพนั้น? หรือว่านั่นเป็นแค่ภาพลวงตา ก็ทัพพีบอกว่า บ้านไทยโบราณไม่มีอยู่จริงนี่นา
เกิดอะไรขึ้นในอดีตกันแน่นะ?
วันรุ่งขึ้น ฉันกินอาหารเช้าเสร็จก็รีบย้อนกลับไปตรงตำแหน่งเดิมเพื่อค้นหาความจริงลบสิ่งที่ค้างคาใจ
ทัพพีโกหก! บ้านไทยโบราณมีอยู่จริงๆ ด้วย!!!
ฉันดีใจแทบบ้าที่ได้เห็นบ้านน้อยหลังเดิมตั้งอยู่ระหว่างต้นไม้ใหญ่ดอกสีแดงสวยริมคลองกับทุ่งนาสีเขียวตองอ่อนอย่างชัดเจนท่ามกลางแสงแดดจ้าตอนกลางวัน ฉันลองทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ว่า มันมีอยู่จริง ทั้งหยิกแก้ม ทั้งขยี้ตา ทั้งโดดลังกาหลังสองรอบครึ่ง บ้านโบราณก็ยังอยู่ไม่ได้หายแว๊บไป ไชโย้... (จะไชโย้ทำไมเนี่ย)
ฉันสูดหายใจแรงๆ สามสี่ฟืด ก่อนจะเดินขึ้นเรือนช้าๆ ด้วยใจระทึก ระหว่างที่ฉันก้าวขาขึ้นบันไดไม้ไปทีละขั้นๆ นั้น ในหัวของฉันก็มีเรื่องให้คิดสับสนวุ่นวายเต็มไปหมด
เขาคนนั้นจะดีใจมั๊ยน้าที่เห็นฉันกลับมา... เขาอาจจะงอนจนไม่พูดกับฉันเลยหรือเปล่า... เขาจะเป็นอะไรไปแล้วรึเปล่านะ โดนรุมทำร้ายแบบนั้น... เอ...ไม่สิ เขาคงเป็นอะไรไปตั้งนานแสนนานแล้ว ผีคงไม่ตายซ้ำแล้วซ้ำอีกหรอกมั๊ง... เค้าจะยอมบอกฉันรึเปล่านะ ว่าเขาเป็นใคร และเป็นอะไรกับฉันเมื่อชาติก่อน... แล้วถ้าฉันไม่เจอเขา เจอแต่เจ้าของเงาดำสองเงานั้นล่ะ!
คิดมาถึงตรงนี้ ฉันก็ชักเกิดอาการเสียวสันหลังวาบๆ ขาก็ก้าวไม่ค่อยจะออก
ไม่... อย่ากลัวแองจี้ นี่มันกลางวันแสกๆ นะ
แล้วดูสิ บ้านน้อยหลังนี้สวยจะตาย ทั้งสัดส่วนของรูปทรง โครงสร้าง แสงเงา และวัสดุดูผสานกลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบๆ โดยเฉพาะต้นไม้สูงใหญ่ที่ปลูกไว้ข้างๆ ซึ่งฉันไม่รู้จักชื่อ แต่ดอกของมันสีแดงสะพรั่งไปทั้งต้นจนแทบไม่เห็นใบ ช่วยเป็นพื้นหลังให้ภาพเรือนไม้ชายทุ่งนานี้ดูสวยงาม เหมือนสาวน้อยทัดดอกไม้สีแดงดอกใหญ่...ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวสักหน่อย
คิดได้อย่างงี้แล้วฉันก็ฮึดขึ้นมาอีกครั้ง รีบจ้ำพรวดๆ ขึ้นไปแล้วผลักประตูไม้เข้าไปในตัวเรือนโดยไม่หยุดรีรอแม้แต่จะเคาะประตูเหมือนฉันเป็นเจ้าของบ้าน
ฉันสาบานได้ว่าเพียงไม่กี่วินาทีที่ฉันหลับตาเพื่อปรับสายตาให้สามารถมองเห็นภาพในที่ที่มีแสงน้อยกว่าภายนอกได้นั้น ฉันรู้สึกอย่างรุนแรงว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่ แต่เมื่อลืมตาขึ้นมา ฉันกลับพบว่าภายในเรือนว่างเปล่า... ไม่มีเขา... ไม่มีใคร...
ฉันอดรู้สึกใจหายน้อยๆ ไม่ได้ เขาคนนั้นไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว?
ฉันไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่าสำรวจภายในเรือนไม้ทรงไทยโบราณหลังนี้ อย่างที่เมื่อวานฉันไม่มีโอกาสได้ทำ ท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่องเป็นลำเข้ามาทางช่องแสงที่สูงกว่าหน้าต่างบ้านทั่วไป ทำให้เห็นว่าพื้นไม้กระดานแผ่นใหญ่เรียบสะอาดสะอ้านเหมือนมีคนอาศัยดูแลถูกปัดกวาดเช็ดถูอย่างดี แต่กลับไม่มีเครื่องเรือนจำพวก ตู้ตั่งเตียง มีเพียงโต๊ะไม้ตัวยาวสองตัววางชิดผนังด้านหนึ่งซึ่งวางข้าวของเครื่องไม้เครื่องมือที่ฉันไม่รู้จักชื่อมากมายเรียงรายอยู่บนนั้น ส่วนตรงกลางบ้านเป็นพื้นที่โล่งๆ
มีแค่หม้อใหญ่ใบหนึ่งตั้งโดดเด่นเป็นสง่า (เอ่อ... ฉันไม่รู้ว่าเค้าเรียกเครื่องจักสานที่ทำจากไผ่หน้าตาเหมือนหม้อใบขนาดยักษ์นั่นว่าอะไร และเอาไว้ใช้ทำอะไร แต่มันใหญ่มากจนสามารถให้คนสองสามคนเข้าไปนั่งจั่วไพ่ในนั้นได้สบายๆ ) กับเปลผ้าเก่าซีดแขวนห้อยเอาไว้กลางบ้าน
ฉันแอบปีนขึ้นไปยืนบนเปลเพื่อมองลงมาดูว่าข้างในหม้อใบโตนี่มีอะไรอยู่ข้างใน
กรี๊ดดดดดดดด!!!
วงแขนแข็งแรงคู่หนึ่งเกี่ยวกระหวัดรัดฉันเข้าไปในอ้อมกอดที่อุ่นระอุ!!!
หุหุ... ล้อเล่นค่า 555
จะบ้าเหรอคะ โรแม้นตายเลยล่ะ... มีมือยืดยาวขึ้นมาจากหม้อแบบผีพ่อนาค แล้วดึงฉันลงไปกอดกันในหม้อเนี่ยอ่ะนะ ไม่เอาน้า... รับไม่ได้ค่ะ สยองกึ๋ยเกินสยิวกิ้ว เลิฟซีนของแองเจล่าต้องหวานกว่านี้แน่นอน
ไม่มีมือยาวยืดโผล่ขึ้นมา แล้วก็ไม่ได้มีศพขึ้นอืดอยู่ในหม้อด้วย มันไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลยต่างหาก ฉันพบกับความผิดหวัง เพราะมันมีแต่ความว่างเปล่า แต่ที่ฉันกรี๊ดเพราะ ยังไม่ทันได้กระโดดลงมา เปลผ้าซึ่งเก่าจนเปื่อยที่ฉันปีนขึ้นไปเหยียบมันแควกกกกกกก...ขาดลงมาต่างหาก!
ตายล่ะ นี่ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย? คงต้องรีบเอาไปเย็บซ่อม แล้วรีบเอากลับมาผูกคืนเจ้าของให้เร็วที่สุด
ว่าแล้วฉันก็ไม่รอช้า เลื่อนโต๊ะมาใช้ปีนขึ้นไปปลดเงื่อนที่ผูกเปล แต่แล้ว...ฉันกลับได้แต่ยืนซึมอยู่บนโต๊ะตัวนั้น เหม่อมองปลายผ้าที่ผูกกับคานไม้เหมือนเป็นคนปัญญาอ่อน
ใครกัน? ใครเป็นคนผูกเปลผ้านี้? ทำไมคนคนนั้นถึงมีวิธีเงื่อนรูปโบว์แบบเดียวกับที่ฉันชอบใช้ผูกเปลนอน เหมือนกับฉันเป็นคนมาผูกไว้เองยังไงอย่างงั้นเลย! ไม่... ไม่มีทาง ฉันไม่ได้ผูกแน่ๆ ก็เปลผ้านี่น่ะ เก่าจนซีดเนื้อผ้าก็เปื่อยอย่างกับเอามาจากพิพิธภัณฑ์ ยิ่งตรงปมนี่มีฝุ่นจับจนหนาแสดงว่าคนที่เป็นคนดูแลบ้านหลังนี้ทำความสะอาดแต่บริเวณอื่น แต่กลับไม่เคยปลดเปลผ้าลงมาเลย ดูท่าน่าจะผูกไว้ตั้งแต่ฉันยังไม่เกิดด้วยซ้ำ หรือว่านี่คือบ้านของฉันเมื่อชาติปางก่อนจริงๆ?
แล้วชาติก่อนฉันก็ชอบนอนเปลอู้หลับตอนกลางวันเหมือนชาตินี้งั้นเหรอ เหอๆ... ขี้เกียจมันทุกชาติไป
แต่นั่นก็เป็นแค่ปริศนาน่าสงสัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับปริศนาอีกมากมายที่กำลังจะตามมาถล่มสมองของฉันจนแทบบ้าในอีกไม่ช้า
ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ฉันจะไม่สามารถหาคำตอบของปริศนาอะไรเลยในตอนนั้น ไม่รู้ว่าเขาคนที่ฉันเห็นเป็นใคร ปรากฎตัวให้ฉันเห็นเพื่อบอกอะไร และเกิดอะไรขึ้นในอดีตกันแน่ แต่ฉันก็เกิดความรู้สึกอย่างรุนแรงว่า บ้านไทยโบราณหลังนี้ต้องเคยเป็นสมบัติของฉัน หรือมความสัมพันธ์กับฉันในอดีตชาติอย่างแน่นอน
เฮ่ย... ป้าจี้จะบ้าเหรอ นั่นน่ะไม่ใช่บ้านนะ
อย่ามาอำ เมื่อคืนหนูทัพพีก็หลอกป้าจี้ว่า ไม่มีบ้านไทยโบราณแถวๆ นี้
ก็ไม่มีอ่ะดิ นั่นมัน ยุ้งข้าว ไม่ใช่บ้านสักหน่อย ทัพพ์ก็เลยไม่ทันนึกถึง แล้วก็ไม่คิดว่าป้าจะขยันเดินไปไกลถึงนู่นด้วย
ไม่รู้ล่ะ ป้าจี้จะเอามาดัดแปลงทำเป็นบ้านป้า รับรองเจ๋งกว่าของหนูทัพพีแน่ ฉันยืนยันความตั้งใจแน่วแน่
บ้าน่า จะเอายุ้งข้าวมาทำเป็นบ้านเนี่ยอ่ะนะ ไม่ได้ๆ
คนเค้าถือ... ยุ้งข้าวน่ะ คือที่สถิตของพระแม่โพสพนะป้า ห้ามเอามาทำเป็นบ้านอยู่เด็ดขาด
จริงเหรอ?
จริงดิ อย่างมากเค้าก็แค่ไปนอนเฝ้าข้าวไม่ให้คนมาขโมย
อืม... แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว มันก็อาจจะจริงอย่างที่เขาบอกก็ได้ เพราะภายในเรือนหลังนี้ไม่มีเครื่องเรือนที่บ่งบอกว่าเป็นบ้านเลยแม่แต่ชิ้นเดียว มีเปลผ้า... ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นบ้านสักหน่อย
เอ... หรือชาติที่แล้ว ฉันเป็นเด็กนอนเฝ้ายุ้งข้าว แล้วเขาเล่าเป็นใคร นักรบที่ผ่านทางมาหรือไง?
เอ้อ...จริงด้วย แล้วหม้อที่สานด้วยไม้ไผ่ใหญ่ๆ ที่อยู่ข้างในนั่นคืออะไรน่ะ?
หม้อสานด้วยไม้ไผ่เหรอ? อ๋อ สงสัยคือ กระพ้อมข้าว ละมั๊ง คนภายกลางเค้าเอาไว้ใส่ข้าวในยุ้งน่ะ
แต่ป้าจี้ไม่เห็นมีข้าวอยู่เลยนี่นา
ก็ไม่มีแน่ล่ะ ยุ้งข้าวหลังนั้นน่ะ ไม่ได้ใช้เก็บข้าว เจ้าของเค้าอนุรักษ์ไว้ เพราะเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษน่ะ
โห... เก่าแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ชาติที่แล้วฉันเกิดอยู่ยุคไหนนะเนี่ย?
เดี๋ยวก่อนนะ ป้าเข้าไปข้างในยุ้งข้าวนั่นได้ไง?
ป้าแค่เดินเข้าไปทางประตู ก็มันเปิดอยู่นี่นา
เป็นไปได้ยังไงกัน ประตูยุ้งข้าวหลังนั้นน่ะเหรอ เปิดอยู่?
มีอะไรเหรอ? ทำไมหนูทับบี้ต้องทำหน้าแบบนั้นล่ะ ป้ากลัวน้า
ประตูนั่นน่ะ ล่ามโซ่คล้องกุญแจปิดตายมาหลายปีแล้ว เจ้าของเค้าหวงมากนะ แม้แต่ลูกหลานแท้ๆ ยังไม่เคยได้เห็นเลยว่าหลังประตูที่ปิดตายบานนั้นมีอะไร
หวงตรงไหน ป้าจี้ไปขอซื้อเค้า เค้าก็ยกให้ป้าจี้ทันทีเลย ตังค์ก็ไม่เอา
ป้าจี้ไปขอซื้อ แล้วแกยกให้ป้าจี้เหรอ? แปลกจัง... เออ... แล้วป้าจี้เจอแกได้ไง?
ป้าก็ไปหาถึงบ้านเค้าน่ะสิ
ป้ารู้จักบ้านลุงสิบเหรอ? แต่ตอนนี้แกอยู่อุดรฯ ไม่ได้อยู่บ้านนี่นา
เดี๋ยวๆ ...อะไรนะ?... ลุงสิบ??? อ้าว... ยุ้งข้าวหลังนั้นไม่ได้เป็นของคุณยายบ้านโน้นหรอกเหรอ?
คุณยายไหน?
คุณยายหูตึงที่อยู่บ้านหลังโน้นไง บ้านที่อยู่ในสวนผลไม้เลยจากยุ้งข้าวกับลานกว้างไปอีกหน่อย ไม่น่าจะผิดนะ ก็แถวๆ นั้นมีบ้านนั้นอยู่หลังเดียว ...หลังอื่นๆ อยู่ถัดไปอีกตั้งไกล
อ๋อ รู้แล้ว... ป้าจี้ไปเจอคุณย่ามาแน่ๆ เลย
คุณย่า?
เอ่อ...แม่ของลุงสิบน่ะป้าจี้ บ้านหลังนั้นน่ะ ถูกแล้ว...บ้านลุงสิบ
หา?! แม่ลุงสิบ? ...บ้านหลังนั้นคือบ้านลุงสิบ? งั้นก็หมายความว่า ลูกสาวลุงสิบเป็นกระ... เอ่อ... เป็นผู้หญิงขายตัวเหรอ?
รอยยิ้มของทัพพีสลายไปทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากฉัน พร้อมกันนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเย็นชาจนเหมือนใส่หน้ากาก
ใคร... ใครเป็นคนพูด? ใครเล่าอะไรให้ป้าจี้ฟัง?
ตอนที่ฉันลงจากเรือนโบราณหลังนั้น ก็เห็นว่าที่ท่าน้ำของบ้านที่อยู่ริมคลองฝั่งตรงข้าม มีลุงกับป้าสองคนกำลังยืนเมียงๆ มองๆ มาทางนี้พอดี
หวัดดีค่า ฉันเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้าน ก็เลยตะโกนข้ามคลองไปทักพร้อมกับยกมือไหว้งามๆ ตามมารยาท แต่ปรากฎว่า แทนที่ฉันจะได้เห็นภาพลุงกับป้ายิ้มรับไหว้อย่างใจดีเหมือนอย่างที่เห็นในโฆษณาไทยแลนด์แดนสมายของการท่องเที่ยวฯ กลับกลายเป็นภาพลุงกับป้าสะดุ้งตกใจแล้วหันไปซุบซิบกันใหญ่
เอ่อ... คือว่า หนูชื่อแองเจล่าค่ะ เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ ยินดีที่ได้รู้จักนะค้า ไฮ้...ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่า ในเมื่อทักทายแบบไทยๆ ไม่ได้ก็เลยลองแอ๊บแบ๊วแบบญี่ปุ่นดู หุหุ ได้ผลแฮะ
ลุงกับป้าข้ามคลองมาคุยกับฉันเลย แกสองคนก็เม้าอย่างเมามันน้ำลายแตกฟองฟอด... เดี๋ยวจะหาว่าคุย ป๋าจอห์นน่ะสืบสันตติวงศ์มาจากเสือจันเชียวนะ ว่าแล้วป๋าก็เอามือปาดผมอันน้อยนิดจากทางด้านหลังอ้อมมาปิดเหม่ง
ตอนหนุ่มๆ น่ะ ป๋าเค้าฮ๊อตที่สุดในคลองนี้เลยนะ ป้าเล่าด้วยความภูมิใจ
ฉันไม่ค่อยแปลกใจที่คุณลุงหน้าลูกครึ่งผสมสามฝ่ายไทยลาวกัมพูชาจะชื่อ จอห์น (ป้าแกออกเสียงฝรั่งเต็มที่ ไม่ใช่จอนแบบไทยๆ นะคะ) เพราะฉันหน้าหมวยขนาดนี้ยังชื่อฝรั่งเลยนี่นา ส่วนป้าก็หน้าประมาณเดียวกับลุง แต่ชีชื่อ เคียวโกะ ค่ะ
อย่าไปเชื่อมาก ป้าจี้ ลุงจ้อนแกขี้โม้จะตาย
ป๋าจอห์นนะ ไม่ใช่ลุงจ้อน
น่านแหละ คนเดียวกัน มีแค่ลุงจ้อนคนเดียวประเทศชาติก็เจริญแย่แล้ว มีสองคนประเทศไทยได้เป็นมหาอำนาจแน่ ...เมียแกที่ใส่โรลม้วนผมเต็มหัวใช่ไม๊ล่ะ
เคียวโกะซัง
น่านแหละ... เดิมป้าแกชื่อนางเคียว ทัพพีน้อยงอนิ้วชี้เป็นรูปเคียวประกอบคำว่า เคียว แล้วเม้มปากกลั้นหัวเราะจนแก้มบุ๋ม ...พอดีลุงแกอยากมีเมียญี่ปุ่น แต่สมัยนั้นหาแถวนี้ไม่มี แกก็เลยไปเปลี่ยนชื่อ...
ผัวเมียคู่นี้พูดอะไร อย่าไปฟังมากนะป้าจี้ เดี๋ยวสมองบุบ
จากคุณ |
:
Acciacatura
|
เขียนเมื่อ |
:
24 มี.ค. 54 10:46:27
|
|
|
|