Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปพิษฐาน ตอนที่ 6-7 ติดต่อทีมงาน

มาคราวนี้ผมขอลงต่อเนื่องกันไปเลยนะครับสองตอนรวด

ขอบคุณกิฟต์และคอมเมนต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านนะครับ จะพยายามนำไปปรับแก้ในโอกาสต่อไปครับ

คุณมน : ต้องเก็บไว้ก่อนครับ เฉลยทีเดียวเดี๋ยวไม่สนุกครับ

คุณ nadal : ยังมีเหตุการณ์พลิกผันอีกครับ คอยตามอ่านไปด้วยกันนะครับ

คุณแก้ว : คราวนี้ลงสองตอนรวดให้เลยครับ

คุณกุลธิดา : ยังไม่กล้าเฉลยมากครับ แต่เรื่องชิงฉัตร จะชัดเจนขึ้นในบทที่ 7 นี้แหละครับ

คุณ pantee : ลองลุ้นดูนะครับ

คุณมานีโอลา : ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกครับ

คุณรสนิยม : ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำ คนเขียนใจร้อนไปหน่อยครับ

สำหรับสาปพิษฐานตอนที่ 5 ที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10363848/W10363848.htm

เชิญอ่านตอนต่อไปได้เลยครับ

บทที่ 6

    ตราบรุ่งสางของวันใหม่เมื่อชิงฉัตรขับรถกลับมาถึงคฤหาสน์หลังงาม แสงไฟในห้องรับแขกยังเปิดสว่างจ้า เมื่อเขาก้าวผ่านเข้าไปด้านในนายหัวหนุ่มใหญ่จึงมองเห็นร่างอรชรของรสลินนอนหงายพิงพนักโซฟาร์ ขวดสุราต่างประเทศวางทิ้งไว้บนโต๊ะสองขวด และพร่องจนเกือบหมด เขาหยิบมันขึ้นมาวางบนตู้โชว์

    “อาหลิน... แกเป็นอะไรไปอีกแล้วล่ะ?”

     ผู้เป็นพี่ชายทรุดตัวลงนั่งถามหยั่งเชิงออกไป รสลินดูเหมือนจะเพิ่งเริ่มรู้สึกตัว หญิงสาวซึ่งในอาภรณ์เดียวกับเมื่อคืนจึงเริ่มขยับกายลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าและยกมือเสยผมรุ่ยร่ายให้คืนกลับเข้าที่

    “เฮียกลับมาเมื่อไร?”

    “ก็กลับมาทันเห็นแก เมาเละเทะอย่างนี้ล่ะสิ โตแล้วนะอาหลิน นี่ถ้าแม่รู้เข้าจะทำยังไง”

    เขาหมายถึงผู้เป็นมารดาที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในวัยเจ็ดสิบเศษซึ่งยังมีสุขภาพแข็งแรง และพักอยู่ยังอาคารด้านหลังแยกสัดส่วนออกไปต่างหาก ส่วนเตี่ยหรือบิดาเสียชีวิตไปตั้งแต่หญิงสาวยังอายุไม่ถึงสองขวบ รสลินยังจำความอะไรไม่ได้เลย สาวโสภายักไหล่อย่างไม่ยี่หระด้วยอาการไม่ต่างกับสมัยเป็นเด็กสาวแรกรุ่น

    “ก็ช่างปะไร แม่ไม่เคยสนใจหรอกว่าหลินจะเป็นยังไง นอกจากด่าว่า ยังกะหลินไม่ใช่ลูกของ:-)ั้นแหละ”

    ชิงฉัตรถอนหายใจยาวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เขารักน้องสาวที่อายุห่างกันราวสิบปี ไม่ต่างกับหล่อนเป็นลูกสาว ทั้งรักทั้งห่วงและทั้งตามใจจนเคยตัว ต่างกับผู้เป็นมารดาวัยชราที่ไม่ค่อยได้สนิทสนมและถนัดต่อการพร่ำบ่นอยู่เป็นนิจ ด้วยเหตุนี้กระมังจึงทำให้รสลินไว้วางใจเขามาก จนบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อนเป็น มากกว่าจะเล่าให้กับมารดาได้รับรู้

    “เรื่องของผู้กองพระแสงใช่มั๊ยล่ะ?”

    หนุ่มใหญ่ทายาทสวนปาล์มและกิจการธุรกิจใหญ่ของจังหวัดเอ่ยขึ้นตรงๆ พุ่งเข้าสู่ประเด็นโดยไม่อ้อมค้อมอีก รสลินพยักหน้าแค่มองตา เขาก็เห็นความร้าวรานเจ็บปวดอยู่ภายในดวงตาทั้งคู่

    “เขาสนใจนังเด็กสาวคนนั้น เพื่อนสนิทของน้องสาวเขา?”

    “ศาปานต์... ใช่! เฮียเองก็มองออกเหมือนกัน...”

    นัยน์ตารสลินที่ยังเลื่อนลอยด้วยฤทธิ์เมรัยเป็นประกายเข้มขึ้นนิดหนึ่ง หล่อนไม่ทันสังเกตเห็นถึงสายตาวาบวับของผู้เป็นพี่ชาย ชิงฉัตรอยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาเห็นประกายเช่นนั้นกลางนัยน์ตาผู้กองหน้าเข้มตั้งแต่แรกด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยสัญชาตญาณของเพศชายที่มีเป้าหมายเดียวกันนั่นเอง

   ไอ้ผู้กองพระแสงก็สนใจเด็กสาวหน้าสวยคนนั้นเหมือนกับเขา!!

    “แล้วแกก็จะยอมแพ้เด็กสาวคนนั้น?”

    คราวนี้รสลินหันขวับมาทันที เสียงห้วนแข็งขึ้นฉับพลัน

    “ไม่มีทาง หลินมาก่อน และหลินก็จะไม่มีวันยอมแพ้นังเด็กจอมออเซาะคนนั้นเด็ดขาด...
อุตส่าห์วางใจนึกว่าเป็นแค่เพื่อนของสิชลธรรมดา หมั่นไส้นัก จู่ๆมันเกิดบ้าอะไรขึ้นมา ยังกะรู้จังหวะพอดี มาทำเป็นลมยั่วผู้กองขึ้นมาซะงั้น... ไม่นึกว่าจะมาแผนสูงแบบนี้”

    หล่อนผรุสวาทออกมาหลายคำให้สะสาแก่ใจตัวเอง เมื่อเห็นว่าอยู่เพียงลำพังกับพี่ชาย รสลินเป็นคนฉลาดแต่สำหรับเรื่องนี้ดูเหมือนหล่อนจะกลายเป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจไปในทันทีโดยไม่เหลือเหตุผลใดๆอีก คราวนี้โกฉัตรกลับเป็นฝ่ายนิ่งเหมือนครุ่นคิด

    “แต่เฮียว่าไม่ใช่นะ อาหลิน”

    คราวนี้ น้องสาวชิงฉัตรกลับเป็นฝ่ายหยุดนิ่งชะงัก สายตามองดูพี่ชายต่างวัยด้วยความคลางแคลง

    “แม้แต่เฮียเองก็ยังเข้าข้างนังเด็กคนนั้นรึ?”

    มือหยาบกระด้างเอื้อมมาลูบผมรสลินเบาๆคล้ายปลอบประโลม

    “ไม่หรอก เฮียจะไปเห็นคนอื่นดีกว่าน้องสาวตัวเองได้ยังไง เพียงแต่ ตอนนี้กำลังนึกอยู่ว่าทำไมจู่ๆ หนูป่านถึงได้เป็นลมไปได้... มันเกิดขึ้นเมื่อเฮียกำลังเล่าถึงประวัติแขวงเมืองปกาไสยอยู่พอดี ก็เท่านั้น...”

    รสลินเบะปากเมื่อได้ยินคำว่า “หนูป่าน” ออกจากปากของโกฉัตร

    “มันก็ดัดจริต คิดจะออเซาะผู้กองพระแสงน่ะสิเฮีย ผู้หญิงพรรค์ยังงั้น คงจะหาผู้ชายดีๆคนอื่นไม่ได้แล้ว ก็เลยวางแผนยั่วยวนตามประสาของมัน คอยดูเถอะ... ถ้าผู้กองเผลอ มีหวังเสร็จมัน!!”

    แต่คำพูดเผ็ดร้อนเหล่านั้นหาได้ผ่านเข้าสู่โสตประสาทของนายหัวหนุ่มใหญ่ไม่ โกฉัตรกำลังนึกทบทวนใบหน้าหวานสดใสของเด็กสาวที่เข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจตนเองด้วยความพิศวง เขานึกถึงชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย ในตอนที่สิชลแจ้งชื่อลงทะเบียนประวัติคนไข้ก่อนจะเข้าพบแพทย์ และยิ่งรู้สึกคุ้นหูอย่างประหลาด

    นางสาวศาปานต์ แสงบดินทร์...

   ไม่ใช่ชื่อแต่หมายถึงนามสกุล เป็นนามสกุลของใครบางคนที่เพิ่งผ่านเข้าหูมาไม่นานและยังไม่ทันจะเลือนหายไปจากความทรงจำ

    ใช่แล้ว!

   และภาพข่าวเหตุการณ์ประหลาดแกมระทึกขวัญที่กำลังอยู่ในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจรวมทั้งความสนใจของชาวบ้านแถบนี้ก็ผุดขึ้นมาในบัดดล

    พระเอกหนุ่มชื่อดัง เอกนรินทร์ อินทรทิพย์ และแฟนสาวหายตัวไปอย่างลึกลับกลางทะเลลึก!

    ส่วนตัวแฟนสาวที่เขาพอจดจำชื่อได้คร่าวๆว่าหล่อนมีนามว่า ปรมา แสงบดินทร์
   
    เป็นนามสกุลเดียวกันกับศาปานต์...

                         *************************

     มะแอกำลังนั่งสานเสื่อจากต้นเตยทะเลตากแห้งอยู่ภายในกระท่อมหลังเล็กๆอย่างขะมักเขม้น กระท่อมมุงจากที่สร้างอย่างหยาบๆอยู่ลึกถัดเข้าไปจากชายหาดใกล้กับบริเวณเขาอ่าวนาง รอบบริเวณคืออาณาเขตสวนยางขนาดย่อมที่นางและป๊ะยีสามีเช่าจากเจ้าของที่เพื่อปลูกยางพารา ซึ่งระยะเวลากว่าหกปีของการลงทุนต้นยางเหล่านี้ก็กำลังอยู่ในระยะกรีดยางได้พอดี หากแต่ตอนนี้สามีผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในครอบครัวกลับหายตัวไปอย่างลึกลับโดยไม่รู้ชะตากรรมใดๆ มะแอแทบไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งสิ้น หญิงชราวัยย่างหกสิบรีบงกๆเงิ่นๆลงจากเรือนไม้เมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาตามถนนดินอ่อนระหว่างแนวสวนยางอันร่มครึ้ม ก่อนคนขับจะดับเครื่องจนสนิทนิ่งลงที่หน้าเรือนไม้เก่าคร่ำของตนเองพอดี

    รถตำรวจ...

    นายตำรวจหนุ่มหน้าคมเข้มร่างสูงใหญ่ก้าวลงมาพอดีพร้อมถุงบรรจุข้าวของเต็มมือ เขารีบปราดเข้ามาหาร่างหญิงชราประคองไม่ให้นางลนลานลงมาจากบันไดที่ค่อนข้างสูงจนชัน

    “มะไม่ต้องลงมาก็ได้ครับ”

    “ผู้กองพระแสง”

    มะแอเอ่ยเป็นภาษาไทยกระท่อนกระแท่น หญิงชราเป็นคนในพื้นเพแถบนี้จึงไม่มีปัญหาในการสื่อสารกับนายตำรวจหนุ่มสักเท่าใดนัก พระแสงยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบตัดกับใบหน้าคร้ามคมสมชายชาตรี เห็นจะมีเพียงผู้กองหนุ่มผู้นี้เท่านั้นกระมังที่คอยเฝ้าติดตามถามไถ่สารทุกข์สุกดิบและความเป็นไปของนางภายหลังการที่ป๊ะยีหายตัวไปอย่างเอาใจใส่ นางสัมผัสถึงความจริงใจและปรารถนาดีที่อยู่ภายใต้ท่าทางเคร่งขรึมพูดน้อยของเขาได้เป็นอย่างดี มะแอยกมือไหว้ แต่พระแสงรีบจับมืออีกฝ่ายห้ามเอาไว้ได้ทัน

    “มะไม่รู้จะขอบคุณผู้กองยังไงที่อุตส่าห์มาเยี่ยม”

    เสียงของนางสั่นเครือด้วยอารมณ์โศกเศร้าค้างคาอยู่ในใจไม่คลาย เมื่อชวนให้นายตำรวจหนุ่มนั่งลงกับชานเรือน

    “พอได้ข่าวคราวป๊ะยีบ้างไหมคะ ผู้กอง?”

    เขาอยากจะพยักหน้าบ้างเหลือเกิน เมื่อรู้ว่าอาจจะทำให้อีกฝ่ายมีรอยยิ้มด้วยความสุขเกิดขึ้นบ้าง แต่ในเมื่อความจริงแล้วมันมิใช่ พระแสงจึงจำต้องส่ายหน้าปฏิเสธ

    “มะพอจำอะไรเพิ่มเติมอีกได้ไหมครับ นอกจากที่ป๊ะยีรับจ้างพาคุณเอกนรินทร์กับคุณปรมาออกไปแล่นเรือเลียบชายฝั่งตามที่ต่างๆ”

    “มะจำไม่ได้แล้วจ้ะ เพราะนายผู้หญิงคนนั้นก็มาคุยกับป๊ะยีหลายครั้งเหลือเกิน เดี๋ยวก็ว่าจะออกไปเกาะนั้น เกาะนี้ ถ้ำนั้นถ้ำนี้ หลายแห่งไปหมด”

    “แล้วครั้งสุดท้าย...”

    ชายหนุ่มพยายามเลียบเคียงเท่าที่พอจะทำได้ ด้วยความอดทน... มะแอเป็นหญิงชราที่แทบจะจดจำอะไรไม่ได้เลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนางทำหน้าที่ภรรยาของป๊ะยีเพียงอย่างเดียวจริงๆ หน้าที่อื่นๆโดยเฉพาะส่วนที่เป็นการงานของสามีด้วยแล้ว มะแอจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องจนแทบจะไม่รู้รายละเอียดใดๆสักอย่าง เขานึกถึงหญิงสาวน้องสาวผู้สูญหายที่ไม่ได้มาด้วยคนนั้น ศาปานต์...

    ป่านนี้หล่อนจะเป็นอย่างไรบ้างนะ? พระแสงเพิ่งรู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่เห็นเด็กสาว “จมูกรั้นหน้าเชิด”คนนั้นเป็นลมหมดสติลงเบื้องหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวมาก่อน ทำให้เขาอดรู้สึกเป็นห่วงหล่อนอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะนึกฉิวแกมขันกับท่าทางอวดดีและดื้อเงียบมาตลอดการเดินทางก็ตามที นี่ถ้าหากว่าหล่อนได้มีโอกาสได้มาร่วมพูดคุยกับมะแอด้วยแล้ว อาจจะได้ข้อมูลอะไรมากไปกว่าที่เขาพยายามสืบหาไปกว่านี้หรือไม่??

    ท่าทางมะแอเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หญิงชราลุกขึ้นแล้วเดินย้อนกลับเข้าไปข้างในห้องก่อนจะหยิบกล่องดีบุกเก่าๆติดมือออกมาด้วย

    “แต่... เดี๋ยวนะ ผู้กอง มะจำไม่ได้ว่ามีอะไรที่ผู้หญิงคนนั้น ทิ้งเอาไว้ที่นี่ด้วยหรือเปล่า?”

    มือเหี่ยวย่นด้วยความชราค้นกุกกัก ก่อนที่นางจะหยิบชิ้นสุดกระดาษเล็กๆแผ่นหนึ่งออกมา กระดาษที่พับทบกันเป็นชิ้นเล็กๆและเริ่มเปื่อยยุ่ยจากความชื้น

     “ใช่แล้วล่ะ ครั้งล่าสุดที่นายผู้หญิงคนนั้นคุยกับป๊ะยีตั้งนานสองนาน และแกก็เขียนอะไรก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายนายหญิงก็เหมือนกับขยำมันทิ้งไป แต่มะแอกวาดเจอมันตกอยู่ใต้ม้านั่ง ก็เลยเก็บเอาไว้ กะว่าจะมาถาม แล้วก็ลืมไปสนิท”

     พระแสงรีบคลี่ออกอ่าน แล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความพิศวง

    “นี่มันคืออะไรน่ะครับ ทำไมผมไม่เคยเห็นมาก่อน”

     บนกระดาษลายเส้นเล็กๆชิ้นนั้น มีเส้นดินสอวาดเอาไว้คร่าวๆ ไม่ต่างกับแผนที่ ส่วนหนึ่งที่เขามองเห็นเขียนคล้ายกับเป็นแหลมยื่นออกมาจากตัวแผ่นดิน แสดงถึงส่วนวงกลมหลายๆส่วนในกระดาษคือเกาะแก่งต่างๆ หากที่แปลกออกไปที่สุดเห็นจะเป็นวงกลมวงหนึ่งซึ่งอยู่ปลายสุดลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

     มันถูกเขียนขึ้นให้คล้ายรูปสัตว์ปีกชนิดหนึ่งกำลังกางปีกขยายกว้างออก... ลายเส้นดีสอตวัดวาดหยาบๆจนทำให้ไม่แน่ใจว่าเป็นสัตว์ชนิดใดกันแน่

     “น่าจะเป็นรูปนก หรือไก่?”

      พระแสงเอ่ยสันนิษฐานกับตัวเองด้วยความฉงนฉงาย ขณะที่หญิงชราคว้ามันเอามาเพ่งดูด้วยสายตาฝ้าฟาง ก่อนจะอุทานออกมาด้วยเสียงแผ่วโหย

     “ไม่ใช่... มะจำได้แล้วผู้กอง นั่นเป็นที่แห่งสุดท้ายที่ป๊ะยีเคยปฏิเสธนายผู้หญิงคนนั้นมาก่อน มันคือเกาะ... เกาะนกยูง!!”

                           **************************

     “ว่าไงนะ คุณสิงหบดีหรือจ๊ะ?”

     เสียงของสิชลไม่เบาเลย เมื่อหล่อนฟังเพื่อนสาวเล่าเหตุการณ์กลางดึกที่เกิดขึ้นให้ฟัง เหมือนกับเป็นเรื่องเหลือเชื่อเต็มที

     ศาปานต์ยื่นช่อดอกแก้วที่เริ่มเป็นสีขาวซีดอมเหลืองเมื่อเวลาผ่านไป ออกมาให้เป็นหลักฐาน

     “นี่ไงล่ะ เขายังวางช่อดอกไม้เอาไว้ให้เลย แต่เรียกว่าดอกการะบุหนิง”

    สิชลหยิบช่อดอกไม้ที่เริ่มเหี่ยวแห้งขึ้นมาหมุนเล่นอย่างใจลอยหญิงสาวหยิบมันขึ้นมาจรดปลายจมูก น่าประหลาดดอกไม้สีขาวแห้งกลับไร้ซึ่งกลิ่นใดๆราวกับถูกสูดกำซาบจนหมดสิ้นรสไปแล้ว แต่สิชลก็ไม่ทันได้คิด ในเมื่อภาพชายหนุ่มรูปงามซึ่งพบกันที่สนามบิน ย้อนกลับมาติดตาตรึงใจอยู่จนยากถ่ายถอน ไม่นึกว่าเขาจะอุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนเพื่อนรักถึงโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้ รู้เช่นนี้หล่อนน่าจะอาสานอนเฝ้าห้องแทนยายพยาบาลบุหงาที่เอาแต่นอนหลับอุตุจนไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยอย่างนี้!!

    แต่นั้นแหละ แม้กระนั้น สิชลก็ยังอดประหลาดไม่ได้ว่าชายหนุ่มนักธุรกิจคนนั้น ไปรู้เรื่องการเจ็บป่วยจนมานอนพักที่โรงพยาบาลของศาปานต์ได้อย่างไร?

     แต่เขาก็อาจจะเป็นคนในพื้นที่แถบนี้ ที่รู้จักกับคนแถวนี้เป็นอย่างดีก็ได้... สิชลพยายามนึกอย่างเข้าข้างตัวเอง

     “แล้วเขาว่าไงบ้างล่ะหือม์... ป่าน?”

    หวังว่าอย่างน้อยหนุ่มนักธุรกิจมาดเฉียบคนนั้น จะถามไถ่ถึงกันบ้าง แต่ศาปานต์ก็เล่าเพียงสั้นๆตามแบบฉบับ จะมีก็แต่เพียงบอกว่าเขาชวนให้ไปเที่ยวเกาะนกยูง ที่พักบนเกาะส่วนตัวเท่านั้นกระมังที่พอทำให้เด็กสาวจอมแก่นรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แม้จะอดเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสพบหน้ากันอีกสักครั้ง

     “เธอให้เบอร์ติดต่อเอาไว้ด้วยหรือเปล่าล่ะ ป่าน?”

    นึกแล้วก็เสียดายอยู่ครามครันที่ครั้งนั้นไม่ได้ขอนามบัตรเขาเอาไว้ตั้งแต่พบกันที่สนามบิน ศาปานต์เองก็ส่ายศีรษะปฏิเสธ

    “คุณสิงหบดีบอกว่าจะติดต่อกลับมาเอง เขาคงรู้อยู่แล้วล่ะว่าเธอเป็นน้องสาวผู้กองคนดังแห่งเมืองกระบี่”

    หล่อนตอบเสียงเบาแม้ท้ายเสียงจะอดเหน็บไปยังชายหนุ่มอีกคนไม่ได้ก็ตาม คราวนี้สิชลหัวเราะแห้งๆ ตีแขนเพื่อนเผียะหนึ่งแก้ขัน

     “พูดโอเวอร์ไปแล้วนะยะยายป่าน เดี๋ยวฉันก็มีหวังถูกเพ่งเล็งจากคนใหญ่คนโตแถวนี้เอาหรอก”

    พูดยังไม่ทันขาดคำ “คนใหญ่คนโต” ประจำถิ่นที่ว่า ก็เปิดประตูก้าวเข้ามาพอดี ร่างสูงตระหง่านของนายหัวหนุ่มใหญ่ปรากฏขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนและดอกไม้ช่อโต นัยน์ตาคมกล้ามองมาที่คนเจ็บก่อนอื่น ก่อนที่หันไปรับไหว้จากสิชลเสียด้วยซ้ำ

    “เป็นไงบ้างครับ นอนหลับสบายไหมครับหนูป่าน”

    เสียงเรียกอย่างนุ่มนวลราวกับผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กได้อย่างกลมกลืนไม่น่าเกลียด แต่ศาปานต์กลับยิ่งรู้สึกถึงความหมายลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางสุภาพนั้นได้ชัดเจนมากขึ้น ผู้ชายคนนี้มีบางอย่างอันตรายที่สังหรณ์เตือนให้เธอพยายามถอยห่างให้มากที่สุด!!

     สังหรณ์ที่ศาปานต์ก็บอกกับตัวเองไม่ได้

    ช่างตรงข้ามกับบุรุษอีกผู้หนึ่งจนอดนึกเปรียบเทียบขึ้นมาไม่ได้เลย

    บุรุษหน้าเข้มขรึมเหมือนดุคนนั้น คนที่หล่อนไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น หากก็เป็นเพียงความรู้สึกหมั่นไส้ที่เกิดขึ้นอย่างไม่จริงจังใดๆเท่านั้นเอง หาได้มีความ “หวาดเกรง” ประหลาดเกิดขึ้นด้วยไม่ และในยามเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น หล่อนก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยในยามที่เขาลืมตัว แม้จะพยายามซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าเคร่งเหมือนหินผาเช่นนั้นก็ตาม

    ศาปานต์บอกได้อย่างมั่นใจว่าหล่อนยังรู้สึกปลอดภัยมากกว่าการต้องอยู่เผชิญหน้ากับนายหัวฉัตรผู้นี้!

    “ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนี้ มีใครแวะมาเยี่ยมหนูป่านด้วยหรือครับ? เอ... ไม่นึกว่าที่เมืองกระบี่นี่หนูป่านจะมีคนรู้จักอื่นนอกจาก ผู้กองพระแสงอีก”

     น้ำเสียงแกมเย้าเหมือนหยอกทีเล่นทีจริงนั้น ศาปานต์จับประโยคได้ทันทีว่าหมายความในนเชิง “ทีจริง” เสียมากกว่า “ทีเล่น”มากนัก และเขาเองก็กำลังรอคอยคำตอบจากหล่อนอย่างใจจดจ่ออยู่เช่นกัน

    “ใช่ค่ะ เป็นเพื่อนที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นานที่สนามบินนี่เอง”

     “เอ... ถ้าอย่างนั้นผมพอจะรู้จักชื่อของเขาคนนั้นบ้างไหมครับนี่ เผื่อจะได้ทำความรู้จักกันไว้ด้วย?”

     เป็น “คำถาม”ที่ซ่อนนัยของวิธีการที่เขาต้องการได้ “คำตอบ”อย่างสุภาพ และซ่อนความอยากรู้เอาไว้เต็มเปี่ยม คำว่า “เขา”ที่นายหัวฉัตรเอ่ยออกมาทำให้ศาปานต์ทราบในทันทีว่าเขาต้องรู้เรื่องนี้มาก่อน จากพยาบาลบุหงามาแล้วแน่นอน แต่ยังไม่ทันที่จะตอบออกไป สิชลก็เป็นฝ่ายตอบแทนออกมาเสียเอง

     “อ๋อ คุณสิงหบดีเองน่ะค่ะ เขาเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่อยู่เมืองกระบี่เหมือนกัน โกฉัตรพอจะรู้จักไหมคะ?”

    คราวนี้นายหัวคนดังนิ่งคิดชั่วอึดใจ มิใช่ด้วยความประหลาดใจต่อชื่อที่สิชลโพล่ตอบออกมา เพราะรู้คำตอบนั้นมาก่อนหน้านั้นแล้ว ชิงฉัตรเพียงแต่ต้องการ “โยนหินถามทาง” ด้วยความสงสัยตามสัญชาตญาณเสียมากกว่า

     โดยเฉพาะคนที่จะเข้ามาพัวพันกับสตรีที่เขากำลังรู้สึกสนใจเป็นพิเศษคนนี้

    แต่แรกก็คิดว่าน่าจะมีเพียง ผู้กองหนุ่มหล่อหน้าเข้มคนนั้นที่จะมีโอกาสใกล้ชิดกับสาวน้อยแสนสวยมากกว่าใคร แต่ทันทีที่เดินทางมาถึงในตอนสาย แล้วได้เห็นท่าทางพิรุธของบุหงา พยาบาลสาว ก็ทำให้เขาคาดคั้นจนทราบเรื่องเข้าจนได้ จึงได้รู้ว่ามี “ตัวแปรใหม่” ให้เข้ามาขบคิดเล่นๆอีกคนหนึ่งโดยไม่ทันคาดคิด

    “บุหงาไม่ตั้งใจนะคะ เพียงแต่เอ้อ... ห้ามไม่ทันเท่านั้นเอง เขาเข้ามาตอนที่บุหงากำลังไปเข้าห้องน้ำพอดี”

    น้ำเสียงสั่นเครือและนัยน์ตาหลบต่ำเช่นนั้น ตามประสาคนที่คุ้นเคยกับพฤติกรรมมนุษย์มทมาทั้งชนิดดี-เลวอยู่หลายสิบปีอย่างชิงฉัตร มีหรือที่จะดูไม่ออก บุหงาพูดไม่ตรงความจริงเท่าใดนัก

     นั่นอาจจะเป็นเพราะหล่อนหวาดกลัวเขาจนเกินไป ท่าทางของหนุ่มใหญ่จึงผ่อนคลายลง เมื่อค่อยๆตะล่อมถาม จนรู้ว่ามีแขกยามวิกาลเข้ามาเยี่ยมเยียนศาปานต์จริงๆ แต่บุหงาก็ไม่อาจรู้ว่าบุคคลปริศนามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงแต่ทราบจากคำบอกเล่าของศาปานต์อีกทีหนึ่งเท่านั้น

     เขาตัดปัญหาโดยโบกมือให้หล่อนกลับออกไป ก็แค่นั้นเอง... สำหรับความรู้ความสามารถของคนพวกนี้ และชิงฉัตรก็ต้องการจะรู้จากปากเด็กสาวแสนสวยด้วยตัวเองเสียมากกว่า

      มิคาดคิดว่าเพื่อนสาวที่มาด้วยของหล่อนจะช่วยขยายความให้เสียจนหมด... จนแทบไม่ต้องเอ่ยปากถาม...

     โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ถึงกับทำให้เขาต้องหูผึ่งขึ้นมาทันที

    “คุณสิงหบดีบอกว่าเขาพักอยู่บนเกาะส่วนตัวด้วยนะคะ โกฉัตรพอรู้จักไหมคะ... เกาะที่มีชื่อเรียกว่าเกาะนกยูง”

                        *************************

ปล. สาปพิษฐาน รวมพิมพ์เป็นเล่มแล้วครับ ของสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม คาดว่าวางแผงในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งนี้พอดีครับ

 
 

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 54 16:38:56




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com