สาปพิษฐาน ตอนที่ 7
นายหัวชิงฉัตรหยิบกล่องโลหะออกมาวางเคียงคู่กับเอกสารโบราณชิ้นสำคัญ เขาวางกล่องอย่างทะนุถนอมด้วยตระหนักถึงสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายในนั้นเป็นอย่างดี ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับตำราเก่ากรอบเบื้องหน้า
หนังสือหรือเอกสารเล่มนั้นค่อยๆถูกพลิกออกอ่านอีกครั้งอย่างระมัดระวัง หลังจากที่เขาไม่ได้เปิดมันออกมาเป็นเวลานานแสนนานแล้ว ชิงฉัตร ธารานพรัตน์ไม่แน่ใจว่าความเก่าจนเหลืองกรอบของชิ้นเอกสารจะบอบบางสักเพียงใด จึงต้องค่อยๆบรรจงพลิกแต่ละแผ่นเพื่อมองหาสิ่งที่ต้องการอย่างระมัดระวัง อันที่จริงเอกสารโบราณชิ้นนี้ สามารถนำไปถ่ายไมโครฟิล์มหรือสแกนเก็บเอาไว้ในรูปไฟล์คอมพิวเตอร์ได้ไม่ยากเย็นเลย แต่เขาก็ตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้น ด้วยไม่ต้องการให้ ข้อมูลบางอย่างที่อยู่ในแผ่นเอกสาร หลุดรอดไปสู่สายตาผู้อื่น เขาต้องการความมั่นใจว่ามันจะต้องมีอยู่เพียงชิ้นเดียว และอยู่ในกำมือของเขาเพียงคนูเดียวเท่านั้น!! อา... ในที่สุด เขาก็พบสิ่งที่ต้องการแล้ว...
ว่าที่นักการเมืองท้องถิ่นผู้สนใจของโบราณยิ้มกว้างกับตัวเองอย่างปิติ เมื่อพลิกเปิดมาถึงแผ่นสำคัญที่ต้องการ มันคือรูปของแผนที่เดินเรือสมัยโบราณที่วาดด้วยลายเส้นหยาบๆและกำหนดทิศทางด้วยสัญลักษณ์ของแผนที่เดินเรือในสมัยก่อน ตัวอักษรที่จารบนแผ่นกระดาษแทบจะลบเลือนไปกับกาลเวลา กระนั้นก็ยังพอมองเห็นว่ามันมิใช่อักษรไทยในปัจจุบัน
นิ้วมือแกร่งเกร็งค่อยไล่ไปตามเนื้อกระดาษที่แทบเปื่อยยุ่ยจนกรอบคามือด้วยความตื่นเต้นเกินระงับ ระหว่างการหวนนึกถึงที่มาของเอกสารโบราณชิ้นนี้ ก่อนที่มันจะไปหยุดยังตำแหน่งหนึ่งซึ่งมีสัญลักษณ์ของแนวคลื่นล้อมรอบ... นั่นคือท้องทะเล และตัวอักษราภาษาโบราณนั้นเขาก็สามารถถอดความออกมาได้ชัดเจนก่อนหน้านั้นแล้ว หากคราวนี้ราวกับมันจะส่งเสียงก้องกังวานในโสตประสาทของนายหัวหนุ่มใหญ่ จนถึงกับทำให้นิ้วมือสั่นระริก
บุหรงปุระ... หรือในความหมายอีกนัยหนึ่งก็คือนครแห่งนกยูงตามศัพท์ภาษาชวา
และแน่นอนว่า สัญลักษณ์เบื้องหน้าอันหมายถึงเกาะบุหรง นั่นก็คือ... เกาะนกยูง!!
********************
ตั้งแต่จำความได้ เด็กชายฉัตรไม่เคยรู้สึกถึงความหวั่นกลัวใดๆมาก่อนในชีวิต ไม่เคยมีสิ่งใดมาทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวได้สักอย่างเดียว ยิ่งเรื่องการชกต่อยต่อสู้นั้นยิ่งสบายมาก ไม่ว่าจะเป็นกับคู่ปรปักษ์ที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันหรือจะต่างรุ่นต่างขนาด ไอ้ฉัตรหรือชิงฉัตรในปัจจุบันก็ได้เผชิญมาแล้วชนิดสู้ยิบตาจนได้รับการซูฮกให้เป็น ลูกพี่ ของบรรดาเด็กๆในละแวกนั้น ตราบจนกระทั่งเขาได้มีโอกาส... การเผชิญหน้ากับความตายเป็นครั้งแรก!
เตี่ยหรือผู้เป็นบิดาชาวจีนโพ้นทะเลและเข้ามาอาศัยในเขตชายฝั่งเมืองกระบี่มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหนุ่ม และยึดอาชีพเป็นชาวประมงมาโดยตลอด โกไฮ้หรือที่เด็กชายเรียกขานว่าเตี่ยมักจะนำลูกชายคนโตและเป็นคนโปรดให้คอยติดตามไปออกทะเลด้วยเสมอตั้งแต่เขายังเป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสา
การเผชิญมรสุมคลื่นลมต่างๆในท้องทะเลกลายเป็นเรื่องปกติชินตาสำหรับเด็กชาย คลื่นลมและการใช้ชีวิตช่วยหล่อหลอมให้ไอ้ฉัตรกลายเป็นคนแกร่งกล้าและทรหดเกินวัย มองเห็นความวิปริตแปรปรวนของธรรมชาติเป็นเรื่องปกติสามัญ ตราบจนเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียงสิบสามย่างสิบสี่ขวบ และทำให้ต้องจดจำมันไปจนตลอดชีวิต...
พายุกำลังจะมา...
เสียงเตี่ยอุทานเมื่อเบิ่งสายตาผ่านผิวคลื่นอันนิ่งสนิท ไร้สรรพเสียงของกระแสลมและระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวเฉกปกติ และไม่ใช่ลักษณะของ น้ำตายอย่างที่เคยเป็น
จำไว้อาฉัตร เวลาเราจะออกทะเล ต้องดูด้วยว่าเป็นช่วงน้ำตายหรือน้ำใหญ่ ถ้าน้ำตาย น้ำจะนิ่งสนิทไม่มีขึ้นลง เราจะลงดำหรือจับปลาได้ แต่ถ้าเดือนสว่างมักจะเป็นเวลาน้ำใหญ่... น้ำที่เราเห็นจะขึ้นลงเร็ว แสดงว่ากระแสน้ำข้างใต้แรงจัด ต้องรีบกลับเข้าฝั่ง คำสอนของเตี่ยยังก้องอยู่ในสองหูของเขา แต่สภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้กลับไม่ใช่ น้ำตายอย่างที่เข้าใจแต่แรก
เราจะกลับกันหรือป๊ะ หรือจะไปวางอวนกันต่อ?
บังรอน ลูกเรือคนหนึ่งก้าวเข้ามาถามจากในห้องเครื่อง ใบหน้ารกเรื้อด้วยหนวดเคราเต็มไปด้วยริ้วรอยของความวิตกกังวล พวกลูกเรือส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมจะเรียกเตี่ยของเขาว่าป๊ะด้วยความนับถือเสมือนพ่อผู้คอยดูแลทุกข์สุขตลอดการใช้ชีวิตอยู่บนเรือ ในขณะที่บางคนอาจจะเรียกอย่างนับถือว่า ไต๋ ซึ่งย่นย่อมาจากตำแหน่งไต้ก๋งเรือนั่นเอง
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าวันนี้ยังไม่ได้ปลาสักตัวเดียวราวกับพวกมันจะรู้ท่าแล้วพากันหลบลี้ไปซ่อนอยู่ใต้บาดาลกันหมด ตอนนี้ก็เหลือระยะเวลาอีกไม่ไกลแล้วก็จะมาถึงเกาะที่มองเห็นลิบๆเป็นเงาตะคุ่มอยู่ด้านหน้า กระแสลมเริ่มพัดอื้ออึงทั้งที่ไม่มีวี่แววของมรสุมมาก่อนหน้า
เตี่ยจึงเป็นฝ่ายตัดสินใจ
เอางี้แล้วกัน พวกเราเอาเรือเข้าหลบพายุที่เกาะข้างหน้าก่อนดีกว่า ถ้าย้อนกลับเข้าฝั่งก็คงจะไม่ทัน
เกาะ?
เตี่ยชี้มือออกไป ม่านพายุไล่มาด้านหลังเป็นสีคล้ำทะมึน ในขณะที่ด้านหน้าไกลออกไปคล้ายมีกลุ่มหมอกรางเลือน ในความสลัวนั้นเขามองเห็นแนวเกาะสีเข้มรำไรอยู่ระหว่างแนวหมอกพร่าจาง
บังรอนพยักหน้าและหันไปพูดคุยกับสหายที่ควบคุมพังงาเรือ ไม่นานเลยห่าฝนก็พรมพร่างลงมาจนท้องทะเลกลายเป็นสีขาวละลานตา ภาพอันสวยงามเบื้องหน้าไม่ต่างกับสรวงสวรรค์ก็แปรเปลี่ยนเป็นขุมนรกในชั่วพริบตาหลังจากนั้น เมื่อท้องฟ้าอันกระจ่างจ้าเริ่มสลัวลงจนมืดมิด ความขาวพร่างมลายหายไปราวกับถูกผืนผ้าขนาดใหญ่คลุมทับผืนฟ้าเอาไว้จนหมดสิ้น
เสียงกระหน่ำของเม็ดฝนอันหนาหนักยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆบ่งชัดถึงลมมรสุมที่เคลื่อนที่เข้าหา และแล้วคลื่นยักษ์สูงท่วมศีรษะก็โหมทะยานเข้าสาดซัดเรือหาปลาลำน้อยจนเหวี่ยงไปมาระหว่างสองยอดคลื่น ราวกับมันกำลังหฤหรรษ์ต่อการหยอกล้อชีวิตน้อยๆบนเรือลำนั้น
เตี่ยรีบสั่งการให้นำเรือเข้าเลียบเกาะที่ปรากฏเบื้องหน้า มันเหมือนจะเลื่อนระยะทางไกลออกไป นานแสนนานและช้าแสนช้ากว่าที่เรือลำประมงพื้นบ้านลำน้อยจะสามารถพาตัวเองมาถึงชายฝั่งของเกาะเพื่อหลบพายุได้สำเร็จ เล่นเอาทุกคนถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เกาะอะไรน่ะไต๋ ทำไมพวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน?
ลูกเรือที่ทำงานกับเตี่ยของฉัตรมาก่อนโพล่งถามขึ้น ความตื่นตระหนกต่อพายุขนาดยักษ์ที่เกิดขึ้นทำให้ไม่ทันสังเกตมาก่อน ตราบจนเมื่อนำเรือเข้าเทียบชายฝั่งสำเร็จนั่นเอง จึงเริ่มมองเห็นถึงความผิดปกติ
มันเหมือนไม่มีคนอยู่เลยนะไต๋
เขามองเห็นพ่อของตนก้าวลงไปเหยียบพื้นเกาะเป็นคนแรก พลางสอดส่ายสายตาหาแสงไฟหรือบ้านเรือนสักหลังบนเกาะเล็กๆแห่งนี้ หากไม่พบสิ่งใดนอกจากต้นไม้ที่ขึ้นจนร่มครึ้มหนาแน่น และแนวหินปูนเว้าแหว่งของเชิงผากับหินโสโครกเต็มไปหมด ไม่มีแสงจากที่ใดปรากฏแม้แต่ดวงจันทร์บนฟ้าก็ยังกลืนหายไปกับความมืดทมิฬรอบด้าน
เสียงลมพายุพัดซัดซ่าปะทะพร้อมเม็ดฝนเริ่มหนาตาขึ้นทุกขณะ ทำให้ไม่มีใครสังเกตถึงความผิดปกตินอกจากการหลบหนีลมพายุที่รัวกระหน่ำเข้ามารอบด้านในขณะนี้ หัวหน้าเรือประมงพยักหน้าให้ลูกน้องตามลงมา ไม่ไกลนักเขามองเห็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่พอสำหรับให้ทุกคนเข้าไปหลบอยู่ภายในนั้นได้อย่างปลอดภัย
แม้ลูกเรือบางคนจะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไร แต่สถานการณ์เลวร้ายของธรรมชาติในขณะนั้นก็ไม่อาจจะทำให้ฝืนปฏิเสธได้ เด็กชายต้องช่วยขนสัมภาระบางส่วนที่จำเป็นนำลงจากเรือไปด้วย
แสงจากไฟฉายส่องสะท้อนประกายวูบวับของผลึกหินภายในถ้ำ อันเป็นส่วนผสมของหิน เขี้ยวหนุมาน ทำให้ภายในถ้ำสว่างเรืองรองขึ้นมาอย่างประหลาด
อาฉัตร ลื้อรีบพักผ่อนเอาแรงก่อน ถ้าพายุหยุดเมื่อไร จะได้รีบออกเดินทาง
เตี่ยบอกกับเขาและบรรดาลูกเรือเช่นนั้นทันทีที่ก่อไฟสำเร็จ จากนั้นทุกคนก็เอนกายลงนอนอีกด้านหนึ่งของถ้ำโดยมีบังรอน รับหน้าที่เฝ้ายาม เด็กชายค่อยๆล้มตัวลงยังอีกด้านหนึ่ง พยายามมองผ่านม่านสายฝนจากปากถ้ำออกไป แล้วความง่วงงุนเหมือนต้องมนตร์สะกดก็คืบคลานเข้ามาก่อนที่เจ้าตัวจะผล็อยหลับไปในมิช้า...
พวกมันมาแล้วววววววววววววววว
เสียงใคร???
ในความเงียบสนิทที่สดับเพียงเสียงลมหายใจแผ่ว เด็กชายสะดุ้งตื่นขึ้นเองโดยอัตโนมัติคล้ายมีสังหรณ์ประหลาด เสียงบางอย่างดังขึ้นคล้ายเสียงซุบซิบกันอย่างแผ่วเบาหลายเสียง ฉัตรหันมองไปรอบด้านด้วยความสงสัยมากกว่าจะเป็นความตื่นกลัว พ่อยังนอนหลับสนิท ผ้าขาวม้าพาดปิดใบหน้าเอาไว้มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ และเมื่อมองไปด้านปากถ้ำ ร่างของบังรอนก็เอนพิงกับผนังถ้ำด้านหนึ่งม่อยหลับไปแล้วเช่นกัน แสงไฟจากกองฟืนที่จุดเอาไว้ กำลังมอดลงจนเหลือเพียงถ่านแดงๆอยู่ไม่กี่ก้อน วูบนั้นเอง เมื่อเขาหันกลับไปเบื้องหลัง
แล้วจึงได้เห็น...
ประกายเรืองๆสีแดงก่ำประดุจก้อนทับทิมนับร้อยพันเม็ดส่องแสงวูบวับอยู่ยังด้านในหลืบถ้ำลึกเข้าไป สิ่งนั้นยั่วตายวนใจสร้างความฉงนฉงายใคร่รู้ให้บังเกิด จนเด็กชายมิอาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขารีบผุดลุกขึ้นแล้วก้าวเดินตามเข้าไปด้านในเวิ้งถ้ำอย่างระมัดระวัง
แสงสีแดงหายลับไปแล้วเมื่อเด็กชายฉายไฟฉายขึ้น แต่ภายในถ้ำด้านในกลับมีทางเดินคดเคี้ยวลึกเข้าไปเรื่อยๆเหมือนเป็นเส้นทางธรรมชาติใต้ผืนดินที่ท้าทายให้ก้าวเข้าไป เมื่อผ่านช่วงเวิ้งอุโมงค์อันประกอบด้วยแนวหินงอก หินย้อยละลานตา ยิ่งเมื่อฉายไฟสะท้อนออกไป เงาเลื่อมพรายเหล่านั้นก็ยิ่งวูบวับไปมาราวกับประดับประดาด้วยเกล็ดเพชรพลอย พาให้ความง่วงงุนแต่แรกมลายหายไปจนหมดสิ้น รู้สึกเหมือนกับเดินอยู่ในอุทยานสวนสวรรค์ที่ไม่เคยพานพบมาก่อน
และสิ่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ผนังด้านหนึ่งของถ้ำ
กล่องอะไร?
มองเห็นเพียงวัตถุขนาดไม่เกินคืบมือสะท้อนแสงไฟฉายเรืองรองผิดปกติจากประกายเงาเงินรอบด้าน เด็กชายก้าวตรงเข้าไประหว่างซอกแง่งหินที่เว้าเข้าไปแล้วล้วงสิ่งนั้นออกมาพิจารณาด้วยความพิศวง
เป็นกล่องเนื้อโลหะประหลาดตา ลวดลายสลักเสลาอย่างงดงามและที่สำคัญมันผนึกเอาไว้อย่างแนบแน่นราวกับเจ้าของมิต้องการให้ผู้ใดเปิดมันออกจากกัน เด็กชายวางไฟฉายลงข้างตัว แล้วพยายามแกะงัดเท่าที่จะมีกำลังแต่ความแข็งแกร่งของเนื้อโลหะก็ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จดังใจปรารถนา
และจังหวะนั้นเอง แสงอ่อนจางของไฟฉายก็ดับวูบลงในฉับพลัน!! มาาาาาาาาาาาห์ห์ห์
คราวนี้เสียงเพรียกโหยหวนทวีเสียงเซ็งแซ่ประสานกันขึ้นเพียงแผ่วเบา ก่อนจะทวีความกังวานมากยิ่งขึ้นจนระงมไปทั่วทั้งบริเวณ บัดนี้หลืบถ้ำด้านในก็พราวพร่างไปด้วยประกายแดงก่ำแต้มประไปตามพื้นผนังถ้ำและรายรอบ จนดูเหมือนว่าเด็กชายกำลังก้าวเข้ามายืนอยู่ท่ามกลางดวงดารานับร้อยพันที่ต่างกันส่องแสงระยิบระยับแข่งขันกันจนงดงามเหลือพรรณนา
และเพียงชั่วพริบตาเมื่อแสงดารกาเหล่านั้นดับวูบลงพร้อมกันจนเหลือแต่เพียงความมืดมิดรายล้อมไม่ต่างกับอยู่ในขุมนรก!!
เด็กชายสัมผัสถึงกระแสลมยะเยือกพัดเป่าผ่านเข้ามาตามช่องทางเมื่อครู่แล้วหยุดชะงักงัน ตามมาด้วยกลิ่นบางอย่างฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณ มันเป็นกลิ่นเหม็นสาบสางกรุ่นระอุอย่างน่าสยดสยอง เสียงหอบหายใจหนักหน่วง เสียงฟืดฟาด และเสียงครวญครางด้วยความกระหายสุดระงับ!!
หิวววววววววววว
รับรู้ถึงมือแข็งเกร็งหยาบกระด้างและเล็บคมกริบนับร้อยพันพุ่งเข้ามาเพื่อแก่งแย่ง ฉุดกระชากร่างกายราวกับเป็นเหยื่อที่กำลังถูกรุมล้อมจากสัตว์ที่โหยหิว เด็กชายเกือบจะกรีดร้องออกมาแล้ว หากแสงสว่างวาบคล้ายขีดอสนีบาตก็ปรากฏขึ้นเพียงวูบเดียว
วูบนั้นเอง เด็กชายฉัตรสาบานว่าจะไม่ลืมภาพนั้นไปจนตลอดชีวิต!!
ไม่ต่างกับการตกไปอยู่ท่ามกลางกล่มสัตว์นรกที่กำลังโหยหิวหื่นกระหายนับร้อยพันตัว สิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ ด้วยมีร่างกายผ่ายผอมจนเห็นแต่ซี่โครงไหวเพยิบพะยาบยามร่างนั้นสูดลมหายใจเข้าออกและโครงกระดูกศีรษะบิดเบี้ยวผิดรูปราวกับถูกปั้นขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำมืออสุรกาย มีเพียงดวงตาปูดโปนจนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้าและแดงก่ำที่เปล่งประกายเจิดจ้านั้นเอง อันเป็นต้นกำเนิดแสงราวทับทิมแต่แรกเห็นนั้น
ไม่... โอไม่!!
มิใช่เสียงเปล่งอุทานของเด็กชาย หากแต่เปล่งประสานขึ้นพร้อมกันด้วยความรู้สึกแห่งความหวั่นเกรงของบรรดาอสูรจากขุมนรกเหล่านั้น
ปะตาปา!!
เสียงกรีดร้องเซ็งแซ่ของพวกมันต่างประสานสำเนียงจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ หากเขาก็หมดสิ้นความยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป สติสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่สั่งให้ออกวิ่งให้ไกลที่สุด เด็กชายพุ่งร่างแหวกผ่านฝูงอสุรกายเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาแม้แต่จะติดใจสงสัยใดๆ เมื่อร่างวิปริตของกลุ่มพวกมันแตกฮือแล้วแหวกเป็นช่องออกจากกันโดยดุษณี ปล่อยให้เด็กชายตัวน้อยสามารถวิ่งทะลุผ่านอุโมงค์ที่เข้ามาแต่แรกออกไปสู่เวิ้งถ้ำด้านนอกได้สำเร็จ
นานเหมือนชั่วกัปกัลป์จนลมหายใจแทบขาดห้วงเมื่อเขามาถึงลานเวิ้งถ้ำด้านหน้า มองเห็นดวงจันทร์จากปล่องปากถ้ำด้านนอกกำลังทอแสงอร่ามเหลืองเจิดจ้าบนขอบฟ้าปราศจากเมฆบดบัง หากเมื่อเบนสายตาลงมายังเบื้องล่างนั้นต่างหากที่ทำให้เด็กชายตัวน้อยถึงกับยืนตกตะลึงอยู่กับที่ ร่างกายสั่นสะท้าน รู้สึกถึงความเย็นเฉียบแผ่ซ่านตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
เตี่ย!!
แสงสุกสกาวของดวงจันทร์ส่องทาบลงมาบนร่างลูกเรือและผู้เป็นบิดาที่นอนเรียงรายกันอยู่เบื้องหน้าไม่ต่างกับทะเลมนุษย์ นวลแสงทอจับให้เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดก่อนชีวิตจะหลุดลอยออกจากร่างของทุกคน! เหนืออื่นใดคือร่างเหล่านั้นมีสภาพร่างกายขาดวิ่น เต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลและโลหิตไหลเกรอะกรังเหมือนกับถูกรุมกัดกินจากฝูงสัตว์อันหิวโหยและตะกรุมตะกรามจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ดวงตาข้างหนึ่งของพ่อเบิกโพลงจ้องมองมายังผู้เป็นลูกชายอย่างไร้วี่แวว ในขณะที่อีกข้างหนึ่งหวำลึกลงไปจากการถูกควักให้หลุดออกมานอกเบ้า!
เด็กชายฉัตรมองย้อนกลับไป เห็นแต่เพียงสีแดงก่ำเจิดจ้าของนัยน์ตาอสุรกายเหล่านั้น เรืองรองอยู่ภายในถ้ำนรกที่ตนเองเพิ่งวิ่งออกมา ประกายก่ำโกเมนยังนิ่งรออยู่ด้านในโดยไม่มีการขยับเขยื้อนองคาพยพใดๆทั้งที่พวกมันสามารถเข้ามากลุ้มรุมทำร้ายเด็กตัวเล็กๆที่เหลือรอดูเพียงคนเดียวได้โดยไม่ต้องคณามือเลยด้วยซ้ำ
เขาพยายามกระถดร่างถอยออกไปช้าๆ รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์จะอยู่ภายในนี้อีกต่อไป ทุกคนในที่นี้ล้วนตายกันหมดสิ้นแล้ว และเขาก็จะต้องเอาชีวิตรอดกลับออกไปให้ได้!
ดูเหมือนพวกมันจะรีรออยู่ด้านใน เขาสัมผัสถึงความหวั่นเกรงพะวักพะวนของพวกมันที่กลมกลืนไปกับความหื่นกระหาย โอกาสที่เหลือเพียงครั้งสุดท้าย เด็กชายรีบคว้ากล่องโลหะที่ได้มาโดยบังเอิญเอาไว้แนบอกแล้วออกวิ่งตรงไปยังปล่องปากถ้ำด้านหน้า โดยไม่หันกลับออกไปอีก แม้แต่จะมองใบหน้าของเตี่ยที่เหลือแต่เพียงส่วนศีรษะห้อยตกบนพื้น!!
ไม่รู้ว่าวิ่งตรงขึ้นไปถึงจุดจอดเรือหาปลาลำนั้นได้อย่างไร มันลอยลำกระเพื่อมไหวอยู่แล้วที่ชายหาด เหมือนรอคอยเจ้าของเรือคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยความหวังอันริบหรี่
เขาออกแรงกระโจนพรวดเดียวขึ้นไปถึงกราบเรือแล้ววิ่งตรงดิ่งเข้าไปยังห้องเครื่อง ด้วยประสบการณ์ที่คุ้นเคยพบเห็นมาตั้งแต่วัยเยาว์ เด็กชายใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วรีบบังคับให้เรือเคลื่อนตัวออกจากแนวชายฝั่งด้วยหัวใจเต้นระทึก อุปาทานเหมือนกับปีศาจนรกเหล่านั้นกำลังวิ่งกรูกันไล่ตามมาโดยไม่ขาดสาย
หักความหวาดกลัวที่พุ่งทะยานจนแทบเข่าอ่อนหมดเรี่ยวแรงให้ปลาสนาการไปก่อนจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆเหลืออยู่อีกสำหรับการหนีเอาชีวิตรอด เด็กชายพยายามหมุนพังงาอันแข็งค้างจนเจ็บร้าวไปทั้งมือ อย่างช้าๆเมื่อมันเริ่มเคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อยๆเหมือนไม่เต็มใจเพื่อออกสู่ท้องทะเลในทิศทางที่เข้าหาฝั่งแผ่นดิน
วูบหนึ่งของสังหรณ์ประหลาด เมื่ออดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองด้านหลัง ทั้งที่ประสาทสัมผัสพยายามเหนี่ยวรั้งหักห้ามเอาไว้เต็มที่
ก่อนที่จะเบิกนัยน์ตากว้างเหมือนกับภาพที่มองเห็นเป็นเพียงนิมิตฝันหรือภาพลวงตา
ในแสงจันทราสุกสกาวเบื้องบน ส่องรัศมีสว่างเจิดจ้าจนเห็นทัศนียภาพของท้องทะเลราบเรียบไร้คลื่นลมราวกับไม่เคยมีมรสุมมาแผ้วพาน และมีเพียงระลอกคลื่นน้อยๆทอดยาวไกลไปจนจรดเส้นขอบฟ้าที่ลาดต่ำลงมาแตะกันกับผืนนทีจนหลอมรวมเป็นเนื้อเดียว ปราศจากเกาะแก่งใดๆปรากฏขึ้นแม้แต่น้อย
ไม่มีสักอย่างเดียว!!
เมื่อนั้นเอง เด็กชายส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวที่อัดอั้นจนพลุ่งขึ้นมาเกินระงับ ก่อนสติจะโบยบินหลุดออกไปจากร่าง...
*********************
มีคนมาพบร่างของเขานอนสลบไสลบนเรือที่ลอยมาเกยฝั่งในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น เด็กชายฉัตรไม่ได้สติใดๆ เมื่อฟื้นตื่นขึ้นมาก็เอาแต่นอนซมด้วยพิษไข้สูง เอาแต่พร่ำเพ้อถึงแต่ชื่อประหลาดที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมายตลอดระยะเวลาเกือบเดือน ในขณะที่ผู้เป็นบิดาและลูกเรือหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่มีผู้ใดทราบความจริง หลายคนคิดว่าทุกคนคงจะเสียชีวิตจากพายุใหญ่ในเหตุการณ์ก่อนหน้า เด็กชายคนเดียวที่รอดชีวิตมาอย่างปาฏิหาริย์ก็คงจะหวาดกลัวต่อสภาพเลวร้ายของธรรมชาติเสียจนสติฟั่นเฟือนไปอย่างน่าเวทนา
ฉัตรไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครอีกเลย เด็กชายย้อนกลับไปที่ลำเรือซึ่งบัดนี้ถูกนำมาเตรียมขึ้นคานไว้ ก่อนจะแอบเข้าไปยังห้องเครื่องด้านในโดยไม่มีผู้ใดสงสัย ภายในมีช่องขนาดเล็กสำหรับเก็บซ่อนข้าวของมีค่าที่เขารับรู้กับบิดาเพียงสองคน เด็กน้อยล้วงเข้าไปด้านในแล้วบรรจงหยิบของสำคัญอันเป็นพยานหลักฐานชิ้นเดียวที่บ่งว่าเขาไปถึง ที่นั่น มาจริงๆ
กล่องโลหะสีเงินอมดำดูเหมือนจะมีสภาพหมองคล้ำเก่าคร่ำแตกต่างจากภาพที่มองเห็นในราตรีนั้นราวกับเป็นคนละชิ้น
และคราวนี้เมื่อเขากดรอยสลักที่ขอบกล่อง มันก็ดีดตัวหลุดออกจากกันอย่างง่ายดาย เหมือนกับรอคอยให้เขาเปิดมันออกดังปรารถนา
ด้วยมืออันสั่นเทาเขาหยิบสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมาพิจารณาด้วยความพิศวง...
มันคือศัสตราวุธโบราณชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า กริชชวา รูปทรงโบราณประหลาดตา หากที่สำคัญที่สุดคือลวดลายบนเนื้อกริชและด้ามกริชอันสลักเสลาอย่างวิจิตรพิสดาร ถึงกับทำให้เกิดความพิศวงจนกลายเป็นความลุ่มหลงขึ้นมาเกินระงับ เขาค่อยๆเก็บเอาไว้แนบทรวงอกอย่างดีพร้อมกับเก็บกล่องโลหะนั้นติดมาด้วย ตั้งใจว่าจะพยายามแกะรอยจารึกบนด้ามกริชซึ่งสลักเสลาด้วยภาษารูปทรงประหลาดเกินกว่าความเข้าใจในเวลานั้น...
************************
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
24 มี.ค. 54 16:47:46
|
|
|
|