Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เซ็นซู ภาค จอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 1 ปิศาจนิรนาม ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1

ปิศาจนิรนาม

บนยอดเขาสูงเสียดฟ้าซึ่งมีหิมะขาวสะอาดตาปกคลุม อากาศหนาวจัดเสียจนแทบไม่มีสัตว์ใดดำรงชีวิตอยู่ได้ แม้ฝูงนกซึ่งอพยพในฤดูย้ายถิ่นก็ยังทำแค่บินผ่านเทือกเขานี้ไป ไม่มีตัวใดร่อนลงหยุดพักเพราะพวกมันรู้ดีว่าจะไม่มีวันกางปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้อีกต่อไป

ในจำนวนสัตว์เพียงน้อยนิดมีเพียงชนิดเดียวที่กล้าท่องเดินฝ่าหิมะหนาเพื่อหากิน ในยามที่มีพายุโหมกระหน่ำ พวกมันจะยืนจับกลุ่มกันเพื่อถ่ายเทไออุ่นและปกป้องลูกน้อยมิให้แข็งตาย มีชื่อเรียกขานสัตว์ชนิดนี้มากมายหลายหลากแต่ดูเหมือนพวกมันเองจะชื่นชอบนาม จามรี  

โดยเฉพาะจามรีพิเศษกลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่บนยอดสูงสุดของหิมาลัย

แม้สามารถดำรงชีพบนเทือกเขาที่อุดมไปด้วยหิมะได้แต่ไม่มีจามรีตัวใดบุกขึ้นไปยอดถึงยอดสูง นอกจากเพียงฝูงเดียวเท่านั้น พวกมันได้รับการร่ำลือว่าดำรงชีพมาเนิ่นนาน นานเสียจนบางตัวมีพลังแก่กล้าจนถึงขั้นสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ และจามรีที่มีพลังเช่นนั้นจะถูกเลือกให้เป็นจ่าฝูงทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองตัวอื่นให้รอดพ้นจากภัย จามรีทั้งหลายจะเรียกจ่าฝูงนั้นว่า โคคุ

โคคุนำฝูงจามรีในการปกครองออกเดินทางไปทั่ว ยามอากาศอบอุ่นมันจำพาฝูงลงไปเล็มหญ้าอ่อนยังเชิงเขา และด้วยญาณพิเศษจากการบำเพ็ญตน โคคุจึงสามารถล่วงรู้การมาของมนุษย์ มันจะรีบพาฝูงกลับขึ้นไปบนยอดเขาและซ่อนตัวในที่ที่ผู้รุกรานไม่อาจไปถึงได้ทันที โคคุดูแลเหล่าจามรีอย่างนี้เรื่อยมาจนเวลาผ่านไปหลายร้อยปีจึงกำเนิดจามรีขึ้นอีกสองตัว ทั้งคู่เติบโตอย่างรวดเร็วและหมั่นฝึกฝนตัวเองจนมีพลังแกร่งกล้า นอกจากจะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้แล้วทั้งสองยังมีพลังในการต่อสู้กับภูตผีปิศาจที่ชอบดักจับจามรีไปเป็นอาหารอยู่เสมอ โคคุจึงแต่งตั้งให้ทั้งคู่เป็นผู้ช่วยในการดูแลฝูงและตั้งฉายาตามสีขนของทั้งสองว่า จามรีขาวและจามรีดำ

จามรีขาวมีรูปลักษณะที่งดงาม เขาทั้งคู่โค้งงอสวยได้รูปดวงตาสีน้ำตาลเหมือนผลเกาลัด สิ่งที่ทำให้นางที่แปลกไปจากจามรีทั่วไปก็คือขนซึ่งมีสีขาวสะอาดราวกับหิมะต่างจากจามรีดำซึ่งนอกจากจะมีขนสีดำสนิทราวกับความมืดแล้วเขาทั้งคู่ยังแข็งแกร่งราวเหล็กกล้าอีกทั้งยังมีรูปร่างสมบูรณ์กำยำล่ำสันประกอบกับนิสัยที่ดุดันทำให้เขาได้รับหน้าที่เป็นนักรบประจำฝูง ทั้งหมดต่างดำรงชีวิตอย่างมีความสุขแม้จะถูกรบกวนจากปิศาจร้ายอยู่บ้างแต่ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของจามรีดำทำให้พวกมันไม่อาจทำอันตรายจามรีฝูงนี้ได้เลย

อรุณรุ่งของเช้าวันหนึ่งโคคุยืนมองหิมะที่ปกคลุมทั่วหุบขาวจนแลเห็นเป็นสีขาวสะอาดตาด้วยความรู้สึกสดชื่นก่อนจะไล่สายตามองฝูงจามรีที่กำลังยืนอาบแสงอาทิตย์อันอบอุ่นอย่างมีความสุขโดยมีจามรีดำยืนกอดอกเฝ้าดูข้างๆ หลังจากกวาดตามองอยู่ครู่หนึ่งโคคุจึงขมวดคิ้วพร้อมกับหันไปถาม

“จามรีขาวหายไปไหน”

“นางออกไปตรวจรอบนอก” จามรีดำตอบ โคคุนิ่วหน้าพร้อมกับบ่น

“เวทมนตร์ข้าคุ้มครองแค่ในหุบเขานี่เท่านั้น นางไม่ควรออกไปนอกบริเวณ”

“ข้าไม่คิดว่านางจะออกไปไหนไกล” จามรีดำกล่าวและหยุดนิ่งไปเล็กน้อยคล้ายนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ “นอกจากจะไปหาเจ้านั่น”

“เจ้านั่น” โคคุทวนคำพร้อมกับหันไปมองหน้า “เจ้าหมายถึงจอมอสูรไพราน่ะหรือ”

จามรีดำผงกศีรษะ โคคุหันหน้าไปมองหุบเขาหิมะที่ทอดยาวไปไกลก่อนจะถอนใจออกมา

“ข้าเคยห้ามจามรีขาวแล้วว่าอย่าไปข้องเกี่ยวกับพวกปิศาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับท่าน
ไพรา แต่ดูเหมือนนางจะไม่ยอมฟัง”

“นางคงลืมไปแล้วว่าเจ้านั่นเคยทำอะไรไว้กับพวกเรา” จามรีดำพูดด้วยน้ำเสียงคำรามพลางเลื่อนมือไปแตะรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนอก โคคุหันกลับมามองอย่างเห็นใจ

“เรื่องในครั้งนั้นเกิดจากความเข้าใจผิด และไพราก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพวกเราอีกเลย เจ้าควรละความอาฆาตได้แล้ว จามรีดำ”

“ไม่มีวัน” อีกฝ่ายพูดสวนขึ้นทันควันและมองจ่าฝูงด้วยดวงตากร้าว “ข้าจะไม่มีวันให้อภัยอสูรร้ายนั่นอย่างเด็ดขาด ท่านลืมไปแล้วหรือว่าไพราเคยเข่นฆ่าพวกพ้องของเรา ซ้ำยังหยามเกียรตินักรบอย่างข้าด้วยรอยแผลนี่”

“บาดแผลนั่นเกิดจากการต่อสู้และไพราก็ยอมละชีวิตเจ้าเพื่อเป็นการให้เกียรติ”

“ยอมละชีวิตเพื่อเป็นการให้เกียรติ” จามรีดำทวนคำพร้อมกับแค่นเสียงหัวเราะ “คำพูดของท่านฟังแล้วเหมือนเป็นการเอาใจเจ้าอสูรชั่ว”

“ข้าแค่พูดไปตามความจริง” โคคุตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “และจะขอย้ำอีกครั้งว่าให้เจ้าเลิกพยาบาทท่านไพรา”

“ข้าก็ขอยืนยันคำพูดเดิมว่าจะต้องหาทางแก้แค้นเจ้าอสูรชั่วนั่นให้ได้”

“เจ้าคงไม่มีโอกาส ลืมไปแล้วหรือว่าเขาเป็นใคร”

“ก็แค่ปิศาจ”

จามรีดำพูดเสียงเหยียด คิ้วของโคคุขมวดเข้าหากันทันที เขาจ้องอีกฝ่ายพร้อมกับพูดเสียงเข้ม

“ไพราเป็นจอมอสูร เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วเขาก็สามารถสังหารเจ้าได้อย่างสบาย จงเลิกความคิดที่จะเอาชนะเขาและหันกลับมาดูแลฝูงตามเดิมดีกว่าจามรีดำ”

จามรีหนุ่มขบกรามและกำมือแน่น เขากระแทกลมหายใจออกมาอย่างแรงก่อนจะเบือนหน้าหนีไปด้านอื่น โคคุมองร่างที่ยืนนิ่งด้วยความแค้นอย่างนึกหนักใจ สัมผัสถึงกลิ่นคาวเลือดที่ลอยมากับกระแสลมและลางหังหรณ์บางอย่างที่ปะทุขึ้นในใจทำให้จ่าฝูงชราบังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา ชั่วขณะหนึ่งที่โคคุมองเห็นหิมะขาวโพลนตรงหน้าถูกย้อมด้วยโลหิตจนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน จามรีเฒ่าถึงกับผงะถอยหลังไปสองสามก้าวและพึมพำออกมาเบาๆ

“หรือว่าหายนะกำลังมาเยือนเผ่าจามรี”

*/*/*/*/*/*

กระแสลมที่พัดผ่านยอดเขาสูงนำพาความหนาวเย็นไปสู่ทุกหนแห่งไม่เว้นแม้ซอกหลืบของแนวเขา ทั่วทุกที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาซึ่งไม่มีวันละลายแม้จะเป็นวันที่มีอากาศอบอุ่นที่สุดก็ตาม ด้วยสภาพเช่นนั้นทำให้ตลอดทั้งแนวเขามีแต่สีขาวโพลน มีเพียงอสูรและปิศาจเท่านั้นที่ใช้เป็นที่อาศัย พวกมันดำรงอยู่ได้ด้วยการกินเครื่องเซ่นสรวงบูชาที่นานครั้งจะมีมนุษย์นำขึ้นมาให้ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีสิทธิ์จะได้รับของเหล่านั้นคือปิศาจหรืออสูรที่มีอำนาจแข็งแกร่ง ส่วนพวกที่อ่อนแอกว่าก็จะล่าสัตว์ที่หลงมาหรือสังหารอสูรตัวที่มีพลังน้อยกว่ามาเป็นอาหาร และด้วยจำนวนของอสูรและปิศาจที่มีอยู่ค่อนข้างมากจึงมีการแบ่งแยกอาณาเขตปกครองกัน กลุ่มใดอ่อนแอหรือพลาดพลั้งก็จะถูกกลุ่มที่แกร่งกว่าบุกทำลายจนสูญสิ้นไป สงครามของเหล่าปิศาจบนเทือกเขาหิมาลัยดำเนินเช่นนี้มาโดยตลอด พวกมันมักมีการเปลี่ยนพวกย้ายฝ่ายเข้าร่วมกับกลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าตลอดเวลา  

ท่ามกลางความเย็นเยือกของขุนเขาปิศาจตัวหนึ่งยืนจ้องอสูรห้าถึงหกตัวซึ่งกำลังรุมฉีกเนื้อลูกกวางผาซึ่งเดินแตกฝูงหลงเข้ามาด้วยดวงตาวาววับก่อนจะหันหน้ากลับไปยังซอกเขาซึ่งมีปิศาจที่สวมเครื่องแต่งกายงดงามราวกับเทพกำลังจ้องลงมาราวกับรอคอย มันรีบยกมือขึ้นบอกจำนวนของอสูรที่อยู่ด้านล่าง เมื่ออีกฝ่ายผงกศีรษะรับเป็นเชิงออกคำสั่งเจ้าปิศาจตนนั้นจึงยกมือขึ้นเรียกฝูงบริวารซึ่งหลบอยู่ทางด้านหลังออกมา พวกมันเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเงียบกริบและหลบอยู่ตามซอกหินที่มีอยู่รอบบริเวณ เมื่อได้รับสัญญาณจากหัวหน้าปิศาจอีกครั้งทั้งหมดจึงออกจากที่ซ่อนวิ่งกรูลงไปหากลุ่มอสูรที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการกินเนื้อกวางผาด้านล่างอย่างรวดเร็ว อสูรทั้งหกรีบหันกลับไปสู้แต่เพราะการจู่โจมอย่างไม่รู้ตัวทำให้พวกมันไม่อาจตั้งรับได้ทัน ทั้งหมดจึงถูกสังหารและโดนพวกที่แข็งแกร่งกว่าฉีกกินทั้งเป็น หัวหน้าปิศาจยืนมองบริวาที่กำลังรุมทึ้งอสูรด้วยดวงตาเย็นชา ริมฝีปากบางแสยะยิ้มอย่างสะใจเมื่อเห็นเลือดเนื้อสดๆที่ถูกฉีกกระชากอย่างแรงจนกระจัดกระจายไปทั่วหุบเขา มันหันหน้าไปยังแนวเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปและจ้องนิ่งเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหยียดยิ้มราวกับพบสิ่งถูกใจ เจ้าหัวหน้าปิศาจยกมือขึ้นโบกสะบัดเรียกกระแสลมให้บังเกิดขึ้น มันหมุนวนรอบตัวของเขาจนชุดที่สวมอยู่สะบัดพลิ้วไปมาก่อนจะพัดผ่านฝูงปิศาจออกไปจนถึงยอดเขาที่หมายตาไว้นำพาเสียงกรีดร้องและกลิ่นคาวเลือดไปจนถึงเนินหิมะแห่งหนึ่งราวเจาะจง

กระแสลมรุนแรงพัดผ่านพื้นหิมะขาวโพลนไปจนถึงยอดเขา มันกระทบเข้ากับร่างของอสูรตนหนึ่งซึ่งกำลังยืนชมทิวทัศน์อย่างเพลิดเพลินอยู่บนเนินหิมะ เขานิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อร่างกำยำถูกสายลมเย็นเยือกพัดผ่านอย่างรุนแรงจนเรือนผมสีดำยาวสยายปลิวสะบัดไปทางด้านหลัง ดูเหมือนความหนาวเหน็บของลมจะไม่ได้สร้างความรู้สึกใดให้กับอสูรผู้นี้แม้แต่น้อยเพราะนอกจากขนสัตว์ที่ปกปิดกายท่อนล่างแล้วร่างกายช่วงบนของเขากลับเปลือยเปล่าปราศจากอาภรณ์ใดปกคลุม มีเพียงมาล่า ประคำสีดำสนิทเส้นเดียวที่สวมไว้กำลังแกว่งไหวไปมาบนแผ่นอกที่เต็มแน่นไปด้วยมัดกล้ามแกร่งเท่านั้น ปิศาจหนุ่มหันหน้ามองไปยังทิศทางอันดูเหมือนจะเป็นที่มาของคาวโลหิตและยืนนิ่งราวรูปปั้นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีเสียงหนึ่งเอ่ยถาม

“มีอะไรหรือไพรา”

“ดูเหมือนจะมีสงครามระหว่างอสูรกับปิศาจอยู่ที่เทือกเขาด้านนั้น” ไพราตอบพลางเลื่อนสายตาหันกลับมามองหญิงสาวในเครื่องแต่งกายขนสัตว์สีขาวที่กำลังมีสีหน้ากังวลพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ “อย่าไปสนใจเลยป่านนี้พวกมันคงมัวแต่ฆ่าและกินกันเองจนหมดไปแล้ว”

“สงครามระหว่างพวกเจ้ามีแทบทุกวันจะไม่ให้ข้าสนใจได้ยังไงเพราะไม่รู้ว่าวันไหนอสูรพวกนั้นจะบุกเข้าไปทำร้ายฝูงของข้า” หญิงสาวตอบ อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวเสียงเข้ม

“อย่าเอาข้าไปรวมกับอสูรพวกนั้น”

“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นอยู่แล้ว” จามรีขาวรีบพูดพลางส่งยิ้มให้กับไพรา “เจ้าเป็นอสูรเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่คิดร้ายกับพวกเรา”

“นั่นเป็นเพราะเจ้าต่างหาก” ไพรากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะหันหน้ากลับไปมองยังทิศทางอันเป็นต้นกำเนิดของกลิ่นคาวเลือดอีกครั้งจึงไม่ทันได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่มีสีแดงระเรื่อขึ้นมา

“เพราะข้าอย่างนั้นหรือ” จามรีขาวพึมพำพลางขยับเข้าไปใกล้ปิศาจหนุ่มอีกเล็กน้อย อีกฝ่ายผงกศีรษะ

“เพราะมีเจ้าเป็นเพื่อนทำให้ข้ารู้สึกไม่ชอบเนื้อสัตว์ขึ้นมา ยังดีที่ไม่ถึงขนาดต้องไปขุดหาผักหญ้ากินเหมือนพวกจามรี”

คำตอบของไพราทำให้สีหน้าของหญิงสาวสลดลง นางมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าของจอมปิศาจหนุ่มด้วยสายตาที่ฉายความผิดหวังก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกด้านพร้อมกับกล่าวเบาๆ

“แค่เพื่อนเท่านั้นเองหรือ”

ดวงตาคมดุดันของไพราเหลือบมองจามรีขาวก่อนตวัดกลับไปจ้องยอดเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาอีกครั้ง แม้จะรู้มาโดยตลอดว่าหญิงสาวมีความรู้สึกเช่นใดกับตนแต่เพราะการที่เขาดำรงชีวิตอยู่เพียงคนเดียวตามลำพังมานานนับพันปี ประกอบกับการต้องดิ้นรนต่อสู้กับปิศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่คิดจะกำจัดเขาเกือบตลอดเวลาทำให้จอมอสูรหนุ่มไม่เคยคิดจะผูกสัมพันธ์กับผู้ใด ไพราถอนใจก่อนจะกล่าวเสียงหนัก

“หรือเจ้าไม่คิดว่าข้าคือเพื่อน”

“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้น เจ้าเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวและเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับข้า” จามรีขาวตอบเสียงรัวเร็ว ใบหน้าซีดสลดเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มเมื่อเห็นไพราหันหน้ากลับมามองด้วยดวงตาที่ฉายแววขบขัน หญิงสาวเม้มปากเล็กน้อย

“เจ้าขำอะไร”

“ท่าทางของเจ้า มันช่างเหมือนกับวันแรกที่พบกับข้า” ปิศาจหนุ่มตอบพลางยื่นมือไปขยี้ผมสีขาวสะอาดของนางด้วยความเอ็นดู “บำเพ็ญเพียรมานานแค่ไหนก็ยังมีนิสัยเหมือนเด็กเสมอ”

“ข้าไม่ใช่เด็ก” จามรีขาวพูดพลางปัดมือของไพราออกจากศีรษะพร้อมกับบ่น “ชอบทำแบบนี้อยู่เรื่อย ดูสิผมข้ายุ่งหมดเลย”

จอมอสูรยืนกอดอกมองหญิงสาวที่กำลังใช้ปลายนิ้วสางเส้นผมตัวเองด้วยสายตาที่ฉายแววความเอ็นดู แต่แล้วจู่ๆอากาศรอบตัวที่เคยโปร่งสบายกลับหนักอึ้ง สายลมที่เคยพัดผ่านยอดเขากลับนิ่งสนิทอย่างฉับพลัน ไพราลดแขนทั้งสองข้างลงและกวาดตามองไปโดยรอบทันที จามรีขาวมองกิริยาของเขาด้วยความแปลกใจ

“เป็นอะไร”

“เงียบ” จอมอสูรกล่าวเสียงดุก่อนจะเลื่อนสายตามองไปยังเนินหิมะไม่ไกลจากบริเวณที่เขายืนเท่าใดนักเมื่อเห็นว่าจามรีขาวยืนในตำแหน่งที่ถูกโจมตีได้ง่ายไพราจึงรีบขยับตัวบังนางเอาไว้ก่อนจะหันกลับไปจ้องเนินหิมะอีกครั้งและเอ่ยถามเสียงต่ำ

“มีธุระอะไรกับข้า”

จามรีขาวมองตามสายตาของจอมอสูรหนุ่มและขมวดคิ้วด้วยความพิศวงเมื่อเห็นว่าบริเวณนั้นว่างเปล่าปราศจากผู้ใด นางขยับเตรียมจะถามแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของใครบางคนดังขึ้น หญิงสาวรีบเลื่อนสายตากลับไปมองที่เนินอีกครั้งและเบิกตากว้างเมื่อเห็นกระแสลมกำลังหมุนวนอย่างรุนแรง ในใจกลางของสายลมนั้นปรากฏร่างของชายคนหนึ่งขึ้น และเมื่อเขาสะบัดแขนทั้งสองข้างออกลมหมุนก็มลายหายไป บุรุษผู้นั้นจ้องไพราด้วยดวงตาสีฟ้าเข้ม รอยยิ้มเย็นเยียบแต้มบนริมฝีปากบาง

“จิตสัมผัสว่องไวเป็นเลิศสมดังคำร่ำลือ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มแต่แฝงไว้ด้วยพลัง จอมอสูรจ้องร่างในเครื่องแต่งกายงดงามราวเทพบุตรอย่างไม่ไว้ใจ

“เจ้าเป็นใคร”

“ไม่คิดว่าจอมอสูรผู้ยิ่งใหญ่จะสนใจนามของผู้อื่น” อีกฝ่ายกลับกล่าวเป็นเชิงยอกย้อนก่อนจะเผยอยิ้ม “ข้าเป็นเพียงปิศาจชั้นปลายแถว ดังนั้นจึงไม่เป็นการสมควรที่จะเอ่ยชื่ออันต่ำต้อยให้ท่านได้รับรู้”

คำตอบของปิศาจที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้ไพราต้องหรี่ตาลงอย่างระแวงเพราะแม้จะบอกว่าตนเองเป็นปิศาจชั้นปลายแถวแต่แรงกดดันและไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลราวกับจะบดขยี้อสูรหรือปิศาจในระดับต่ำกว่าให้แหลกสลายไปในพริบตา จอมอสูรหนุ่มเหลือบมองจามรีขาวที่กำลังเริ่มหอบหายใจด้วยความเป็นห่วงก่อนจะตวัดกลับไปยังร่างในชุดงดงามอีกครั้งและกล่าวเสียงเรียบ

“ข้าไม่อยากรู้ชื่อของพวกชั้นต่ำอยู่แล้ว” เปลวสีน้ำเงินเข้มปะทุขึ้นในมือและลุกพรึ่บกลายเป็นดวงไฟลูกใหญ่ ไพราสะบัดมันเข้าใส่อีกฝ่ายทันที เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อกลุ่มเพลิงปะทะเข้ากับร่างของปิศาจสำอาง จามรีขาวมองเปลวไฟที่กำลังลุกท่วมร่างในชุดงดงามพลางกระซิบถามไพราด้วยความกังวล

“เจ้านั่นจะตายไหม”

“ไม่” ไพราตอบโดยที่ดวงตายังคงจ้องกลุ่มเพลิงตรงหน้าและขบกรามแน่นเมื่อเสียงหัวเราะเย็นเยือกดังมาจากร่างในกองเพลิง เพียงปิศาจตนนั้นวาดมือในอากาศแค่หนึ่งครั้งไฟที่กำลังลุกโหมอย่างรุนแรงก็ดับลง เขายิ้มอย่างเย้ยเยาะขณะจ้องไพรา

“ยังไม่ทันได้พูดคุยก็ลงมือเสียแล้ว ช่างหวาดระแวงไม่สมกับเป็นจอมอสูร”

“ข้าไม่สนใจจะคุยกับพวกปิศาจ” ไพราพูดเสียงกร้าว อีกฝ่ายเลื่อนสายตาไปยังจามรีขาวซึ่งยืนหลบอยู่ด้านหลัง

“แต่เจ้าคุยกับนาง”

“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” จอมอสูรถามเสียงห้วนและขมวดคิ้วเมื่อจมูกสัมผัสถึงกลิ่นคาวเลือดที่ระเหยออกมาจากร่างตรงหน้า มันเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่เขาได้รับมาจากกระแสลมก่อนหน้านั้นไม่ผิดเพี้ยน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันความคิดของไพรา

“ข้าเพิ่งเสร็จจากการกำจัดอสูรสองสามตัว ตอนที่รอให้ลูกน้องจัดการร่างของพวกมันเห็นเจ้ากำลังยืนมองด้วยความสนใจเลยแวะมาทักทาย”

“แค่ดูพวกชั้นต่ำที่กำลังกัดกินกันเองเท่านั้น” ไพราตอบเสียงห้วนและเหยียดยิ้มเมื่อเห็นดวงตาของอีกฝ่ายฉายแวววาววับ

“อย่าคิดว่าตัวเองสูงส่งนักไพรา เจ้าอาจจะมีพลังร้ายกาจแต่สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่ปิศาจตัวหนึ่งเท่านั้น”

คำพูดของร่างในอาภรณ์งดงามทำให้ไพราต้องกระตุกยิ้ม

“ที่แท้เจ้าก็ปรารถนาการเป็นจอมอสูร”

“สิ่งที่ข้าต้องการมันเหนือกว่านั้น” ปิศาจตนนั้นตอบพร้อมกับผายมือทั้งสองข้างและกล่าวด้วยดวงตาทอประกาย “ราชาแห่งปิศาจทั้งมวล”

“ข้าเคยได้ยินประโยคนั้นมาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครทำได้สำเร็จ” จอมอสูรกล่าวด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ

“เพราะเจ้าพวกนั้นมันโง่” เขามองไพรานิ่งก่อนจะเหยียดยิ้ม “อย่างที่บอกข้าเพียงแวะมาทักทายท่านเท่านั้น”

ใบหน้าสวยงามราวอิสตรีก้มลงเล็กน้อย

“ลาก่อน”

กระแสลมพัดหมุนวนรอบร่างที่กำลังยืนแสะยิ้มอย่างมีเลศนัยอีกครั้งหอบหิมะบนพื้นให้ลอยฟุ้งขึ้นบดบังปิศาจนิรนามจนมิด เมื่อสายลมอ่อนกำลังลงพายุหมุนจึงแตกสลายหายไปเหลือเพียงละอองสีขาวบริสุทธิ์ของหิมะที่ค่อยๆร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างเชื่องช้า ไพรามองตำแหน่งที่เคยมีร่างปิศาจผู้อาจหาญมาท้าทายเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับไปทางจามรีขาว

“เจ้าควรกลับได้แล้ว”

“แต่ข้า” หญิงสาวทำท่าจะแย้งแต่จอมอสูรกลับไม่สนใจ เขาเดินนำออกไปสองสามก้าวและหยุดชะงักเมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง ไพราจึงหันหน้ากลับมาหานางพร้อมกับกล่าวเสียงเรียบ

“ข้าจะไปส่งเจ้าเอง”

แม้จะไม่เต็มใจที่จะต้องกลับที่พักเท่าใดนักแต่เมื่อได้ยินว่าไพราอาสาจะไปส่งจามรีขาวจึงรีบก้าวไปหาเขาด้วยความยินดีเพราะทุกครั้งต่อให้มืดค่ำเพียงใดอสูรหนุ่มมักจะปล่อยให้นางเดินกลับเพียงลำพัง หญิงสาวรู้ดีว่าสาเหตุที่ไพราไม่เคยไปส่งนางเลยสักครั้งนั้นก็เพราะเขาต้องการหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากจากจามรีดำ จามรีหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่ถือว่าไพราเป็นศัตรูตลอดกาล จามรีขาวถอนใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้มเพราะแม้นางจะพยายามเกลี้ยกล่อมสักเพียงใดเขาก็ไม่เคยล้มเลิกความคิดเช่นนั้น ต่อให้ไพราละการสังหารและหันมาช่วยเหลือจามรีในฝูงของโคคุแล้วก็ตามแต่จามรีดำยังคงความชิงชังจอมอสูรไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อคิดมาถึงตอนนี้จามรีขาวจึงต้องถอนใจออกมาอีกครั้งก่อนจะมองแนวเขาทะมึนอันเป็นที่อาศัยของเหล่าจามรีที่ใกล้เข้ามา พลังเวทป้องกันที่โคคุสร้างขึ้นส่องสว่างเป็นสีเหลืองเรืองรองมองคล้ายโดมแก้วครอบเขาลูกหนึ่งเอาไว้
ไพราจึงหยุดและหันหน้ามาหานาง

“ข้าส่งเจ้าได้แค่นี้”

“ข้ารู้” จามรีขาวตอบด้วยสีหน้าเศร้าก่อนจะเดินต่อไปอีกสองสามก้าว หญิงสาวหันหน้ากลับมาถามด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก “พรุ่งนี้ข้าไปหาเจ้าอีกได้ไหม”

“เจ้าควรอยู่กับพวกพ้อง” จอมอสูรตอบเสียงเรียบและระบายลมหายใจออกมาหนักๆเมื่อเห็นสีหน้าของนาง “ตอนนี้ทั้งปิศาจและอสูรกำลังต่อสู้กัน การออกมานอกเขตป้องกันของโคคุอาจเป็นอันตราย”

จามรีขาวยืนนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะผงกศีรษะรับ

“ตกลง แล้วพบกันใหม่นะไพรา”

หญิงสาวกล่าวเบาๆก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ไพรายืนมองจนร่างในชุดสีขาวหายลับไปจากสายตาแล้วจึงก้าวออกจากที่นั่นตรงไปยังหุบเขาอันเป็นที่ซึ่งปิศาจนิรนามใช้เป็นที่สังหารเหล่าอสูร  เมื่อไปถึงจอมอสูรกลับพบแต่เพียงรอยเลือดที่สาดกระจายอยู่บนพื้นหิมะเท่านั้น ไม่มีเศษซากหรือชิ้นเนื้อของอสูรหรือปิศาจหลงเหลืออยู่แม้แต่ชิ้นเดียว ไพราเดินสำรวจไปจนทั่วกระทั่งถึงยอดเขาสูงห่างจากจุดสังหารพอควรเขาจึงหยุดและนิ่วหน้าเมื่อสัมผัสถึงพลังบางอย่างซึ่งแม้จะเจือจางลงไปมากแต่ก็พอจะรู้ได้ว่ามันเป็นพลังของปิศาจตนใด จอมอสูรกระโดดขึ้นไปบนยอดเขาและมองจุดที่มีพลังแผ่กระจายออกมา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความตระหนกเมื่อพบว่าหิมะในบริเวณนั้นหลอมละลายกลายเป็นแอ่งลึก

“เจ้านั่นเป็นใครกันแน่”

ไพราพึมพำขณะนั่งลงและวางมือลงบนน้ำซึ่งบัดนี้จับตัวกลายเป็นก้อนแข็งและนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจเพราะแม้อากาศรอบตัวจะหนาวเหน็บแต่พลังที่แผ่ออกมาจากแอ่งน้ำแข็งนั้นกลับเยือกเย็นยิ่งกว่า มันเป็นความเย็นที่สามารถกระชากดวงวิญญาณของผู้ที่สัมผัสให้หลุดออกจากร่างและกลายเป็นน้ำแข็งได้ในพริบตา จอมอสูรรีบดึงมือกลับทันที

“พลังนี่”

“มันเป็นพลังของปิศาจแห่งฤดูหนาว” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังดังมาจากด้านหลัง ไพราจึงลุกยืนขึ้นและกล่าว

“ท่านหมายถึงกุนบุ แต่ปิศาจตนนั้นไม่เคยปรากฏให้ผู้ใดเห็นมานานแล้ว” จอมอสูรหันหน้าไปมองบุรุษในเครื่องแต่งกายของเทพชั้นสูง “ด้วยเหตุนี้ท่านจึงลงมาที่นี่ใช่ไหมเซย์ริว”

*/*/*/*/*/*

นิยายเรื่องนี้กำลังเร่งเขียนอยู่ค่ะ อาจจะลงได้ช้าประมาณสองอาทิตย์ต่อหนึ่งบท ต้องขออภัยผู้อ่านล่วงหน้าค่ะ

แนะนำตัวละครแรก
จอมอสูรไพรา

แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 54 17:33:08

 
 

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 54 17:08:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com