Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
พิศวาส ณ ยามสาง - 6 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10352814/W10352814.html

บทที่ 6

พริ้มเพรามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจกับการต้องมานั่งทายาแก้ช้ำให้สาวแม่บ้าน หล่อนกลอกตากวาดขึ้นกวาดลง ก่อนจะเหลือบเหลียวไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง เจ้านายพ่อหม้ายไม่ได้สังเกตหรือเห็นพิรุธใดๆ นอกจากก้มหน้าจัดการกับอาหารเย็นไปเงียบๆ

แต่วัสอรหมั่นเหลือบแลอิริยาบถของสาวใช้หน้าหมองอยู่บ่อยๆ เธอตั้งใจจะเก็บความสงสัยไว้ออกไปถามกันนอกห้อง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายค่อยทวีความร้อนรนขึ้น จนเธออยากจะสรุปไปเลยว่า 'หล่อนหวาดกลัว'

"เป็นอะไรนักหนา" ในที่สุด วัสอรก็หมดความอดทน จึงกระซิบถามเหมือนรำคาญออกไป

"คะ"

"ฉันถามว่าพริ้มเพราน่ะ เป็นอะไรนักหนา ห้องนี้มันมีอะไรให้น่ามองหรือ กลอกจนตาจะเหลือกอยู่แล้ว"

สาวใช้อาภัพส่ายหน้า ไม่กล้าสารภาพตามตรง จริงอยู่ว่า ในห้องนี้ไม่มีอะไรให้น่ามอง แต่ 'ผี' ที่เร้นเงียบนี่สิ ใครจะไปทราบได้ว่า ขณะนี้ สิ่งเหนือธรรมชาติอาจเคลื่อนมากระแซะติดอยู่ข้างกายแล้วก็ได้

และนี่คือเหตุผลที่หล่อนพูดโต้งๆ ออกมาไม่ได้ แล้วที่กลอกตาวุ่นวายไม่หยุด ก็ไม่ใช่เพราะอยากเห็น แต่เพราะพรั่นพรึงว่าจะได้เห็นต่างหาก มันดีตรงไหนเล่า ที่คนคนหนึ่ง ต้องปะหน้ากับ 'ผี'

"พอแล้วล่ะ ร้อนไปหมดแล้ว ขอบใจมากเลยนะ เดี๋ยวฉันไปคุยด้วยในห้องนอนได้หรือเปล่า"

"ได้ค่ะ เอ้อ แต่ฉันคงจะยังอยู่ในครัวจนถึงสี่ทุ่มนะคะ"

"อ้อ ก็ดีเลย เดี๋ยวฉันตามลงไป ขอบใจอีกที ไปได้แล้วล่ะ"

พริ้มเพราพยักหน้า ใจจริงอยากเหลือบไปซึมซับกรอบหน้าเย็นชาของเจ้านายหนุ่ม หากแต่ความพรั่นพรึงในอกมันล้นกว่า จึงจำใจสะกดแสงตาภักดีให้ส่องลงตามทางเดินที่เท้าย่ำห่างออกไปก้าวแล้วก้าวเล่า กระทั่งมายืนสลดใจหน้าประตูที่หุบสนิท




'ทำไมต้องรักเขา' คำถามผุดขึ้นในใจร้าวหลายต่อหลายครั้ง แต่พริ้มเพราก็ไม่เคยมีคำตอบที่งดงามให้ตัวเอง นอกจากหลั่งน้ำตาน้อยใจ

หล่อนเป็นสาวเหนือที่สวยซึ้งตาหวาน นี่คือคุณสมบัติเดียวที่โดดเด่นที่สุดในชีวิต แต่มันก็ไม่ได้มีแรงดึงดูดมากพอที่จะทำให้ปุราณเหลียวมาสนใจ

"เขาจะไม่มีวันสนใจใครได้อีกแล้ว และถ้าเธอยังเหิมเกริม คิดกระเถิบตัวเองขึ้นมาแทนที่ฉันละก็ ฉันจะทำให้เธอหายไปอย่างลึกลับ โลกใหม่ของเธอ ก็อาจจะฝังเร้นอยู่ใต้ท้องสระหน้าเรือน มีปูปลาและเหล่าบัวเป็นสมาชิกร่วมโลกใหม่นับไม่ถ้วน"

"ฉันไม่อาจเอื้อมอย่างนั้นหรอกคะ"

"ทำไมจะไม่อาจเอื้อม ในเมื่อเธอคิดตลอดเวลา หาโอกาสเสมอ และจ้องจังหวะงามๆ ไว้ตะครุบ ท่องให้จำขึ้นใจไว้เลยว่า คุณปูจะไม่มีวันสนใจใครได้อีกแล้ว เขามีฉันอยู่แล้ว ฉันเป็นทุกอย่างของเขา ทุกอย่าง.. ทุกอย่าง"

น้ำตาแห่งความอาดูรระคนพรั่นพรึง หยดแหมะกระทบหลังมือ มันช่วยดึงเจ้าของให้เดินกลับออกมาจากความคิดเก่าๆ ซึ่งในนั้น ก็มีตัวเองกับบางอย่างที่เร้นอยู่ในความว่างเปล่า หากแต่ส่งเสียงได้ รังแกได้ มันเป็นฤทธิ์เดชดุร้ายที่คนทั่วไปไม่กล้าปะทะด้วย

ร่างน้อยย้ายจากอ่างล้างจานมาหยุดเหงาหงอยตรงหน้าต่าง มองความมืดที่แผ่กว้างและสงัดลึก สายลมพัดแผ่วมา แล้วโรยความเย็นคมกริบลงบาดเนื้ออ่อนบนท่อนแขน ตรงนี้เคยโดนหยิกมาแล้วจาก 'ผี' ขณะที่ไล้มือลงลูบแผ่ว วัสอรก็กลับลงมาพร้อมกับถาดอาหาร

"เกิดอะไรขึ้นหรือคะ" เสียงหดหู่ส่งคำถามไปเนือยๆ ตาเศร้ายังทอดจับความมืดข้างนอกแน่วนิ่ง

"อุบัติเหตุนิดหน่อย ฉันลุกเร็วเกินไป ตกใจที่จู่ๆ คุณปูก็ดีดตัวพรวดพราดขึ้นมา ดีนะที่เขาไม่คิดจะปล้ำ ถ้าเขาทำอย่างนั้น ตอนนั้น ฉันคงอ่อนระทวย"

"ทำไมคะ"

สาวใช้อารมณ์หมอง พอได้ยินคำตอบทะเล้นเข้า ก็ทิ้งความมืดผืนใหญ่ แล้วหันกลับมาจ้องรอยยิ้มซนของคนตอบอย่างสนใจ

"ไม่ทำไม ก็ระทวยไง ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ ตัวหอมเชียว" วัสอรหัวเราะคิกคักเหมือนสาวเจ้าชู้ ปรายตามองถาดอาหารแวบหนึ่ง แล้วเปรยอย่างพอใจว่า "แต่อาหารมื้อนี้ ดูจะวิเศษไม่เบานะ เขากินเกือบเกลี้ยงแน่ะ"

"คุณฝนจำไว้ก็ดีค่ะ ถ้าเจอแบบนี้ ก็ให้รู้ไว้ว่าคุณปูเหนื่อย"

"เหนื่อย" ความรู้ใหม่จากสาวใช้หน้าเศร้า สร้างความกระตือรือร้นขึ้นในจิตในตาของวัสอรได้ในทันทีทันใดเชียว

"ค่ะ แม้เราจะไม่รู้ว่าเหนื่อยจากอะไร แต่ก็ให้รู้ว่าเหนื่อย เพราะเหนื่อย คุณปูถึงจะกินได้เยอะหน่อย"

วัสอรเม้มปากเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ลำพังนั่งทำงานหลังโต๊ะตัวใหญ่ตัวนั้น และงานที่กองซ้ายขวา มันก็สูงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะรีดพลังคนหนุ่มให้รู้สึกเหนื่อยมากได้ จนถึงกับเจริญอาหารเสียจัง

หรือจะให้เหตุผลว่า เขาออกกำลังกาย ก็ไม่เห็นว่าจะหักโหมเหงื่อโทรมตรงไหน อย่างมากก็เดินไปปล่อยอารมณ์กลางสะพานผ่าสระ แล้วก็เย้าหยอกกุ๊กกิ๊กกับอะไรก็ไม่ทราบ ที่คล้ายดั่งจะสามารถโผผินบินวนอยู่รอบตัวเขาได้ตลอดเวลา บางที เขาอาจหยอกล้ออยู่กับผีก็ได้

'ผี' พอข้อคะเนลอยไปกระแทกกับคำสั้นๆ คำนี้ วัสอรก็ตาโตวาววับขึ้นมา มันจะเป็นไปได้ไหมว่า ผีตนนั้นคุ้นเคยกันดีกับเจ้านายพ่อหม้าย อ้อ หรือว่าอาจจะเป็น 'สรัล'

พริ้มเพราเลิกคิ้วประหลาดใจ ที่วัสอรลุกพรวดพราดวิ่งกลับออกไป ทั้งที่ตอนแรก ก็นั่งเท้าคางคร่ำเคร่งกับความคิดของตัวเองเงียบอยู่ได้ตั้งพักใหญ่ จนหล่อนล้างจานชามคว่ำเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ




แม่บ้านนักสืบใจเต้นแรงมากเลย ขณะซอยเท้ากลับห้องนอนตัวเอง เธอต้องการอยู่ตามลำพัง เพื่อเรียงลำดับข้อมูลที่ได้ฟังมาจากคุณยาย เพราะบางที มันอาจจะช่วยให้เธอขบปริศนาข้อแรกแตกก่อน

มันจำเป็นต้องทราบให้ได้ไม่ใช่หรือว่า ผีที่กำแหงมาเกเรใส่เธออยู่ฝ่ายเดียว มีที่มาที่ไปยังไง หรือว่าตอนมีชีวิตอยู่ เจ้าตัวเป็นใคร มาสิงสถิตอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไมต้องแผลงฤทธิ์ใส่เฉพาะสาวๆ อย่างพริ้มเพรา อย่างเธอ

'อุ๊ย' วัสอรรีบปิดปากตัวเองว่องไว พาร่างปราดเปรียวย้ายวืดเข้าสู่หลืบซ่อน ใจเต้นตึกตัก เลียปากไปด้วย ขณะค่อยเยี่ยมหน้าโผล่ออกมา เพื่อบันทึกภาพประหลาดหน้าห้องนอนของพ่อหม้ายปุราณ

เขาเป็นอะไรไป ทำไมทำท่าระทวยเคลิ้มอย่างนั้น สองมือก็ยกส่ายคล้ายกระหวัดกอดใครสักคน มีโลมลูบขึ้นลงอย่างรัญจวนเสียด้วย ใบหน้าที่ขยับไหว ปากที่เขยื้อนคล้ายบดเบียดหรือขยี้กับบางอย่าง ทำให้วัสอรเดาไว้ก่อนว่า 'จูบ'

สายตาร้อนรนรีบส่ายหามุมที่เหมาะกว่าซอกตรงนี้ เธอน่าจะเข้าไปให้ใกล้อีกหน่อย อย่างน้อยก็ต้องให้ได้ยินเสียงที่เขากำลังเผยอพูด บางคราก็ยิ้มกว้างสลับกับหัวเราะ ทุกท่วงท่านั้น บอกชัดเลยว่าเขามีความสุขเหลือเกิน

'แหม แต่อิริยาบถกัดปากพริ้มตา ยืดคอไหวหน้า ที่เขาทำอยู่ มันเซ็กซี่เร้าใจชะมัดเลย'

วัสอรหัวเราะในใจ ขำความคิดทะเล้นของตัวเอง ขณะเดียวกัน สายตาก็เล็งตุ๊กตาไม้ที่ตั้งเคียงคู่ ประดับทางเดิน ข้างหลังยังมีช่องว่างอีกเล็กน้อย คะเนดูแล้ว น่าจะพาตัวบางๆ เข้าไปเสียบซ่อนได้ และมันก็ใกล้กับเป้าหมายอีกตั้งหลายคืบด้วย

"พอแล้วน่า ทะลึ่งไม่พักไม่เว้นแบบนี้ ผมเหนื่อยนะ เก่งแต่ปากจริงๆ ไหนบอกว่าจะไม่มาอีกแล้วไง"

"สงสารหนุ่มขี้เหงาน่ะสิ แหม สรัลหวังดีออกอย่างนี้ ยังจะมาติโน่นตินี่ เอาไหมล่ะ สรัลจะหายไปสักปี ปล่อยให้นอนสบายเต็มเตียงอย่างเต็มที่เลย ชอบล่ะสิ มีสาวหน้าใสมาเป็นแม่บ้าน คลอเคลียอีกตั้งคน"

"บ้าน่า หึงหวงไม่เข้าท่า ผมไม่มีตาไว้นอกใจคุณ ด้วยการมองเด็กๆ พวกนั้นหรอก"

"เด็กอะไรคะ แม่ครัวตีหน้าเศร้าตลอดศกนั่น ก็ยี่สิบสามแล้ว อวบอัดนะจะบอกให้ เนื้อสาวอย่างนี้สะพรั่งเชียว ส่วนแม่บ้านที่เพิ่งจะมา ก็ดูซนร้อนแรง ชอบสอดรู้สอดเห็น สรัลไม่ชอบหน้าเธอมากกว่าแม่พริ้มเพราเสียอีก แต่ก็ไม่ต่างกันเลย เพราะแม่คนนี้ก็ซ่อนรูปวายร้ายเหมือนกัน"

"อ้อ นี่ไปแอบดูเด็กๆ แก้ผ้ามาหรือยังไง ว่างจัดใช่ไหม ทำไมไม่ใช้ฤทธิ์เดชในทางสร้างสรรค์หน่อย ช่วยทำงานให้ผมก็ได้นี่ ไม่เห็นหรือว่า มันล้นโต๊ะจะตาย"

"อ้าว สรัลก็ปัดกวาดมันจนเกลี้ยงแล้วนี่คะ ทุกครั้งที่เรามีความสุขกัน"

"ทะลึ่งจริงๆ นี่ถ้าพ่อกับแม่มาได้ยิน ท่านต้องตาโตอกตึงกันแน่ๆ เลย เพราะนึกไม่ถึงหรอกว่า สะใภ้เรียบร้อยน่ารักของท่านจะทะลึ่งและห่ามขนาดนี้ อุ๊บ สรัล พอน่า ผมเสียว สรัล เข้าห้องก่อน ที่รักของผม ขอร้องล่ะ อย่าทำตรงนี้"

'ทำอะไรหรือ' วัสอรถามตัวเองอย่างกังขา เธอไม่ได้ยินเสียงของสรัล แต่พ่อหม้ายตัวหอมพูดอะไรมา เธอเก็บไว้หมด รอตีความกันภายหลัง แต่ตอนนี้ มันหงุดหงิดที่ไม่เข้าใจท่วงท่าเสียวของเขาสักนิด

เขากระตุกตัวกระทั่งคู้ลงด้วยกิริยาทรมาน สองมือส่งย้ายไปตะปบบานประตูข้างหลัง บางที เธอก็เห็นเขาเกร็งหน้าท้อง สูดปากซาบซ่าน แต่ก็คละเคล้ากับกิริยาทรมานนั่นล่ะ แล้วก็ครางครวญด้วยเสียงสั่นสยิวพิกล

"ที่รัก เข้าห้องก่อน อย่าทรมานผมแบบนี้ ผมเหนื่อย ขอร้อง โอย สรัล  โอ สรัล ผมขอร้อง"

'อุ๊ย' เสียงอุทานตื่นเต้นถูกสกัดให้แผ่วหวิวอยู่ในฝ่ามือเล็ก แต่ดวงตาเรียวยังมีอิสระท่วมท้น วัสอรจึงเห็นอย่างอัศจรรย์ใจ ที่จู่ๆ ประตูก็เปิดเองได้ แล้วร่างเพรียวสุดเท่ของปุราณ ก็ผลุบหายเข้าไป ด้วยลักษณะคล้ายถูกกระชากหล่นลงหลุมลึก

'อะไรกัน นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับเขา' แม่บ้านนักสืบเลื่อนตัวออกจากที่ซ่อน ใจระทึกไม่หาย มันดังตึกๆ แทบกระดอนทะลุเนื้อออกมา

วัสอรต้องกุมทรวงพร้อมกับกลืนน้ำลายไปเลียปากไป เธอพาร่างสวยมาเงี่ยหูหน้าบานประตู ใจจริงอยากเปิดเข้าไปเลยมากกว่า อยากพิสูจน์ให้ได้คำตอบที่ชี้ชัดลงไปว่า ผีเกเรตนนั้นคือ 'สรัล'

'เอาเถอะ เป็นไงก็เป็นกัน' หลานสาวแม่นมอ่อนพูดกับตัวเอง ขณะเสี่ยงขยับลูกบิดประตูเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัย มันดีไม่ใช่หรือ หากเธอจะค้นพบปัญหาของพ่อหม้ายหนุ่มให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ไปจากเรือนหลังนี้โดยเร็วเหมือนกัน ใครที่ไหนอยากจะอยู่ให้ผีรังแกบ่อยๆ ต่อให้มันจะเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจสักแค่ไหนก็เถอะ

อีกอย่าง ลักษณะอาการของปุราณเมื่อครู่นี้ คลับคล้ายกับหนุ่มร้อนรักที่เธอเคยเห็นในบาร์ที่มารดาทำงานอยู่ เธอเดาว่า พ่อหม้ายหนุ่มคงกำลังตกอยู่ในห้วงพิศวาสกับสรัล และแน่นอนว่าร่างนั้น มันไร้มวลจนเขาเองก็สัมผัสไม่ได้

สาวช่างวิเคราะห์อยากปักใจเลยด้วยซ้ำว่า นี่คือพฤติกรรมวิปริตที่เขาก่อขึ้น และคนในบ้านก็เผลอไปเห็นเข้า ทุกคนเห็นอากัปกิริยาของเขา แต่ไม่เห็นสรัล ถึงได้เก็บไปวิพากษ์วิจารณ์กันเอง แล้วสุดท้ายก็สรุปอย่างหวาดระแวงว่า เจ้านายหนุ่มอาการหลอนเข้าขั้นโคม่า ถึงระดับ 'บ้า'

เมื่อหามุมซ่อนตัวได้เหมาะเหม็งแล้ว วัสอรก็เบิ่งตาบันทึกภาพที่เคลื่อนไหวไปตามลำพังบนเตียงใหญ่ เธอกลืนน้ำลายลงคอกับเลียปากอย่างตื่นเต้นไม่หยุดเลย

ก็ดูนั่นสิ ปุราณเท้าฟูกด้วยสองแขนเกร็งสั่น พลางมุ่งมั่นโยกย้ำลำตัวลงไปประกบกระแทกตึกๆ ท่าทางก็เหมือนจะร้อนรนเจือปวดร้าวเจียนตายยังไงก็ไม่ทราบ ตอนเขาเค้นคำรามในคอ มันดังน่ากลัวมากเลย แล้วเธอก็รู้สึกได้ว่า 'เขาเหนื่อย'  

"โอ สรัล ช่วยผมด้วย โอย สรัล ผมจะทนไม่ไหวแล้ว โอย อยากตาย สรัล พาผมไปด้วย พาผมไปอยู่กับคุณด้วย"

"สรัลก็อยากทำอย่างนั้น แต่เวลาของคุณ มันยังอยู่อีกไกลมากค่ะ สรัลไปไม่ถึงตรงนั้น โอ สรัลมีความสุขจังค่ะ สรัลรักคุณ ปูขา สรัลรักคุณ"

"ครับ ผมก็รักคุณ รักคุณคนเดียว ที่รักของผม อย่าทิ้งผมไปนะ ผมขาดคุณไม่ได้ โอ ผมต้องการคุณ"

เมื่อสิ้นเสียงกระเส่าด้วยถ้อยคำอ่อนหวานลึกซึ้ง วัสอรก็ตาโตตกใจกับเสียงคำรามดุร้ายกว่าเดิม และก้องกังวานกว่าเดิมด้วย

ร่างเพรียวใต้ผ้าห่มที่คลุมอย่างหมิ่นเหม่ แลร้อนรนกระสับกระส่าย ขณะถาโถมกระชากกระชั้นลำตัวขึ้นลง พร้อมกับเค้นครางกระอักหอบหนักออกมาถี่ๆ กลั้วเป็นจังหวะกลมกลืน สักพักก็กรีดเสียงโหยหวนยาวแหลมและเนิ่นนาน แล้วถัดจากนั้น ก็ค่อยๆ หย่อนลงซบแน่นิ่ง ได้ยินเพียงเสียงหายใจที่แผ่วออกมาอย่างรวยริน




สาวคนเก่งกลับมาเดินกระวนกระวายในห้องนอน เธอจะไม่คิดซับซ้อนมากไปกว่าสิ่งที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู ปุราณกำลังสนทนาภาษารักกับสรัล และหล่อนก็ตายจากไปแล้วกว่าสามปี

มันหมายถึงอะไรหรือ เขาย้ายตัวเองมาอยู่ที่เรือนริมน้ำอยุธยา เพื่ออยู่กินกับผีใช่ไหม แล้วที่เธอเห็นบนเตียง ก็เป็นบทบาทของสามีที่สานเสน่หาสู่ภรรยาละสิ แต่ว่า ภรรยาของเขาเป็น 'ผี'

"ใช่ เธอคิดถูกทุกอย่าง เก่งมาก กล้าหาญมากด้วย เยี่ยมกว่าแม่พริ้มเพราหน้าเศร้าอย่างเทียบไม่ติดเลย นี่คือรางวัลความจุ้นจ้านของเธอ"

สิ้นเสียงยืดยานคุกคาม วัสอรก็มีอันกระเด็นวืดไปกระแทกปลายเตียง เสียง 'ตึก' สะท้านโสตชัดเจน สาวเก่งเกิดอาการจุกกะทันหัน อยากลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้

บนตักคล้ายถูกทับหนักหน่วง และลำคอก็โดนบางอย่างสกัดอากาศไม่ให้ไหลลงสู่ปอด ความคิดที่วูบขึ้นในช่วงทรมานจัดก็คือ 'ผีมานั่งทับแล้วบีบคอ'

"ฉันมาเตือนอย่างมิตร อย่าสู่รู้กับเรื่องของเรา ไม่อย่างนั้น ฉันจะทำให้เธอหายสาบสูญไปเฉยๆ เธอเป็นหลานสาวของแม่นมอ่อน แล้วฉันก็ยังนับถือแม่นมอ่อนในฐานะแม่นมของคุณปู แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะเห็นแก่แม่นมอ่อนจนมองข้ามความกำแหงสาระแนของเธอไปทุกครั้ง จำไว้นะแม่เด็กแก่แดด นี่แน่ะ"

วัสอรโดนตบฉาดใหญ่ ใบหน้าซีดขาวผงะหันรุนแรง น้ำตาไหลเพราะรู้สึกเจ็บมาก ใจก็ตระหนกกับฤทธิ์แรงกล้าของผีเกเร หล่อนมีพลังกร้าวแกร่งถึงเพียงนี้ ไม่ยอมปรากฏตัว แต่เจาะจงเล่นงานทำร้ายดุดัน

ร่างนั้นไร้มวลชัดๆ แล้วทำไมยังสัมผัสเนื้อตัวของเธอได้ด้วย หมายความว่า หล่อนสัมผัสปุราณได้ด้วยอีกคน ถ้าอย่างนั้น การสานเสน่หาเมื่อครู่นี้เล่า

"ไหนๆ ก็เจ็บตัวแล้ว ฉันจะยอมใจดี เฉลยในสิ่งที่เธอสงสัยสักสามสี่ข้อ หนึ่ง ฉันคือสรัลจริงๆ สอง ฉันเป็นผี สาม ร่างของฉันไม่มีมวล แต่ฉันมีพลังรักที่หนาแน่นมาแทนที่ สี่ ที่เธอเห็นเมื่อกี้นี้ ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าร่วมรัก"

"ฉันรู้ ไม่ต้องมาบอก" วัสอรกระชากเสียงบอกหน้าแดง ไม่ได้โกรธหรือเจ็บ แต่อายที่จะได้ยินคำคำนั้น

"รู้ก็ดีแล้ว ต่อไปจะได้รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ดอดเข้าไปแอบดูอีก ถ้าสักวันหนึ่ง ฉันสามารถปรากฏตัวให้เธอเห็นชัดๆ แล้ววันนั้น ถ้าเธอยังไม่เลิกสันดานสอดตาเห็นอยู่อย่างนี้ เธอก็อาจจะช็อกหัวใจวาย ที่เห็นคุณปูร่วมรักกับฉันอย่างจะจะ ก็เป็นได้นะ"

"ฉันจะไม่ดูอีก" วัสอรรีบร้องออกไป หน้าแดงจัดกว่าเดิม

"ก็ดี อย่าให้ฉันรู้ว่าเธอทำอีก เธอจะโดนหนักกว่าคืนนี้ และอาจจะไม่ได้นอนหลับสบายเหมือนคืนนี้ด้วย ไปนอนได้แล้วสาวแก่แดด"

แล้ววูบนั้นเอง วัสอรก็แทบจะกรีดร้องให้สุดเสียง ร่างของเธอลอยวืดขึ้น ขณะก้มมองพื้นห้อง ใจก็หล่นร่วงด้วยความหวาดกลัว นึกหวาดเสียวว่าศีรษะอาจกระแทกเพดาน กระหม่อมคงยุบ ทะลุลงไปทิ่มมันสมองจนแตกกระจาย

สาววัยใสหลับตาปี๋ ให้สรัลในที่เร้น เขม็งจ้องเยาะหยันด้วยตาดุร้ายไร้แวว ก่อนจะเหวี่ยงตัวบางไปกระแทกตึกลงบนฟูก วัสอรสิ้นสติทันที กว่าจะฟื้นก็คงรุ่งเช้าโน่น สำหรับเธอ ต้องเรียกมันว่าสิ้นสติ แต่ในความหมายของสรัล มันแปลได้งดงามและอ่อนโยนกว่า เพราะหล่อนเรียกมันว่า 'หลับสบาย'




เงาโปร่งบางพลิ้วมาสงบปลายเท้าของสามีอย่างอ้อยอิ่ง มุมปากพรายยิ้มเย็นเจือหวงแหน พร้อมกับดวงตาไร้แววก็เลื่อนจับจ้องร่างใต้ผ้าห่มอย่างลุ่มหลงแสนรัก ปุราณเป็นสามีที่ใครจะมาแย่งชิงไปครองไม่ได้เด็ดขาด เขาต้องเป็นของหล่อนเท่านั้น สรัลท่องไว้เช่นนี้ในจิตผูกพันอันกร้าวแกร่ง

พริ้มเพรามีใจไม่ซื่อกับเจ้านายหนุ่ม ต่อให้ปากจะบอกว่าไม่อาจเอื้อม แต่ถ้าหากปุราณมีใจให้สักเล็กน้อย ก็เชื่อว่าสาวเศร้าจะไม่หยุดความหวังไว้เพียงแค่ 'ลอบเร้น'

สรัลหรี่ตาแข็งปนดุร้าย ยามสาดทะลวงฝ่าสิ่งกีดขวางเข้าไปยังห้องนอนของสาวใช้เป้าหมาย เจ้าตัวยังไม่หลับ ร่างสวยครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียง ตาเหม่อลอยมองแสงสลัวที่รายรอบ แต่จิตข้างในที่พร่างพราวไปด้วยเงาของสามีต่างหาก ที่ทำให้สรัลเร่าร้อนไปด้วยแรงหึงหวง

'ฝากไว้ก่อน' ภรรยาไร้ร่างอาฆาตดุร้าย หล่อนเหนื่อยจากการเค้นพลังจิตแห่งรัก สานเสน่หาผ่านห้วงมายาสู่สามี เงาโปร่งจึงยิ่งบางเบา เกินกว่าจะเรียกว่ารางเลือน เพราะยามนี้ มันแลไหวและแตกซ่านคล้ายละอองหมอก หากแต่สรัลยังฝืนกำหนดให้มันคงรูปคงร่างอย่างเข้มแข็ง

มันเป็นการยาก หากต้องการสยบใจของใครสักคน ที่ภักดีต่อใครอีกคน ยิ่งคุกคามขู่เข็ญให้ละเลิก ก็ยิ่งยากแสนยาก พริ้มเพราพรั่นพรึงในคำขู่ดุร้ายก็จริง แต่จิตเสน่หาเบื้องลึก มีหรือจะไม่ลอบคะนึงหาได้

สรัลเข้าใจเรื่องนี้ แต่ไม่ยอมรับ เพราะปุราณคือสามีที่ตนหวงแหน เกินกว่าจะยอมยกให้เป็นสมบัติของหญิงใดได้อีก เขาต้องเป็นหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกแห่งความมืดมน เป็นสามีที่หล่อนจะปลดปล่อยและคายพิษแห่งเสน่หาในยามร้อนรนและปรารถนา

แม้ว่าการสมสู่เช่นนั้น มันอาจต้องรีดเค้นพลังจิตอย่างหนักหน่วง และทำให้หล่อนเหนื่อย กระทั่งแทบจะไม่อาจประคองเงาให้เป็นรูปตั้งมั่นได้ แต่หล่อนก็พร้อมจะเผชิญและดาหน้าอย่างไม่หวั่นไม่ท้อ

เงาอ่อนล้าลอยไปไหวเอนกลางสายลมหนาวหน้าระเบียง ดวงตาแข็งไร้แววมองลึกไปยังสระใหญ่ รู้สึกเหนื่อยจนอยากร้องไห้ บางทีก็แทบไม่คุ้มกันเลย กับความสุขอ่อนหวานที่กำซาบลึกซึ้งท่วมจิต

หล่อนเสียวกระสันด้วยแรงรักอันฮึกเหิมของสามี ดื่มด่ำรัญจวนกับเสียงพร่ำเพ้อลุ่มหลงที่เขาปรนเปรอน่ารัก คำหนึ่งก็ 'ที่รักของผม' อีกคำก็ 'ผมรักคุณ' แล้วอีกคำก็ 'ผมขาดคุณไม่ได้' กับคำสุดท้ายที่ผูกมัดร่างไร้มวลไม่ให้หลุดลอยพ้นอาณาจักรโลกใบเดิม 'อย่าทิ้งผมไป'

ทรวงที่ไร้เสียงเต้นของหัวใจ ปวดร้าวอย่างที่สุด เมื่อหนทางที่จะกลับคืนสู่ร่างเดิมยังซ่อนลึกอยู่ในความมืด สรัลพยายามมองหามันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะเชื่อว่าต้องมีสักวิธี ที่จะดูดกลืนมวลหนักมาเติมเต็มเงาบาง

หล่อนไม่ต้องการอยู่ในสภาพไร้ร่างเช่นนี้ ลอยไปลอยมาในอากาศอย่างนี้ หยุดตรงไหนก็ได้ในที่เร้นของความว่างเปล่าอย่างนี้ และที่ปรารถนาแรงกล้าที่สุดก็คือ อยากให้ตัวเองหลุดพ้นออกไปจากโลกใบใหม่ ที่แน่นทึบไปด้วยความมืดอันน่าสะพรึงกลัว โลกที่ไม่มีผู้คนสักคนอาศัยอยู่ นอกจาก 'ผี'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 54 21:04:10




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com