Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มิ่งแก้วจอมหทัย : บทที่ ๓ ราชกิจแรก ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๓ :  ราชกิจแรก


“ยังไม่นอนฤๅเจ้า เจ้าเนตร”

สุรเสียงทุ้มนุ่มที่สดับจนคุ้นโสตกระซิบแผ่วข้างกรรณของฝ่ายที่ยืนทอดพระเนตรออกไปนอกพระบัญชร พร้อมสอดหัตถ์เข้ามาโอบรอบบั้นพระองค์แลรั้งเข้ามาแนบชิดอุระอุ่น เจ้านางหลวงเนตรดาราทรงละสายพระเนตรจากผืนฟ้าที่ดารดาษด้วยดวงตาสวรรค์นับร้อยนับพันดวง หันมาทอดพระเนตรพักตร์เข้มที่อยู่ห่างไปมิถึงองคุลีพร้อมกับรับสั่ง

“น้องห่วงลูกเจ้า”

“ห่วงหรือร่ำเปิงหาแน่เจ้า” เจ้าหลวงเมืองคำรับสั่งสุรเสียงทอดอ่อน มิว่าเพลาจักผันผ่านเพียงใด ก็ยังคงรับสั่งด้วยเจ้ารอมแพงดุจเคยเป็นเมื่อกาลก่อนอยู่นั่นเอง

“ทั้งสองอย่างเจ้า กาสะลองมิเคยจากเวียงไปที่ใด เพลานี้จักอยู่จักกินเยี่ยงใด จักสบายเพียงใดก็สุดรู้”

“ลูกไปแล้วก็ร่ำเปิงหา พอลูกอยู่ด้วยก็เคียวกันมิเว้นแต่ละวัน พี่คิดว่าน้องจักส่วงใจเสียอีกที่กาสะลองไปเยี่ยงนี้”

จอมภพเวียงฟ้ารับสั่งเย้า หวังจักให้อีกฝ่ายทรงคลายที่ห่วงลง แลก็ได้ผลเมื่อเจ้านางหลวงเนตรดาราสรวลออกมาเบาๆ

“โธ่! เจ้าพี่ ลูกทั้งคนหนาเจ้า จักให้ตัดอาลัยสิ้นห่วงได้อย่างใด ฤๅเจ้าพี่มิทรงคิดถึงลูก”

จอมนางรับสั่งย้อนพลางถวายค้อนคม เจ้าหลวงเมืองคำสรวลในพระศอ

“ยอมรับเจ้าว่าพี่เองก็มิได้ต่างอันใดจากน้อง แต่มิได้ห่วงมากนักด้วยรู้ว่าลูกรักษาตัวเองได้ วันพรุ่งเจ้าพี่เมืองแก้วก็จักเสด็จมาถึงแล้ว วันมะรืนถึงค่อยไปเวียงสบสอง อย่างใดน้องก็จักได้เจอลูกสมใจ”

เจ้าหลวงเมืองคำรับสั่งเรื่อยๆ ราวกับว่าเป็นเรื่องสามัญทั่วไปที่มิได้สำคัญมากนัก หากความที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมานานนั้น ที่ไหนเลยจักมิทรงล่วงรู้พระทัยพระราชสวามี ทว่าความเป็นชายนั้นทำให้มิได้ทรงแสดงความรู้สึกออกมามากนัก พ่อลูกคู่นี้แทบจักเรียกได้ว่ามิห่างกันสักเพลา ทิวาที่เจ้านางกาสะลองเสด็จสู่เวียงสบสองนั้น เจ้าหลวงเมืองคำเองก็ทรงเงียบซึมไปใช่น้อย ใช่แต่เพียงเจ้าหลวงที่เป็นดั่งนั้น หากดูราวกับว่าเวียงทั้งเวียงพลอยเงียบเหงาไปสิ้น มีอยู่บ่อยครั้งที่เจ้าหลวงเมืองคำทรงเผลอองค์รับสั่งหา 'ลูกรัก' ยามทรงต้องการคนช่วยคิดขบปัญหาราชกิจ ก่อนจักทรงรำลึกได้ว่าลูกรักมิได้อยู่ชิดใกล้อีกสืบไป ส่วนเจ้าเมืองดาวนั้นถึงจักทรงพระปรีชาไม่ด้อยไปกว่าพระภคินี แต่บางคราก็ทรงขาดความเฉลียวแลมองข้ามจุดเล็กน้อยไปตามประสาชาย ทำให้ปัญหามองดูคล้ายใหญ่กว่าที่คิด ถึงขั้นออกโอษฐ์

“เรื่องนี้ต้องเจ้าพี่นางกาสะลองแล้วเจ้า เจ้าพ่อ”

ข้างเจ้าเมืองดาวเองก็ทรงเงียบไปมากในระยะหลัง เหตุเพราะทรงรักพระภคินีหนักหนา ไม่ว่าเจ้านางกาสะลองจักเสด็จที่ใดก็ตามแต่ ที่นั้นต้องเห็นพระอนุชาเสด็จตามติดแทบว่าจักเป็นเงาของกันแลกัน โดยเฉพาะเพลาที่สองพี่น้องแอบหนีประพาสนอกกำแพงล้อม หากผู้ที่มิได้ใกล้ชิดมากนักก็แยกมิค่อยออกว่าองค์ใดแฝดพี่ องค์ใดแฝดน้อง เมื่อน้อยนั้นยังว่าสองแฝดแทบมิมีส่วนใดคล้ายคลึง แต่ยิ่งเจริญพระชันษาเท่าใดความคล้ายคลึงนั้นยิ่งมีมากขึ้นเป็นลำดับ ความที่เจ้าเมืองดาวทรงมีพักตร์ประพิมประพายพระภคินีอยู่แล้ว เมื่อเจ้านางกาสะลองทรงเพศเป็นชายจึงมองละม้ายคล้ายกันแทบว่าจักเป็นพิมพ์เดียว ครั้นพระองค์พี่ทรงแยกจากไปสู่เวียงสบสอง พระอนุชาจึงทรงเหงาอยู่ใช่น้อย บ่อยครั้งที่ทรงละหนีการซ้อมอาวุธเสียดื้อๆ

“ไม่ล่ะ ซ้อมไปก็เท่านั้น ไม่มีผู้ใดเป็นคู่ซ้อมให้ข้าได้สักคน ปิ่นตะวันก็เล็กนัก ทำการอันใดก็ไม่ได้ เฮ้อ! เจ้าพี่นางกาสะลองไม่อยู่เสียคน ทุกอย่างไฉนน่าเบื่อหน่ายไปเสียหมดก็มิรู้”

ส่วนองค์เองนั้นเล่า แรกทีเดียวก็ทรงหมายพระทัยว่าจักทรงเดินทางไปพร้อมพระราชธิดา แลประทับอยู่ที่เวียงสบสองจนกระทั่งการครองราชย์แล้วเสร็จจึงจักนิวัติคืนเวียงฟ้า หากพระราชสวามีทรงขอให้เสด็จไปพร้อมกันภายหลังจากนั้นแทน ด้วยต้องอยู่รอรับเสด็จเจ้าหลวงเมืองแก้วเสียก่อน การราชาภิเษกนั้นจักเกิดขึ้นมิได้หากไร้ซึ่งจอมคนแห่งอาณาจักรเวียงภูแก้ว เหตุเพราะอาณาจักรแห่งนี้ ผู้ที่จักขึ้นนั่งเมืองต้องได้รับพระราชทานน้ำสรงมุรธาภิเษก แลพระแสงดาบประดับยศจากพระหัตถ์จึงจักถือเป็นการครองราชย์ที่สมบูรณ์ เจ้านางหลวงระบายปัสสาสะยาว เอาเถิดถึงจักต้องทอดเพลาเนิ่นช้าไปอีกสักน้อย แต่อย่างใดก็ได้เสด็จคืนแผ่นดินมาตุภูมิเฉกกัน เพลานี้เวียงสบสองจักแปรเปลี่ยนไปมากน้อยเท่าใดแล้วหนอ


ครั้นล่วงเข้าปลายปฐมยาม เจ้านางกาสะลองจึงขยับองค์ลุกจากที่ประทับเพื่อเสด็จขึ้นหอคำ ทำเอาข้าราชบริพารพลอยตั้งท่าจักหยุดการสำราญตามผู้เป็นนายไปด้วย หากทรงห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน ด้วยทรงเห็นว่าแต่ละคนกำลังม่วนสนุกถึงขนาด จึงโปรดให้การเลี้ยงนั้นดำเนินต่อไปจนถึงสองยาม คงมีเพียงสองพระพี่เลี้ยงเท่านั้นที่เลี่ยงออกจากงานแล้วตามเสด็จนายสาว

“พวกพี่จักตามข้ามาด้วยเหตุใด ข้างนอกยังม่วนนัก ตามข้าเข้ามามีแต่จักนั่งหง่อมเท่านั้นหนา”

เจ้านางกาสะลองทรงบ่นพลางทรุดองค์ลงประทับบนพื้นห้องที่เป็นไม้สักแผ่นใหญ่ขัดจนขึ้นเงา หัตถ์เรียวเอื้อมหยิบม้วนแผ่นหนังที่วางอยู่บนโต๊ะทรงงานมาคลี่ทอดพระเนตรม้วนหนึ่ง เอื้องคำที่เพิ่งตามประทีปชวาลาดวงสุดท้ายเสร็จค่อยคลานมานั่งพับเพียบอยู่ข้างคู่หมั้นหนุ่ม ซึ่งนั่งคอยถวายการดูแลผู้เป็นนายห่างจากโต๊ะเตี้ยที่ใช้ทรงงานมาราววาเศษ แจ้งหล้ายิ้มบางๆ พลางทูลตอบ  

“ม่วนพอแล้วเจ้า ขืนอยู่เมินนักเห็นท่าจักเมาจนมิต้องทำการอันใด”

“เมาแท้ข้าไม่ว่า แต่แสร้งเมานี่เห็นทีจักมิไหวหนาพี่”

เจ้านางน้อยตรัสทั้งที่มิได้เงยพักตร์ขึ้นจากข้อราชการเหล่านั้นสักน้อย เอื้องคำอดปากมิได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่เจ้าแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นได้กระทำลงเมื่อครู่ก่อน

“เจ้าคนผู้นั้นมันช่างกล้ามิเกรงกลัวอันใดเสียเลย แม้นเจ้านางน้อยทรงทราบว่ามันมิได้เมาแท้ ไฉนมิทรงให้ราชมัลคุมตัวมันไปลงโทษล่ะเจ้า”

“แล้วเท่าที่ข้าทำนั่น ยังมิถือว่าเป็นการลงโทษอีกฤๅอย่างใด เอาเถิดหนาพี่เอื้องคำ เรื่องมันผ่านไปแล้วอย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย ราตรีนี้เห็นทีข้าจักอยู่ดึกนัก ถ้าอย่างใดพี่ไปนอนพักที่ห้องข้างนี่เสียก่อนก็ได้หนา มิต้องเป็นห่วงอันใดหรอก ข้ามีพี่แจ้งหล้าอยู่ทั้งคนแล้ว”

ให้ไปนอนแล้วทิ้งนายสาวให้ประทับอยู่ด้วยราชองครักษ์เพียงลำพังในที่รโหฐานเยี่ยงนี้กระนั้นฤๅ แม้นเป็นที่เวียงฟ้าเห็นจักพอทำเนา ด้วยทุกคนย่อมรู้ความเป็นไปดี หากนี่ต่างแคว้นต่างถิ่น คนเขาจักมองเยี่ยงใด คิดดั่งนี้แล้วเอื้องคำก็ยืนกรานเสียงหนัก

“ข้าเจ้าไม่ง่วงเจ้า ยังถวายการดูแลได้จนตลอดราตรีนี้”

“เยี่ยงนั้นก็ตามใจพี่เถิด” เจ้านางกาสะลองทรงเงยพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพระพี่เลี้ยงสาว แล้วหันไปทรงหลิ่วเนตรให้แจ้งหล้าอย่างล้อๆ “เห็นทีพี่เอื้องคำจักหึงเราสองคนเสียแล้วพี่ ดูท่าจักขางพี่ใช่น้อย”

แจ้งหล้าไม่พูดอันใดนอกจากยิ้มอย่างเคยเท่านั้น ส่วนเอื้องคำทูลเสียงเข้ม

“ฟังตรัสเข้า หึงอันใดเจ้า ข้าเจ้าเกรงจักทรงเสียพระเกียรติต่างหาก ประทับอยู่กับชายในห้องมันงามน้อยอยู่ฤๅเจ้า”

“ข้ารู้พี่ ข้าเพียงเย้าพี่เท่านั้น อันใดในหล้าก็ไม่ทำร้ายผู้คนเท่าความคิดอันเป็นอกุศลนี้ มิหนำหากลงหลักปักใจเชื่อว่าอันใดที่ตนเห็นต้องเป็นเช่นนั้นด้วยแล้ว ยิ่งแก้ไขความเข้าใจยากนัก”

ตรัสแล้วก็ดำริเลยไปถึงความจริงที่ทรงพบกับตนเองเพลานี้ ใช่ แม้นปักใจเชื่อแล้วย่อมแก้ไขได้ยากยิ่ง แล้วความคิดความเชื่อที่ว่าแม่ญิงเป็นได้เพียงแม่เรือน มีหน้าที่เพียงบำเรอเลี้ยงสามีแลลูกของคนแถบนี้ ต้องใช้เพลาอีกสักเท่าใดจึงจักเปลี่ยนแปรได้


จวบจนล่วงเพลาสองยาม น้ำค้างเริ่มลงหนานัก งานเลี้ยงจึงได้เลิกรายุติลงตามที่ผู้เป็นนายได้กำหนดลงไว้ ข้าราชบริพารฝ่ายการเมืองค่อยทยอยลุกขึ้นจากที่ แยกไปล้างหน้าล้างตาเพื่อให้สร่างเมาเสียก่อน ถึงจักดื่มกินเข้าไปไม่มากด้วยรู้ว่าจักต้องทำราชการต่อก็ตามที แต่ไม่มากของพวกหนุ่มๆ ก็ทำเอาหน้าแดงก่ำไปตามๆ กัน ส่วนฝ่ายผู้เฒ่านั้นแทบว่าจักมิได้แตะเมรัยเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ข้าราชริพารกลุ่มแรกที่เข้ามาเฝ้าในท้องพระโรงหอคำก็คือกลุ่มผู้เฒ่าเสียเป็นส่วนใหญ่ เจ้านางกาสะลองประทับรออยู่ในท้องพระโรงกับแจ้งหล้าอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเอื้องคำนั้นโปรดให้นางได้พักผ่อนเสียก่อน เมื่อทอดพระเนตรข้าราชบริพารที่เข้ามานั้นนำโดยน้อยอินทร์ก็อดแย้มพระโอษฐ์อย่างขบขันมิได้ แลตรัสเย้าออกไป

“เอ ราตรีนี้ข้าต้องหารือกับท่านผู้เฒ่าก่อนเสียละกระมัง ส่วนคนหนุ่มค่อยหารือวันพรุ่ง”  

ยินพระวาจานั้น ปวงข้าราชบริพารก็อดขันมิได้ น้อยอินทร์ยิ้มอย่างเอ็นดู เจ้านางน้อยเบื้องหน้านี้คล้ายมีเงาของเจ้านางหลวงเนตรดาราเมื่อครั้งอดีตทาบทับอยู่ โดยเฉพาะเนตรสีนิลดำขลับที่ฉายแววเฉลียวฉลาดหากแกมด้วยความซุกซนอยู่ในทีคู่นั้น ยิ่งพิศยิ่งคล้ายพระราชมารดานัก เขาหัวเราะเบาๆ พลางทูลตอบ

“เห็นจักเป็นดั่งนั้นเจ้า แม้นทรงหารือราชกิจด้วยเจ้าหนุ่มๆ เห็นจักต้องเป็นเรื่องการทำเมรัยรสดีเท่านั้นเจ้า มิเช่นนั้นคงไม่ยอมตาสว่างเป็นแม่นมั่นเจ้า”

ขุนนางอำมาตย์ผู้เฒ่าพลอยหัวเราะไปกับคำพูดนั้นอย่างสนุกสนาน นานแล้วที่ไม่มีเรื่องขบขันทูลต่อหน้าพระที่นั่งได้ เมื่อเจ้าหลวงแสนมิ่งเมืองยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ เหตุการณ์ดั่งนี้ถือเป็นเรื่องปกติ หากเมื่อพ่อครูน่านฟ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนนั้น ความดุแลเด็ดขาดของผู้สำเร็จราชการหามีผู้ใดกล้าไม่ แม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสหายสนิทอย่างน้อยอินทร์ ซึ่งเคยออกปากไว้ว่า

'น่านฟ้าเอาจริงกับทุกสิ่ง ไม่ว่าเพลาใดก็ตาม'

อึดใจใหญ่ถัดมา ปวงข้าราชบริพารหนุ่มๆ ก็ค่อยทยอยตามเข้ามา การสนทนาด้วยความสนุกสนานจึงยุติลงแต่เพียงนั้น การเข้าเฝ้าครานี้อุ่นเมืองลดความกระด้างกระเดื่องลงไปมาก แต่ก็มิได้หมดสิ้นลงเสียทีเดียว ส่วนคนอื่นๆ นั้นเล่าเมื่อเห็นอุ่นเมืองซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นตัวนายในการ 'ถวายการต้อนรับ' สงบเสงี่ยมลงเช่นนั้นก็พลอยสงบลงไปด้วย ซ้ำสิ่งที่ตนได้เห็นนายถูกย้อนคมกลับเอาดั่งนั้น แต่ละคนเริ่มแจ้งแก่ใจ นายสาวหาใช่แม่ญิงธรรมดาทั่วไป หากเต็มไปด้วยแต้มคูแลชั้นเชิงการเมืองเกินกว่าผู้ใดจักหาญเทียบ การยอมรับในใจนั้นเกิดขึ้นเกินกว่าครึ่งเสียแล้ว แต่ยังมิได้แสดงออกชัดเจนนัก

“สร่างเมาแล้วฤๅ”

เจ้านางกาสะลองตรัสถามล้อๆ พักตร์งามละมุนกระจ่างด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์เปิดเผย พวกคนหนุ่มไม่มีใครกล้าทูลตอบสักคนแม้แต่อุ่นเมืองเอง นอกจากพากันยิ้มแหยๆ แทน

“ไม่ตอบ เช่นนั้นข้าถือว่าสร่างแล้วหนา ข้าจักเริ่มราชกิจละ”


ข้อราชกิจมากมายได้รับการหยิบยกขึ้นมาในที่ประชุมขุนนางนั้น ทุกเรื่องผ่านพ้นไปได้ด้วยดี กระทั่งมาถึงราชกิจสุดท้ายแห่งราตรีนั้น ปวงข้าราชบริพารต่างนิ่งงัน เมื่อรู้ว่าเจ้านางกาสะลองทรงมีพระประสงค์จักเสด็จเยี่ยมราษฎรแถบเชิงผาดงเหล็ก ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกห่างจากตัวเวียงไปราวสิบโยชน์ในอีกสองทิวาข้างหน้า ขนงก่งงามขมวดน้อยๆ ทันใด

“มีอันใดฤๅ ไยพวกท่านทำหน้าตาเยี่ยงนี้ ข้าหมายไปเยี่ยมราษฎรมิได้ไปรบทัพจับศึกหนา”

“หากเสด็จแท้แล้ว ข้าเจ้าเกรงว่าจักเป็นอย่างหลังเสียมากกว่าเจ้า”

อุ่นเมืองเป็นคนทูลตอบเสียเอง เมื่อมองไปทางใดก็เห็นข้าราชบริพารฝ่ายเวียงสบสองล้วนก้มหน้านิ่งไปทั้งสิ้น

“เหตุใดจึงเป็นดั่งนั้น”

“เชิงผาดงเหล็กเป็นที่อยู่ของชุมโจรใหญ่ มีนายโจรชื่อแสนหลวงคุมโจรราวห้าร้อยหรือกว่านั้นอาศัยอยู่เจ้า เราเคยส่งทหารไปปราบแล้วแต่ไม่สำเร็จ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเองก็หาวิธีปราบอยู่แต่มิทันได้ลงมืออย่างใดก็ล้มเจ็บเสียก่อนเจ้า”

“มันมีมานานแล้วกระนั้นฤๅ”

“ชุมโจรนี้เพิ่งตั้งเมื่อราวกึ่งปีที่ผ่านมานี้เองเจ้า แต่เวียงสบสองมิได้แจ้งข่าวไปทางเวียงฟ้าหรือเวียงภูแก้ว ด้วยคิดว่าจักจัดการเองได้เจ้า”


*** ยังมีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 14:42:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com