Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คนบาป ติดต่อทีมงาน

ผนังสีเทาควันบุหรี่เรียงตัวกันเป็นห้องทึบ ทั้งสี่ด้านปราศจากหน้าต่างหรือช่องรับแสงแดดใดๆจากภายนอก จะมีก็แต่เพียงบานประตูโลหะที่ปิดตายราวกับว่ามันเป็นห้องลับซึ่งมีเพียงความมืดเท่านั้นที่เข้าถึงสถานที่แห่งนี้ได้ สิ่งเดียวที่ส่งประกายริบหรี่อยู่ภายในคือแสงไฟจากหลอดทังสเตนสีส้มสลัว

ส่องเป็นลำลงมาจากโคมไฟฟ้าห้อยเพดาน ณ ที่ปลายแสงโคมสาดต้องมุมห้อง มีเก้าอี้ตัวหนึ่งวางอยู่ มันเป็นเก้าอี้บุนวมสีแดงติดดุมผ้า เน้นเนื้อเบาะระหว่างดุมให้อวบนูนน่านั่งตั้งแต่ส่วนรองนั่งจรดพนักพิง เท้าแขนของเก้าอี้ทั้งสองข้างทำจากไม้มะฮอกกานีเคลือบขัดอย่างดีจนขึ้นเงาเป็นมันวาว

ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้นวมแดงตัวนั้น เขาสวมเครื่องแบบสีน้ำตาล กระเป๋าเสื้อด้านซ้ายติดเหรียญกล้าหาญไว้ตรงกับหัวใจพอดี ศอกทั้งสองของเขาเท้าอยู่กับหัวเข่า มือที่ประสานกันแน่นถูกยกขึ้นจรดหน้าผากขาวเกลี้ยงเกลาปรกด้วยผมสีน้ำตาลเข้ม ไรคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเห็นได้ชัด ดูราวกับว่าเขาคนนั้นกำลังถูกความเครียดรุมเร้าสุดที่จะหาทางออกได้

เขาบีบมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น กดเปลือกตาบนลงกับเปลือกตาล่าง เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆตามจังหวะแห่งความเคียดขึ้งที่แล่นสู่สมอง ทว่าจู่ๆโสตประสาทของเขากลับแว่วสำเนียงประหลาด ที่ดูเหมือนจะเล็ดลอดออกมาจากทุกซอกหลืบห้อง ในตอนแรกแผ่วเบาเสียจนเขาฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงท่องบ่นอะไร หากแต่เมื่อมันเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆจึงรู้ว่า ท่วงทำนองที่ขับขานออกมาคล้ายเพลงสวดด้วยภาษาที่ไม่มีใครฟังออก...ภาษาศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเป็นเจ้า!

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองดูทุกแห่งหน ทว่าเสียงนั้นกลับมลายหายไปในพริบตา อีกครั้งที่เขากระชับอุ้งมือ ทันใดนั้นเองสัมผัสผิวโลหะเรียบมันและเย็นวาบก็แล่นสู่มือหยาบกร้าน จนเขาต้องคลายมันออกดู และสิ่งที่นอนนิ่งอยู่กลางฝ่ามือ คือ กางเขนโลหะวาววับ ยาวเกือบคืบ ใจกลางสลักลายนูนเป็นรูปพระบุตรแห่งพระเจ้าตรึงอยู่บนนั้น

อา...กางเขน...สัญลักษณ์แห่งพระคริสต์  

หน้าผากขาวสะอ้านจรดลงกับลำนิ้วที่สอดประสานปานจะยึดกางเขนในมือเป็นที่พึ่ง พร้อมกันนั้นคำสวดอ้อนวอนต่อพระเป็นเจ้าก็รินออกมาจากริมฝีปากภายใต้หนวดสีน้ำตาลเข้ม

“ข้าแต่พระบิดาผู้สถิตบนสวรรค์ ได้โปรดชี้ทางให้ลูก...”

ทันทีที่เขาเริ่มสวด กลับมีเสียงหนึ่งแว่ววังเวงมาในอากาศ แม้นมันจะผะแผ่วเพี้ยงลมหายใจ แต่กลับชัดเหมือนกำลังกระซิบที่ข้างหูเขา เป็นถ้อยคำว่า

“แฮร์วูล์ฟ”

เหงื่อหยาดน้อยผุดขึ้นที่หน้าผาก เขาหลับตาลง พยายามดึงความสนใจกลับมาที่สัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ แล้วรีบจดริมฝีปากกับกางเขนในมือพลางรินน้ำคำสวดอ้อนวอน

“ข้าแต่พระบิดาได้โปรดชี้ทางให้ลูก ในเวลาแห่งความมืดมน ไร้ซึ่งหนทางจะเดิน ณ ที่ซึ่งเหล่าปีศาจคืบคลานเข้ามา ได้โปรดอย่าทอดทิ้งลูก ได้โปรดอย่าทอดทิ้งลูก ได้โปรด...”

ตลอดเวลาที่เขาสวดมนต์ เสียงประหลาดสะท้อนแต่คำว่า “แฮร์วูล์ฟ” ออกมาไม่ขาดสาย หากแต่สติของเขาไม่ได้อินังขังขอบกับเสียงนั่น เพราะว่ามันดำดิ่งจมลึกอยู่กับสิ่งที่เขาเพิ่งจะพูดออกไป...ทอดทิ้ง...พระองค์หรือจะทอดทิ้งสาวกผู้ซื่อสัตย์เช่นเขา...ไม่...ไม่มีทาง...ไม่

“ไม่” เขาหลุดคำพูดออกมาพลางส่ายศีรษะราวกับคนที่รับความจริงไม่ได้ ทั้งยังพร่ำต่อไปอีกว่า “ไม่ พระองค์ไม่ทอดทิ้งลูกหรอก ลูกเดินตามทางที่พระองค์ทรงชี้นำ ลูกทำตามพระประสงค์ทุกประการ พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ลูกเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ ทรงมีพระประสงค์จะให้ลูกควบคุมกองทหารแห่งพระองค์...”

“อะไรทำให้เจ้าคิดว่าพระองค์ต้องพระประสงค์เช่นนั้นเล่า?”

เสียงหนึ่งลั่นขึ้นมาจากซอกผนังติดกับตู้หนังสือ มันชัดเจน จริงจัง เกินกว่าจะเชื่อได้ว่าหูของเขาแว่วไปเอง นั่นทำให้ชายหนุ่มจ้องตรงไปยังมุมผนังอันมืดมิด บางอย่างสีดำสนิทพลิ้วไหวน้อยๆ เขาเพ่งดูอยู่ครู่หนึ่งจึงเห็นว่ามันเป็นชายผ้ากำมะหยี่สีดำเลื่อมพราย และเมื่อมองไล่ขึ้นไปจึงเห็นบางส่วนของใบหน้าขาวซีดของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งลอยเด่นอยู่ตรงซอกตู้อับแสง

ชายวัยกลางคนผู้นั้นอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำคล้ายชุดของนักบวชยุคกลาง ที่เอวผูกสายรัดสีขาวสะอาดตา ผ้าคลุมศีรษะสีดำที่ต่อติดกับตัวเสื้อด้านหลังนั้นปกคลุมศีรษะบดบังดวงหน้าเสียกว่าครึ่ง

ทันทีที่ชายลึกลับก้าวเท้าพาร่างออกมาจากมุมมืด สู่แสงไฟฟ้าสีส้มสลัว มือกร้านก็ค่อยๆเปิดผ้าคลุมศีรษะของตนออก เผยให้เห็นดวงหน้าขาวซีดพร้อมรอยเหี่ยวย่นที่ผุดขึ้นมาตามกาลเวลา ทว่าดวงตาสีน้ำตาลของเขากลับให้ความรู้สึกอบอุ่น ดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“ว่าอย่างไร แฮร์วูล์ฟ” ชายในชุดคลุมดำกล่าว

ชายหนุ่มจ้องดวงหน้าชายวัยกลางคนเขม็ง ในเมื่อคนคนนี้เรียกเขาว่า แฮร์วูล์ฟ ซึ่งเป็นฉายาที่พวกเพื่อนเรียกเล่นกันในมิวนิก แสดงว่าต้องรู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดี แต่ทำไมเขาจึงจดจำอะไรเกี่ยวกับชายที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เลย

“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าพระองค์ต้องพระประสงค์ดังที่เจ้าพูดมา” ชายในชุดคลุมดำถามอีก

“ผมได้รับสัญญาณจากพระผู้เป็นเจ้า ผมเป็นตัวแทนแห่งพระองค์ ไม่มีใครโต้แย้งในเรื่องนั้น” แฮร์วูล์ฟตอบออกไปอย่างกร้าวกระด้าง ไม่อาจอดรนทนต่อใครก็ตามที่มีศรัทธาต่ำในเรื่องนี้ได้

“อะไรทำให้เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นตัวแทนแห่งพระเจ้า”

“ปาฏิหาริย์ที่อีเพรส”

เขาตอบสั้นๆแต่หยันอยู่ในน้ำเสียง ใช่! อีเพรส ฐานที่มั่นในเบลเยี่ยม วันที่เมืองอีเพรสถูกถล่มยับ เขาได้รับการติดต่อจากพระเจ้า

ทันใดนั้นเองมโนสำนึกทั้งหมดของเขาก็เสมือนถูกดึงกลับไปยังวันนั้น ที่นั่น 10 ไมล์จากตัวเมืองอีเพรส อากาศเหน็บหนาว หิมะตกหนา เขาแทบจะสัมผัสได้ถึงความยะเยียบเย็นที่กัดกร่อนรองเท้า ‘ท็อปบู๊ท’ เข้าไปถึงข้างในแก่นกระดูก แต่ก็ต้องลากเท้าต่อไปก้าวแล้วก้าวเล่า ไม่สน ไม่แยแสกับเพื่อนทหารหาญที่พากันล้มลงไปทีละคนสองคนเหมือนใบไม้ร่วง เพราะทนทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินเท้า ความบอบช้ำจากสงคราม และความหนาวเย็นไม่ไหว เขารู้สึกว่าเท้าของเขาปวดร้าวหนักอึ้งจนแทบจะยกมันไม่ขึ้นอีกต่อไป จึงต้องหยุดยืน และในเวลาที่เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ปล่อยลมหายใจเป็นไอขาวสู่บรรยากาศหนาวเหน็บอยู่นั้น ก็บังเกิดเสียงหนึ่งหวีดหวิวขึ้น

วี๊ด ฟุบ!

วัตถุบางอย่างทะยานมาในอากาศ ไม่กี่อึดใจหิมะข้างตัวเขาก็แตกกระจุยเพราะแรงตกกระทบ พร้อมควันขาวพวยพุ่งออกมาเป็นสาย มันกระจายตัวปกคลุมกองทหารอย่างที่ไม่อาจจะมีใครหยุดยั้งได้ เสียงไอหนักๆลั่นขึ้นรอบกาย เงาร่างทหารหาญหอบหายใจอย่างลำบากยากเย็น ท่ามกลางกลุ่มควัน แฮร์วูล์ฟมองเห็นเพียงสองมือของตนที่กุมรอบคอหอย เสียงฟีดจากหลอดลมตีบตันดังขึ้นเพียงสองสามครั้ง และแล้วร่างที่เย็นเหมือนซากศพของเขาก็ล้มลงกระแทกพื้นหิมะซึ่งเต็มไปด้วยร่างงอหงิก ดิ้นทุรนทุรายของพี่น้องทหารหาญทั้งกอง

ทันใดนั้นก็บังเกิดลำแสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งจากฟ้าตรงมายังเขา มันช่างสว่างเสียจนทำให้ตาของเขาบอดลง ในเวลาที่จักษุประสาทสูญเสียการทำงานไป โสตประสาทกลับทำหน้าที่ได้ดีกว่าเดิม เขาได้ยินเสียงที่ก้องกังวานอยู่ท่ามกลางแสงจ้า...นั่น...บัญชาแห่งพระเป็นเจ้า!

เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางซากศพเกลื่อนกลาด กองทหารทั้งกองล้มระเนระนาด บ้างตาเหลือกถลน บ้างกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ปากม่วงบิดเบี้ยวอย่างทุกข์ทรมาน หากแต่คนที่ยังมีชีวิตรอดกลับเป็นเขาคนเดียวเท่านั้น

สำนึกของแฮร์วูล์ฟค่อยๆกลับมาสู่ปัจจุบันกาล เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมแดง รอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจปรากฏขึ้นบนมุมปาก นั่นล่ะ วันที่เขารับบัญชาจากพระเจ้า นับแต่นั้นมาชีวิตของทหารชั้นประทวนที่ไม่มีใครรู้จักก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เหรียญกล้าหาญเอย ยศถาบรรดาศักดิ์เอย ความรุ่งโรจน์ทางการเมืองเอย กระทั่งขึ้นมาถึงจุดสูงสุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้

“มันคือสัญญาณจากสวรรค์”

เขาปล่อยถ้อยคำออกมาอย่างอิ่มเอม สองมือกระชับกางเขน ดวงหน้าเอิบอาบไปด้วยแรงแห่งศรัทธา ทว่าคู่สนทนาเพียงเลิกคิ้วสูง

“นั่นหรือสัญญาณที่เกิดแก่เจ้า”

ชายในมัชฌิมวัยกล่าวอย่างราบเรียบ แล้วส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้เขา หนังสือที่ไม่มีใครรู้ว่ามันมาอยู่ที่นั่นเมื่อไหร่ ได้อย่างไร

แฮร์วูล์ฟยื่นมือออกรับหนังสือเล่มนั้นไว้ มันเป็นหนังสือเก่าคร่ำคร่า เย็บปกร้อยเชือกอย่างดี ที่หน้าปกสีเลือดหมูทำจากกำมะหยี่บุกระดาษแข็งกดลายนูนเป็นตัวอักษรสีทองเขียนไว้ว่า ‘The road to Jerusalem - เส้นทางสู่เยรูซาเล็ม’

“เจ้ายังจำหนังสือเล่มนี้ได้ไหม” ชายวัยกลางคนถาม

แทนคำตอบ แฮร์วูล์ฟส่ายหน้า

“นี่ไม่ใช่ของของเจ้าหรือ”

ชายลึกลับถามอีก คราวนี้แฮร์วูล์ฟพยายามเค้นความคิดอย่างหนัก แต่สิ่งที่เขาทำได้คงมีเพียงแค่ส่ายศีรษะอีกครั้ง ชายในชุดคลุมดำเอื้อมมือมาเปิดหนังสือที่เขาถืออยู่ เพียงครั้งเดียวแล้วกลับยืนนิ่ง ราวกับขั้นหน้าสำคัญนั้นไว้สำหรับเขา เมื่อเป็นเช่นนี้แฮร์วูล์ฟจึงกวาดไล้สายตาไปตามตัวอักษร บัดดลห้วงจริตของเขาก็เสมือนถูกดูดลงไปในหนังสือเล่มนั้น...

ภาพถนนดินอันแสนแห้งแล้งปรากฏขึ้นตรงหน้า สายลมเบาๆพัดเอาฝุ่นดินปลิวเรี่ยพื้น บนเส้นทางอันโล่งร้างและว่างเปล่า มีเพียงรอยเท้าม้าตัวหนึ่ง

เจ้าของรอยเท้าคือยอดอาชาและคนที่อยู่บนหลังก็กำลังจะเป็นอีกหนึ่งยอดนักบุญ ทว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงชาวยิวในชุดคลุมยาวสีขาวหม่น ไร้ซึ่งสายรัดเอวหรือสิ่งไรอื่นนอกจากดาบที่พกแนบกาย หนำซ้ำมันยังเป็นดาบที่ชายผู้นั้นตั้งใจจะใช้ประหัตประหารคริสเตียนในทันทีที่ไปถึงเยรูซาเล็ม ทันใดนั้นลำแสงขาวเจิดจ้าก็พุ่งลงจากฟ้าตรงมายังเขา มันช่างสว่างเสียจนทำให้ชายผู้นั้นถึงกับตาบอดและพลัดตกจากม้า

‘ซาอูล ซาอูล เจ้าข่มเหงเราทำไม’ เสียงหนึ่งก้องกังวานจากฟากฟ้า

‘พระองค์คือผู้ใดกันเล่าเจ้าข้า’ ผู้ที่ถูกเรียกว่าซาอูลถาม

เราคือผู้ที่เจ้ากำลังเบียดเบียน เราทำให้เจ้าตาบอดเพื่อจะได้เห็นใหม่ จงหยุดเข่นฆ่าสาวกแห่งเรา

...

“ไม่จริง! นี่ไม่ใช่หนังสือของผม”

แฮร์วูล์ฟตะโกนลั่น ลุกพรวดพราดจากเก้าอี้บุนวมและเหวี่ยงหนังสือปกแข็งในมือออกไปสุดแรงเกิด

“เจ้าโกหก! และนั่นคือบาป” ชายในชุดคลุมดำกระแทกเสียงสวนขึ้น

“ผมไม่เคยโกหก” เขารีบปฏิเสธบาปที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้ แน่นอนเขาไม่เคยโกหก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมีแต่พระองค์เท่านั้นที่ทราบดี ดังนี้แล้วมือที่ถือไม้กางเขนของเขาจึงกำแน่น สัมผัสเย็นเยียบแห่งผิวโลหะแล่นสู่ฝ่ามือ พร้อมกับถ้อยคำอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย

“ข้าแต่พระบิดาผู้สถิตบนสวรรค์ ลูกไม่เคยโกหก ได้โปรดฟังลูก ลูกมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระองค์ ลูกยอมรับในความมีอยู่แห่งพระองค์ ลูกไม่...ไม่เคยโกหกถึงปาฏิหาริย์ที่พระองค์ทรงแสดงแก่ลูก”

“เจ้ายังจะยืนยันเช่นนั้นหรือ” เสียงชายในชุดคลุมดำดังขึ้น ก่อนที่ร่างนั้นจะย่างกรายเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าขาวซีดก้มลงมาใกล้เสียจนแทบจะได้กลิ่นลมหายใจ ทว่ามันกลับเป็นลมหายใจที่นิ่งสนิทราวกับคนตาย

ดวงตาสีน้ำตาลของแฮร์วูล์ฟจ้องลึกลงไปในนัยน์ตาสีน้ำตาลกร้านด้วยวัยวุฒิ พร้อมกันนั้นเขาก็ขยับริมฝีปากปล่อยถ้อยคำออกมาอย่างเชื่อมั่นและมั่นคงว่า

“ผมขอยืนยัน”

นั่นทำให้รอยยิ้มประหลาดผุดขึ้นบนมุมปากของผู้สูงวัย ดวงหน้าขาวซีดประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนหุ่นขี้ผึ้งค่อยๆถอยห่าง แล้วมือเหี่ยวขึ้นเส้นเลือดโปนเขียวก็โบกใส่หน้าชายหนุ่ม เพียงทีเดียว อย่างแผ่วเบา เปลือกตาของแฮร์วูล์ฟกลับหนักอึ้งจนเขาต้องปิดมันลง สมองและร่างกายไม่อาจฝืนแรงโน้มถ่วงของโลกได้ ถึงกับต้องทิ้งร่างลงพิงพนัก ผล็อยหลับไปกับเก้าอี้บุนวม

เขา...แฮร์วูล์ฟ...กลับกลายเป็นเด็กชายตัวน้อยอีกครั้ง เขากระพริบเปลือกตาเล็กๆก่อนที่จะรู้ตัวว่ากำลังนั่งอยู่บนขอนไม้ในทุ่งข้าวสาลีกว้างขวางว้างเวิ้ง ข้างกันนั้นมีเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มมายังเขา ในมือกระจุ๋มกระจิ๋มมีหนังสือที่เปิดปกในค้างอยู่ เธอยื่นมันออกไปเบื้องหน้าราวกับจะเชื้อเชิญให้เขารับมัน เด็กชายเอื้อมหยิบหนังสือเล่มนั้นแล้วจึงได้เห็นลายเซ็น ซึ่งความจริงต้องเรียกว่าลายมืออ้วนป้อมที่พยายามจะคัดให้ดูเป็นตัวอักษรมากที่สุด ทว่าก่อนที่เขาจะพูด

อะไรออกไป ริมฝีปากกระจิดริดของเด็กหญิงคนนั้นก็ประทับลงบนแก้มป่องของเขา เด็กชายแฮร์วูล์ฟจับจ้องอยู่แต่กับดวงหน้าของเด็กหญิงน้อย เพื่อนที่แสนดีในวัยเด็ก และแล้วดวงหน้าเล็กๆ สองตากระจ้อย พร้อมริมฝีปากเคลือบยิ้มไร้เดียงสาบนกระพุ่มแก้มแสนสวยนั้น ก็ค่อยๆมลายหายไป กลับกลายเป็นใบหน้าเจนโลก สองแก้มตอบเหี่ยว ผิวแห้งเหมือนเปลือกไม้เก่าๆ และดวงตาสีน้ำตาลที่เขาคุ้นชินของชายในชุดคลุมดำ

ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกราวกับกำลังผวาตื่นจากฝันร้าย ทุ่งข้าวออกรวงเหลืองเรืองรองกลับกลายเป็นห้องขนาดใหญ่ ตู้เอกสารเรียงรายพร้อมประตูที่เปิดตรงสู่ห้องเลขานุการ เบื้องหน้ามีโต๊ะทำงานของเขาวางอยู่ นี่มัน...ห้องทำงานในสแตนบูก

พอรู้ตัวแล้วว่ากำลังอยู่ ณ ที่ใด แฮร์วูล์ฟหันขวับไปมองยังร่างในชุดคลุมดำที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายลึกลับผู้นี้เป็นใครกันแน่หนอ

ยังไม่ทันที่ความคิดของเขาจะแล่นไปได้สักเท่าไร ชายในมัชฌิมวัยกลับเดินตรงไปยังโต๊ะทำงาน สายตาลากไล้ตั้งแต่ที่วางปากกา เรื่อยลงมายังลิ้นชักชั้นแรก และหยุดอยู่ที่ลิ้นชักชั้นที่สองอันเป็นชั้นที่เขาแทบจะไม่เคยเปิดเลย  

สายตาที่หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นทำให้เขาต้องรีบหันหาตู้กุญแจ หยิบเอาลูกกุญแจมาไขเปิดมันออก และในลิ้นชักสีเทามีเพียงหนังสือสีเลือดหมูเก่าเก็บนอนนิ่งอยู่ในนั้นเพียงเล่มเดียว แฮร์วูล์ฟคว้ามันมาเปิดออกดู ที่ปกในมีลายมืออ้วนป้อมของเด็กเพิ่งหัดสะกดคำ เขียนเอาไว้ว่า

‘แด่อะดอล ล็อฟ’

นั่นชื่อเขา! แม้นเธอจะสะกดไม่ถูกทุกตัวอักษร แต่ว่านั่นมันชื่อเขา! ชื่อจริงที่ไม่ใช่สมญา และถ้านี่เป็นหนังสือของเขา ถ้ามันเป็นเรื่องจริง...ถ้า...

“ไม่จริง! นี่ไม่ใช่หนังสือของผม ผมไม่ได้เลอะเลือน ลำแสงนั้นมาสู่ผม ผมคือสาวกแห่งพระองค์ พระองค์สื่อสารกับผม” เขาตะเบ็งเสียงลั่น ดวงตาสีน้ำตาลที่ลุกโชนด้วยไฟโทสะจ้องตรงไปยังดวงตาสีน้ำตาลอันสงบเยือกเย็นไร้อารมณ์ใดๆของผู้ที่สูงวัยกว่า

ชายลึกลับที่เรียกเขาด้วยสมญานั้นคือใคร แฮร์วูล์ฟพยายามเค้นความคิดอย่างหนัก แต่สมองของเขาก็ยังคงว่างเปล่า อีกครั้งที่เขาเพ่งลึกลงในดวงตาของผู้ที่อยู่ตรงหน้า และชั่วขณะหนึ่งเหมือนมีบางอย่างแลบแล่นเข้ามาในใจ เขารู้แล้ว รู้แล้วว่ามันคือใคร

“แก! ไอ้ปีศาจ!” ชายหนุ่มสาดน้ำคำกราดเกรี้ยวใส่ชายลึกลับ “แกตั้งใจจะมายั่วยุให้ฉันหมดศรัทธาในพระองค์ ไม่! ฉันจะไม่ลุ่มหลงกับภาพมายาและคำลวงของแก ไอ้ปีศาจ!”

“ปีศาจ?” ชายในมัชฌิมวัยเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม ก่อนจะรินน้ำคำราบเรียบออกมาว่า “แน่ละเจ้าต้องเรียกข้าว่าปีศาจ เพราะถ้าข้ามิใช่ปีศาจและปาฏิหาริย์ที่อีเพรสมิได้บังเกิดแก่เจ้า หากแต่เป็นเพียงเรื่องง่ายๆอย่างเช่นเจ้าสับสนระหว่างความจริงกับความจำอันเกิดจากหนังสือที่เจ้าเคยอ่านในวัยเด็ก เจ้าก็จะเป็นแค่ แฮร์วูล์ฟ ชายที่หาความชอบธรรมให้แก่การกระทำของตัวเองไม่ได้เลย”

“ความชอบธรรมหรือ...” ชายหนุ่มทวนคำ พลางหัวเราะอยู่ในลำคอ ราวกับคำคำนั้นมันน่าขบขันเสียเหลือเกิน “สิ่งที่ผมทำย่อมมีความชอบธรรมแน่นอน อย่างน้อยผมก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผมเป็นประธานาธิบดีที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไวมาร์ ผมคือคนที่ประชาชนแซ่ซ้องสรรเสริญ”

เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน ปิดเปลือกตาลงพร้อมกางสองแขนออกไปด้านข้าง ในโสตประสาทได้ยินเสียงผู้คนมากมายกรีดร้องด้วยความรักและเลื่อมใสราวกับจะตายแทนเขาได้ เสียงแซ่ซ้องหลั่งไหลถั่งท้นไปทุกหย่อมหญ้า นโยบายกับอีกร้อยคำโน้มน้าวชักนำที่เขาและเจ้ากระทรวงโปรปะกันดาป้อนให้กำลังเฟื่องฟุ้งอยู่ในจิตใจของปวงชน

เปลือกตาของเขาค่อยๆขยับเปิดออกเพื่อจะพบว่าตนกำลังยืนอยู่บนเวที แขนข้างหนึ่งเหมือนจะกางออกทางด้านข้างแต่ข้อศอกจรดปลายมือนั้นหักลงดิน ส่วนแขนอีกข้างพุ่งสูงสู่เบื้องหน้าประหนึ่งจะชี้หน้าฟ้าด้วยนิ้วเหยียดตรงทั้งห้านิ้ว

ด้านล่างเวทีแน่นขนัดไปด้วยผู้คน พวกเขาเหมือนตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด หลายคนกรีดร้องด้วยถ้อยสำเนียงที่แสดงเจตจำนงว่าเห็นด้วย หลายคนเต็มตื้น น้ำตาเอ่อคลอ และอีกหลายคนลุกขึ้นยืนทำท่าเดียวกันกับเขาอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความคลั่งไคล้เป็นที่สุด

สายตาของเขากวาดไล่ไปตามฝูงชน เคลื่อนคละไปตามแนวเหล็กกั้นที่ด้านล่าง แล้วเลื่อนกลับขึ้นมายังพื้นที่ว่างของเวที ข้างกายเขาที่ซึ่งไม่ควรจะมีใครนอกจากโจเซฟ เกิบเบลเพื่อนและลูกน้องของเขา กลับมีร่างของชายวัยกลางคนในชุดคลุมดำอยู่แทนที่ เขายืนอยู่ที่นั่น ตรงนั้น ตลอดเวลา

“นี่หรือคือความชอบธรรมที่เจ้าว่า แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหนเสียแล้วเล่า” ชายลึกลับกล่าว

“ทั้งหมดนี้เป็นพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า ผมคือสาวกผู้ซื่อสัตย์แห่งพระองค์ ทุกอย่างพระองค์ทรงดลบันดาลให้เป็น”

แฮร์วูล์ฟกล่าวพลางลดแขนทั้งสองข้างแนบลำตัว หมุนเท้าทำซ้ายหันแล้วกางแขนในท่าเดิมอีก เพียงเท่านี้ผู้คนที่ปีกซ้ายของเวทีก็ลุกขึ้นยืน ส่งเสียงแซ่ซ้องและทำตาม

“นี่หรือคือสิ่งที่พระองค์ทรงดลบันดาลให้เป็น”

เสียงชายวัยกลางคนแทรกผ่านสรรพสำเนียงทั้งหลายรอบตัว ร่างภายใต้เสื้อคลุมกำมะหยี่ทะมึนเขยื้อนเข้ามาใกล้ แลปล่อยถ้อยคำออกมาแค่ว่า

“แล้วแบบนี้เล่า”

กรี๊ดดดดดดดด !

ฉับพลันเสียงหวีดร้องอย่างเสียขวัญสุดขีดก็กรีดเข้ามาในโสตประสาท ฝูงชนที่เต็มตื้นไปด้วยความคลั่งไคล้หลงใหลในตัวเขามลายหายไป วันฟ้าใสกลับกลายเป็นวันฟ้าโศกเทา บรรยากาศทึมทึบห่มรอบกาย พร้อมกลิ่นอับโชยมากับสายลม และสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเขาก็คือเหล่าร่างผอมโซ ผิวซีด ตาเหลือกโปน แต่ละคนล้วนนอนแน่นิ่งไม่ติงไหว บรรดาร่างเหล่านั้นสุมทับกันไว้เป็นสุสานมนุษย์กองใหญ่เท่าภูเขาเลากา ที่ตีนเนินแห่งซากศพมีเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งกรีดร้องชำแรกมาในอากาศ

ชั่วเวลาหนึ่งที่รอยยิ้มอย่างสาแก่ใจแสยะขึ้นบนมุมปากของแฮร์วูล์ฟ เขายืดตัวตรงอย่างสุดแสนจะภาคภูมิใจ ก่อนจะหลุดน้ำคำออกมาว่า

“พวกมันทำให้อาณาจักรของเราสกปรก คริสเตียนอย่างเราไม่ควรอยู่ร่วมผืนแผ่นดินเดียวกับพวกมัน”

“พวกเขามีพระเจ้าพระองค์เดียวกับเจ้า”

จากคุณ : โกมุท
เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 18:28:54




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com