“การกระทำของข้าหรือ จะ..จะให้ทำอย่างไร?”
เจิ้งเยี่ยอิงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงขาดห้วงอย่างสับสนงุนงง ไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดแม้แต่น้อย
“ทำตามที่ข้าบอก”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางปลดแขนทั้งสองของนางที่กอดรัดเขาเอาไว้ออกด้วยทีท่าเฉยเมย “ทุกอย่าง” เขาเอ่ยย้ำอีกครั้งก่อนจะหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับนาง
“เจ้าจะทำได้หรือไม่”
เจิ้งเยี่ยอิงมองเขาด้วยความทุกข์ใจ เขาถามออกมาราวกับต้องการเปิดโอกาสให้นางได้เปลี่ยนใจกระนั้น ท่าทางเย็นชาของคนตรงหน้ายังทำให้นางเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เขายังคงยืนอยู่ตรงหน้านางนี่เอง แต่ว่ากลับสามารถทำให้นางรู้สึกราวกับว่าไม่อาจแตะต้องสัมผัสเขาได้อีกต่อไป นางทนไม่ได้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
“ท่านว่ามาสิ ท่านต้องการให้ข้าหาสิ่งใดมาพิสูจน์เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง” นางเอ่ยออกมาด้วยความมุ่งมั่น ไม่ว่าเขาจะต้องการให้นางทำสิ่งใดนางก็จะทำ แม้จะยังงุนงงและเจ็บปวดกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างปุบปับของเขาก็ตาม
“เจ้าไม่ต้องไปหามันที่ไหนหรอก สิ่งนั้นย่อมจะมีอยู่ในตัวของเจ้าอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มพูด ใบหน้างามนิ่งสนิทไม่บ่งบอกอารมณ์ว่าผู้เป็นเจ้าของกำลังคิดอะไรอยู่แม้เศษเสี้ยว จนอดทำให้คนมองนึกสงสัยไม่ได้ว่าชายคนนี้เคยมีความรู้สึกใด ๆ ดังเช่นมนุษย์ปุถุชนทั่วไปบ้างหรือไม่ ราวกับว่าท่าทางอ่อนโยนความห่วงหาอาทรที่เขาแสดงต่อนางหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นเพียงการเสแสร้งเล่นละครของเขาอีกฉากหนึ่งเท่านั้น และหากเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็ใจร้ายกับนางเกินไปแล้ว
“หมายความว่าอย่างไรกัน”
นางถามออกมาด้วยความสงสัย นี่เขาต้องการอะไรกันแน่
หยางเฟยเยี่ยไม่ได้ตอบคำถามนั้นออกมาเพียงแต่เดินผ่านนางเข้าไปทรุดนั่งลงบนเตียงแล้วเอ่ยคำสั่งแรกออกมา
“ถอดเสื้อคลุมนั้นออกซะ”
ใบหน้าและแววตาของเขาในยามนี้นิ่งสนิทอย่างยิ่ง ราวกับเรื่องที่เขาเอ่ยออกมานั้นไม่สลักสำคัญอะไรแม้แต่น้อย เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้กระนั้น แต่หากถอดผ้าผืนนี้ออกไปร่างนางก็จะไม่มีอะไรปกปิดเอาไว้อีกแล้วนะสิ หญิงสาวจ้องมองเขาด้วยแววตื่นตะลึงราวกับไม่เชื่อว่าได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาจริง ๆ
“ท่านว่าอย่างไรนะ ถอดเสื้อผ้าออกหรือ นี่ท่านแค่ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?”
นี่เขาจะให้นางทำเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าเช่นนั้นออกไปได้อย่างไร การที่เขาเป็นผู้ลงมือปลดเปลื้องอาภรณ์ของนางนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การให้นางเป็นคนลงมือถอดเสื้อผ้าต่อหน้าต่อตาเขาด้วยตัวเองนั้นเป็นอีกเรื่องอย่างสิ้นเชิง และยิ่งถอดโดยมีเขานั่งจ้องตาไม่กะพริบก็ยิ่งดูเป็นเรื่องที่นางไม่แม้แต่จะคิดฝันมาก่อนว่าตนจะสามารถทำได้
“ข้าดูเหมือนคนที่กำลังล้อเล่นอยู่หรือ” เขาตอกกลับอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “หากเรื่องเพียงแค่นี้เจ้าก็ยังทำไม่ได้แล้วเรื่องต่อจากนี้เจ้าจะทำได้หรือ? หรือคำพูดที่เจ้าเอ่ยมาเป็นเพียงแค่คำที่เจ้าเอ่ยออกมาแต่ไม่มีความหมายใด ๆ”
คำพูดของเขาฟังดูไร้เหตุผลอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่านางจะกล่าวอะไรได้เล่า หากโต้แย้งก็เกรงว่าจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกกระมัง
“ข้าจะทำ!”
คำพูดหลุดออกมาจากปากของเจิ้งเยี่ยอิงได้อย่างยากเย็น มือบางสั่นระริกที่นางรู้สึกว่ามันช่างเย็นเฉียบราวกับเพิ่งแช่ในถังน้ำแข็งมาก็มิปาน หญิงสาวค่อย ๆ เปลื้องอาภรณ์ที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียวออกจากร่างอย่างเชื่องช้า ในตาเอ่อคลอด้วยน้ำตาราวกับสามารถกลั่นออกมาเป็นหยาดหยดได้ตลอดเวลา นางจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกของคนที่กำลังนั่งรอให้เพชฌฆาตลงดาบอยู่บนแท่นประหารก็มิปาน
ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปอีก ท่าทางของเขาในยามนี้ดูน่ากลัวดุดันไม่ต่างจากในวันนั้น ขาดก็แต่ในวันนี้เขามิได้กระโจนเข้าใส่นางเท่านั้น นี่นางกับเขามีที่ใดที่เข้าใจไม่ตรงกันกันแน่
สิ่งที่แตกต่างในคืนนี้กับครั้งก่อนคงมีเพียงความรักที่นางมีต่อเขากระมัง เห็นได้ชัดว่าหากเป็นเมื่อก่อนหน้านางคงเดินออกไปโดยไม่รู้สึกอะไรได้เพราะเขาก็เพียงแค่บอกให้นางทำเท่านั้นไม่ใช่หรือ หากนางไม่ต้องการไหนเลยจะยอมทนให้เขาบังคับขู่เข็ญตนเช่นนี้เล่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่ นางทำแบบนั้นไม่ได้ เดินจากไปโดยที่ต้องแลกกับการสูญเสียเขาไปจริง ๆ ไม่ได้
ร่างแบบบางเปล่าเปลือยปรากฏสู่สายตาเขา มือทั้งสองข้างที่ปล่อยทิ้งลงข้างลำตัวกำแน่นด้วยกลัวว่ามันอาจจะยกขึ้นมาปกปิดร่างของผู้เป็นเจ้าของด้วยความกระดากอายตามสัญชาตญาณ ในตอนนี้นางไม่กล้าแม้แต่จะสบตาของเขาที่จ้องมองมา
หยางเฟยเยี่ยมองสตรีตรงหน้าด้วยท่าทีเฉยชาดุจเดิมราวกับมิได้รู้สึกใด ๆ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายในยามนี้กลับแตกต่างกับสิ่งที่แสดงออกมาอย่างสิ้นเชิง เขารู้สึกหนักอึ่งราวกับเลือดเนื้อที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายตนทั้งร่างทำจากเหล็กพันชั่งก็มิปาน แต่ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่ไม่ควรพูดเขาก็ได้พูดออกไปแล้วตามแรงอารมณ์ ช่างเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายเสียนี่กระไร จนถึงขั้นสามารถกัดกร่อนสติสำนึกของเขาได้เป็นครั้งแรกในชีวิต กระนั้นเขาก็ยังคงคิดว่าการที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอาจจะเป็นเรื่องที่ถึงเวลาแล้วก็เป็นได้ หากนางและเขาไม่สะบั้นขาดจากกัน สถานการณ์กระอักกระอ่วนตั้งแต่ในวันนั้นก็จะได้จบลงเสียที
แม้ว่าเขาจะมิได้ปรารถนาการแต่งงานในครั้งนี้ แต่จะอย่างไรนางก็เป็นภรรยาของเขา เป็นผู้ที่เขาไม่ควรระบายโทสะของตนลงไปมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้เขาจะมิได้รักนาง แต่ควรแล้วหรือที่จะทำให้นางหวาดกลัวและเจ็บปวด
เจิ้งเยี่ยอิงยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม เวลาที่ผ่านไปนานแสนนานในความรู้สึกของนางจนหญิงสาวนึกกลัวว่ามันจะไม่มีวันสิ้นสุด ร่างของนางสั่นระริกส่ายโงนเงนไปมา รู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง ทว่าในชั่วเสี้ยววินาทีที่คิดว่าร่างของตนจะทรุดลงไปกองบนพื้นนั่นเอง อ้อมแขนอันแข็งแกร่งที่ไม่ทราบโผล่มาได้อย่างไรก็ได้โอบกอดนางไว้อย่างแนบแน่นรั้งไม่ให้ร่างของนางล้มลงไป
“ในเมื่อเจ้าไม่อาจที่จะมีใจให้ข้าได้ สิ่งที่พวกเรามีร่วมกัน... สิ่งที่ข้าและเจ้าจะมีร่วมกันต่อจากนี้ก็หลงเหลือเพียงความปรารถนาอย่างลึกล้ำเท่านั้น ในเมื่อข้าปรารถนาเจ้าอย่างลึกล้ำ เจ้าก็ต้องมีความปรารถนาต่อข้าอย่างลึกล้ำไม่ต่างกัน” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
คำพูดของเขานั้นราวกับสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงลงมาบนกายนางสายแล้วสายเล่า ในที่สุดสิ่งที่นางพูด คำพูดอันไม่ยั้งคิดของนางเมื่อก่อนหน้าก็ได้ถูกเขาย้อนกลับมาทำร้ายตัวนางเองจนได้
“ข้า...”
นางหยุดคำพูดของตนเอาไว้เพียงแค่นั้น ไม่สามารถเอ่ยคำบอกรักเขาออกไปได้ เพราะต่อให้นางพูดออกไปในยามนี้เขาก็คงจะไม่เชื่อนางอยู่ดี รังแต่จะทำให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านดุดันยิ่งไปกว่านี้เท่านั้น
ได้แต่โทษที่ตัวนางช่างขี้ขลาดเหลือเกิน หวาดกลัวคำพูดของตนเองทั้งที่ยังไม่ได้กล่าวออกมา
เมื่อไม่เคยรักใครนั้นการจะบอกว่าไม่รักเขาก็เป็นเรื่องง่ายดายอย่างมาก แต่เวลารักเขาแล้วการจะตัดใจนั้นกลับเป็นเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อ และการจะเอ่ยคำรักออกมาหลังจากที่บอกว่าจะไม่มีวันรักเขานั้นก็เป็นเรื่องที่ยากไม่แพ้กัน
ได้แต่หวังว่าความรักที่นางมีต่อเขา จะสามารถส่งไปถึงเขาได้ในสักวันหนึ่งเท่านั้น...
เจิ้งเยี่ยอิงปล่อยกายลงสู่อ้อมแขนกระชับแน่นของหยางเฟยเยี่ย ปล่อยให้เขาโอบประคองและก้มลงตวัดแขนโอบอุ้มนางขึ้นมาในอ้อมแขนแกร่งกำยำ ร่างของหญิงสาวถูกโอบอุ้มอย่างอ่อนโยนจนน่าแปลกใจด้วยอ้อมแขนแกร่งของเขา
หยางเฟยเยี่ยนำร่างอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงของนางไปวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ในขณะที่เจิ้งเยี่ยอิงยังคงกำมือเป็นกำปั้นเล็ก ๆ แน่นอยู่ข้างลำตัว สะกดกลั้นความกระดากอายเอาไว้ไม่ให้มือทั้งคู่เลื่อนขึ้นมาปกปิดกายเปล่าเปลือยของตนอย่างสุดความสามารถ
ท่าทีของเขากลับแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงอีกครั้ง ราวกับในร่างของเขามีบุรุษที่อารมณ์ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถึงสองคน คนหนึ่งกร้าวกระด้างเย็นชาอย่างสุดแสน ทว่าอีกคนกลับอ่อนโยนนุ่มนวลต่อนางอย่างสุดซึ้ง
เขายังคงไม่เอ่ยคำใดออกมา นางเองก็เช่นกัน พวกเขาทั้งสองต่างก็พร้อมใจกันปล่อยให้ความเงียบกลืนกินบรรยากาศรอบกายอย่างเงียบงัน เขาเดินไปหยิบกระปุกเคลือบที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างเตียงแล้งทรุดนั่งลงตรงหน้านาง มือหนาคลี่ขาของนางให้แผ่ราบลงไปบนพื้นเตียงอย่างนุ่มนวลแล้วค่อย ๆ ป้ายของเหลวสีอำพันในกระปุกขึ้นมา ทามันลงบนผิวบริเวณท่อนขาและเท้าของนางอย่างแผ่วเบา จากนั้นมือหนาก็ค่อย ๆ ลูบไล้บีบคลึงขาของนางจนกล้ามเนื้อที่เกร็งเขม็งจากความเจ็บปวดของนางค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
ยามที่ความเจ็บปวดเริ่มแผ่วจางลงความรู้สึกซ่านสยิวกลับค่อยคืบคลานแผ่ซ่านเข้ามาเกี่ยวขยุ้มร่างทั้งร่างของนางจนไม่สามารถที่จะต่อต้านหรือขัดขืนได้เลยจากสัมผัสของเขา เจิ้งเยี่ยอิงรู้สึกได้ถึงใบหน้าของตนที่แดงซ่านโดยไม่ต้องอาศัยกระจกมาส่องดู ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อสะกดกลั้นเสียงครางเอาไว้จนปากแดงจิ้มลิ้มนั้นเผือดซีด
แผ่นหลังนางทิ้งลงสู่พื้นเตียงอย่างสิ้นเรี่ยวแรงไปนอนแล้ว ร่างบางอ่อนระทวยจากสัมผัสที่กลายเป็นการลูบไล้เคล้นคลึงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ ทุกสัมผัสของเขาราวกับเต็มไปด้วยจังหวะที่ปลุกกระตุ้นเร่งเร้าให้ความต้องการของนางลุกโพลงและทำให้สติของนางค่อย ๆ พร่าเลือน
ใบหน้างามแหงนเงยขึ้นมองสบตาของนาง นัยน์ตาดำสนิทดุจดังราตรีกาลนั้นจ้องสบกับนัยน์ตาหวานหวามเลื่อนลอยของนาง ดูดกลืนนางด้วยไฟที่ลุกโพลงคุกรุ่นด้วยความปรารถนาเร่าร้อนของเขาที่ถูกเก็บกดไว้เป็นเวลานาน
ชายหนุ่มค่อย ๆ โน้มกายลงครองครองทรวงอกอิ่มของนางอย่างละเมียดละไมราวกับตกอยู่ในภวังค์ ดูดกลืนยอดกุหลาบสีชมพูด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนของเขา เรียกเสียงครางวะหวิวจากปากของนางออกมา แล้วจึงเลื่อนกายแกร่งขึ้นทาบทับนาง ริมฝีปากบางเลื่อนขึ้นมาครอบครองดูดกลืนริมฝีปากที่เผยออ้าด้วยความรัญจวนใจของนาง ดูดดื่มความหอมหวานภายในโพรงปากของสตรีใต้ร่างตนด้วยความอ่อนโยน เรียวลิ้นอ่อนนุ่มนั้นก็กระตุ้นเร้าเรียกร้องการตอบสนองจากนางเช่นกัน
นิ้วมือเรียวเล็กทั้งสิบนิ้วของเจิ้งเยี่ยอิงไม่ทราบว่าเลื่อนขึ้นไปเกาะกุมบ่ากว้างของเขาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อใดกระนั้นในตอนที่มือของเขาหลอกล้อเคล้นคลึงอกอิ่มทั้งคู่ของนางก็เป็นยามที่นิ้วมือทั้งสิบจิกลงบนลาดไหล่กว้างของเขาเพื่อเป็นการระบายความซ่านสยิบที่ผุดขึ้นมาในร่าง แล้วจึงเลื่อนขึ้นไปสอดไซร้เส้นผมดำขลับหนานุ่มที่บัดนี้หลุดจากเชือกที่ร้อยรัดพวกมันเอาไว้จนเส้นไหมหนานุ่มรุ่ยร่ายทิ้งตัวลงมาเหนือร่างนางอย่างเผลอไผลเพราะศีรษะที่ค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงไปของเขา
ท่ามกลางความคิดอันพร่าเลือนนั้น เจิ้งเยี่ยอิงค้นพบด้วยความแปลกใจว่าในยามนี้เขาก็เปล่าเปลือยไม่ต่างจากนาง เสียงสะอื้นจุกอยู่ในลำคอยามที่สัมผัสถึงความต้องการร้อนเร่าของเขา นางถูกปลุกเร้าด้วยความปรารถนาร้อนแรง ตามด้วยความใกล้ชิดทางกายที่เขาเป็นผู้จุดขึ้น มือเรียวบางของนางเริ่มหาญกล้าขึ้นยามที่ลูบไล้สัมผัสแสดงออกอย่างเงียบ ๆ ถึงความรักความต้องการที่นางไม่มีความกล้าหาญพอที่จะแสดงมันออกมาเป็นคำพูด
หยางเฟยเยี่ยสอดมือข้างหนึ่งพันเกี่ยวเข้ากับเรือนผมยุ่งเหยิงนุ่มสลวยของเจิ้งเยี่ยอิง ดึงให้ใบหน้านางแหงนเงยขึ้นมา ขณะที่นางยังคงหอบหายใจสะท้านด้วยแรงปรารถนาที่เขาเป็นผู้จุดชนวนขึ้นมา นัยน์ตาสีเข้มจ้องสานสบดวงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาไม่ต่างกันของนางที่ไม่อาจปิดบังจากเขาได้อีกต่อไปอย่างพึงพอใจ
ความปรารถนาทางกายประกอบกับการที่ต้องอดกลั้นไม่แตะต้องนางมานานนับเดือนทำให้ความอดทนของเขาสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น มือแกร่งข้างหนึ่งรวบข้อมือเล็กบางทั้งสองข้างของนางขึ้นเหนือศีรษะก่อนที่จะฝากฝังความปรารถนาที่อดกลั้นมาเนิ่นนางเข้าสู่ร่างบอบบางสั่นไหวของนาง
ราวกับสิ่งที่รอคอยมาเนิ่นนานได้ถูกเติมเต็ม เมื่อในที่สุดเขาก็โจนจ้วงเข้าสู่ความอ่อนนุ่มเปียกชื้นของนางอย่างดุดันรุนแรง เรียกเสียงอุทานด้วยความแตกตื่นของนางก่อนที่จะแปรเปลี่ยนให้มันกลายเป็นเสียงครวญครางด้วยความรัญจวน
ฉุดกระชากให้หญิงสาวถลำลึกลงสู่ความมืดมิดผ่าวร้อนเบื้องหลังม่านตาที่หรี่ปรือ ทำลายเศษเสี้ยวสุดท้ายของการควบคุมตัวของนางจนแหลกละเอียด หญิงสาวเปล่งเสียงครางด้วยความเสียวซ่าน เตลิดไกลเกินกว่าจะยับยั้งตัวเองเอาไว้ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกที่ราวกับว่าทั้งชีวิตของนางมีเพียงเขาที่สามารถเกาะเกี่ยวแนบชิดไว้ได้เป็นครั้งแรก
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขสมที่กายของทั้งคู่แนบชิดสั่นสะท้านนั้น แขนแกร่งกำยำก็โอบกระชับร่างนางแนบแน่นพลิกให้ร่างของนางมาทาบทับอยู่บนร่างของเขา ร่างที่อ่อนปวกเปียกหมดสิ้นเรี่ยวแรงจะช่วยเหลือตนเองหรือปฏิเสธป้องกันใด ๆ ของนางได้แต่โอนอ่อนผ่อนตามให้เขาได้ทำตามใจปรารถนาหลังจากที่ผ่านพายุอารมณ์อันรุนแรง
“เจ้าร้องไห้หรือ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงแหบห้าวด้วยอารมณ์ที่ยังพลุ่งพล่าน
“เอ๊ะ! ข้านะหรือร้องไห้”
นางอุทานเอ่ยถามออกมาอย่างแตกตื่นงวยงงจนต้องยกมือขึ้นสัมผัสกับใบหน้าของตนเองและพบว่าแก้มนวลเปียกชื้นอยู่จริง ๆ
“อะ...อาจจะเป็นเหงื่อก็ได้”
นางตอบอ้อมแอ้มเพราะไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเหงื่อหรือว่าเป็นน้ำตาของนางเองกันแน่ ได้แต่ซุกใบหน้าเข้ากับแผงอกที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามแกร่งกำยำของเขาอย่างไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไรออกไปดี รับรู้ได้ถึงแก่นกายของเขาที่ยังคงมิได้ถอดถอนออกไปจากร่างของนางด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ชายหนุ่มยกมือแกร่งขึ้นลูบใบหน้าของหญิงสาวผู้ที่มีท่าทางขวยเขินอีกครั้งในอ้อมแขนของตนเบา ๆ แล้วเชยคางมนของนางขึ้นให้สานสบสายตากับนัยน์ตาคมเข้มวาววามของตน
“ไม่ต้องอายไปหรอก เจ้าทำให้ข้ามีความสุขมาก”
เขาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มตรึงใจแล้วจูบซับหยดน้ำบนใบหน้าของนางจนถ้วนทั่วอย่างอ่อนโยน
ทั้งคำพูดและการกระทำของเขาทำให้ใบหน้าของนางยิ่งแดงก่ำราวกับถูกไฟลน แต่ทว่านางมิได้หลบเลี่ยงสัมผัสของเขาอีกต่อไป นางได้ตัดสินใจแล้วไม่ว่าอนาคตวันหน้าจะเป็นอย่างไรแต่ในยามนี้นางขอปล่อยกายปล่อยใจมีความสุขไปกับการมีเขาอยู่ใกล้ ๆ และเป็นที่ต้องการของเขาก็เพียงพอแล้ว
คืนวันนับจากนั้นนับว่าผ่านไปได้อย่างราบรื่นอย่างยิ่ง ทั้งนางและเขาแม้จะยังคงมีกำแพงไร้ลักษณ์ขวางกั้นอย่างที่มิอาจฝ่าทำลายลงได้ ทว่าความใกล้ชิดในความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกลับแนบแน่นอย่างแยกไม่ออก
แม้ในช่วงเวลานี้นางจะมีความสงสัยบางอย่างที่ไม่เคยเอ่ยถามเขาออกมาในเรื่องที่พักหลัง ๆ มานี้เขามักจะมีเวลาว่างและอยู่กับนางมาก จนแทบจะเรียกได้ว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ว่าในยามราตรีหรือในเวลากลางวัน แต่เนื่องจากว่าความข้องใจนั้นต่างไม่สำคัญสำหรับนาง เจิ้งเยี่ยอิงจึงเพียงหยิบฉวยเอาความสุขและดื่มด่ำกับช่วงเวลาเหล่านี้อย่างสุขใจเท่านั้น
วันนี้เป็นอีกวันที่พวกเขาเข้ามาหลบอากาศหนาวกันอยู่ในห้องหนังสือ แม้ในยามราตรีทั้งสองจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดคืน ทว่าในยามที่เขาไม่ออกไปทำงานข้างนอกนั้นเขาก็มักจะให้เสี่ยวปี้ไปตามนางให้มาอยู่เป็นเพื่อนเขาในห้องหนังสือหรือไม่ก็ที่ศาลาริมน้ำอยู่เสมอ และในหลายวันมานี้เขาก็แทบจะไม่ได้ก้าวออกจากจวนเลย และนางยังเห็นว่ามักจะมีหนังสือราชการส่งมาให้เขาสะสางที่ห้องหนังสืออยู่เสมอ
“เจ้าง่วงอีกแล้วหรือ?”
หยางเฟยเยี่ยเอ่ยถามออกมาในบ่ายวันหนึ่งเมื่อเห็นว่าผู้เป็นภรรยายกมือขึ้นป้องปากในยามที่นางอ้าปากหาวอย่างไม่อาจสะกดกลั้น มือข้างหนึ่งของเขาพลิกปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้ ส่วนอีกข้างยกขึ้นลูบแก้มแดงเรื่อของนางในอาการหยอกเย้า รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้างามยามที่เขาแสดงท่าทีใกล้ชิดกับนาง
การที่ชายหนุ่มถามเช่นนั้นไม่ได้ทำให้เจิ้งเยี่ยอิงแปลกใจเลยสักนิด เพราะก่อนหน้านี้เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามนางก็ได้งีบหลับไปแล้วตื่นหนึ่ง แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่รู้สึกง่วงงุนตลอดเวลา แต่นางก็เพียงเอ่ยตอบรับาไปคำหนึ่งก่อนที่จะซุกตัวล้มลงไปนอนโดยยึดต้นขาข้างหนึ่งของเขาเป็นหมอนแล้วพริ้มตาหลับลงไปอย่างถือสิทธิ์จนกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปโดยธรรมชาติเสียแล้ว
เจิ้งเยี่ยอิงไม่ต้องการที่จะมากังวลคิดถึงสิ่งใดอีกต่อไปในยามนี้ นางเพียงหวังว่าช่วงเวลาเช่นนี้จะทอดยาวออกไปไม่สิ้นสุด ช่วงเวลาที่มีเพียงเขาและนางอยู่ด้วยกัน เพียงแค่นี้นางก็พอใจมากแล้ว
จากคุณ |
:
Black Chip (siMiSma)
|
เขียนเมื่อ |
:
26 มี.ค. 54 23:09:56
|
|
|
|