ยามรุ่งสาง... ‘ปลา’ ค่อยๆ ว่ายขึ้นสู่ฝั่งและสลายหายไป ทิ้งคนทั้งสามที่เคยอยู่ภายในตัวของมันให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่ในน้ำทะเลสูงราวเข่า
“ทางนี้” อาเมียร์ก้าวนำหญิงทั้งสองลุยน้ำขึ้นหาดทราย แอชลีนน์เข้าใจทันทีว่าทำไมเขาจึงกำชับให้เธอสวมรองเท้าบู๊ตสูงค่อนน่อง และรัดชายขากางเกงไว้ข้างในให้แน่น
ระดับน้ำยังสูงเลยรองเท้า และทำให้ขากางเกงนั้นเปียกได้อยู่ดี แต่ก็ยังเล็กน้อย...เมื่อเทียบกับเคียราซึ่งต้องเร่งยกชายกระโปรงยาวกรอมเท้าขึ้นเป็นพัลวัน ...แน่นอนว่าไม่ทันกาล
เจ้าหญิงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วยยกชายกระโปรงให้ พร้อมกับร้องถามผู้นำทาง
“อาเมียร์ ท่านมีเสื้อผ้ากับรองเท้าอีกไหม ข้าว่าเคียราคงต้องใช้”
เธอเพิ่งสังเกตเต็มตาว่าผมสีดำที่เคยยาวลงมาถึงกลางหลังและรวบมัดหางม้าไว้นั้นหายไปแล้ว เวลานี้ปลายผมของเขาสั้นราวปลายคางเท่านั้น ทีแรกแอชลีนน์นึกไปว่าเขารวบผมเก็บเอาไว้ในคอเสื้อเพื่อความคล่องตัว แต่ไม่ทันนึกว่าจะตัดเสียจริงๆ ...ทว่านี่คงไม่ใช่เวลาถาม
“ขอโทษนะ ข้าเอาติดมาแค่ชุดเดียว” เขาเหลียวมาตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ถ้าไม่ติดเรื่องความคล่องตัว คงเอาของมาด้วยมากกว่านี้”
“เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก” แอชลีนน์ตอบ
“แต่วันนี้แดดน่าจะดี ไม่นานเสื้อผ้าคงแห้งเอง” อาเมียร์แหงนหน้าบอก เมื่อทั้งสามขึ้นมาถึงบริเวณผืนทรายละเอียดแล้ว
เลยไปเป็นแนวป่ารกครึ้ม หญิงสาวนึกอยากถามว่าเวลานี้พวกเขาอยู่ที่ใด ...หากไม่ติดว่าเคียราซึ่งอาจต้องกลับก่อนจะรู้ไปด้วย
อาเมียร์นำพวกเขาเข้าไปในป่า แวะพักล้างหน้า ตลอดจนกรอกน้ำดื่มใส่ถุงหนังกันที่ลำธารสายหนึ่ง (รวมถึงเคาะทรายและล้างรองเท้าของเคียรา) ก่อนจะไปหยุดที่ลานแคบๆ ท่ามกลางวงล้อมของต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ
ชายหนุ่มมองตรวจตราโดยรอบอยู่อีกครู่ ครั้นแล้วจึงเดินวนรอบบริเวณนั้นหนึ่งรอบ พร้อมกับใช้นิ้วปาดบนลำต้นไม้เบาๆ ในแนวขวาง
และทิ้งตัวลงนั่งพิงโคนไม้ต้นหนึ่ง ก่อนจะหยิบถุงผ้าใบเล็ก ลักษณะเหมือนใส่ของแห้งออกมา
“ในนี้มีเนื้อแห้งกับผลไม้แห้ง หากหิวก็กินไปก่อนนะ ไว้ข้าพักผ่อนแล้วจะหาของในป่ามาทำอาหารให้ เมื่อคืนใช้พลังเวทไปเยอะเกินคาด”
แอชลีนน์รู้สึกเหมือนตนรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งจากสีหน้าที่ค่อนข้างซีด เหงื่อที่ย้อมเส้นผม ตลอดจนท่าทางอิดโรยของเขา
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่หิว ท่านพักไปเถอะ” หญิงสาวตอบโดยไม่คิดอะไรนัก ก่อนจะนั่งลงบนรากไม้ใหญ่ไม่ไกลจากนั้น “บริเวณนี้คงไม่มีคนเข้ามาใช่ไหมล่ะ”
“ไม่น่าจะมี อีกอย่างข้าลงอาคมกำบังไว้แล้ว จะไม่มีใครเห็นว่าทางนี้เข้ามาได้ และไม่เห็นพวกเราด้วย”
“งั้นก็ดี” แอชลีนน์พยักหน้า “ข้าจะเฝ้าให้เอง วางใจเถอะ”
อาเมียร์พยักหน้าน้อยๆ ครั้นแล้วก็หลับตาลงและเงียบไป ลมหายใจของเขาแผ่วช้าเป็นจังหวะ
“องค์หญิง” เคียราซึ่งยังยืนถือชายกระโปรงเปียกอยู่พูดเบาเป็นกระซิบ
“อ้อใช่ เคียราต้องตากกระโปรงนี่นา” เจ้าหญิงลุกขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับขยับมีดสั้นประจำพระราชวงศ์ ซึ่งแขวนอยู่ที่เอว “ถอดชุดออกสิ เดี๋ยวเราตัดกิ่งไม้มาทำราวตากให้ ตอนเดินทางกับอาเมียร์ เราเคยเห็นเขาทำราวตากเสื้อมาแล้ว”
“องค์หญิง...ไม่ทรงคิดจะหนี—”
“เอ๊ะ” แอชลีนน์ขมวดคิ้ว ขับเน้นสีหน้าไม่พอใจของตน “เราพูดกันไปแล้วนี่ เคียรา”
“แต่...แต่สิ่งที่ทรงคิดไว้...มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะเพคะ...” นางกำนัลสาวดูเหมือนจะร้องไห้ออกมารอมร่อ “องค์หญิงทรงหนีออกมาอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็วันอภิเษกแล้ว ในวังต้องวุ่นวายกันแน่ ยิ่งหนียิ่งมีแต่จะทำให้พวกขุนนางไม่ยอมฟังนะเพคะ”
“เราอยู่ต่างหากถึงไม่ยอมฟัง” เจ้าหญิงพยายามเอ่ยเรียบเฉย “คิดดูสิ เคียรา เราอยู่ต่อหน้า พวกเขาก็ยังพูดเหมือนกับเราเป็นเด็ก ...ทรงทำอย่างนี้ไม่ได้ ทรงทำอย่างนั้นไม่ได้... ถ้ายอมอภิเษกกับคนที่พวกเขาเลือกให้แต่โดยดี แล้วสวมมงกุฎเป็นราชินี พวกเขาจะหันมานับถือเรา หรือยังเห็นเราเป็นเหมือนลูกสาวที่ไม่มีปากเสียงเหมือนเดิมกันแน่”
“ก็องค์หญิงทรงอ่อนพระชันษากว่าพวกเขา แล้วก็...”
“แล้วก็เป็นผู้หญิง” แอชลีนน์ต่อให้อย่างรู้ทัน “คำวิเศษคำเดียว ที่ทำให้เราเป็นแค่ตัวบอบบางต้องทะนุถนอม รู้น้อยและอ่อนแอกว่าผู้ชายไปทุกเรื่อง แถมพูดอะไรก็ไม่มีผู้ชายที่ไหนเห็นเป็นจริงเป็นจัง”
“แต่คนทรายนั่นเห็นหรือเพคะ”
เจ้าหญิงเหลือบมองลูกพี่ลูกน้องผู้มากวัยกว่า ซึ่งมีสีหน้าตะลึงงัน ราวกับประหลาดใจเช่นกันกับคำที่ตนเพิ่งพูดออกไป
“ใช่” หญิงสาวเอ่ยแผ่วเบา ทว่าหนักแน่น “เขารับฟังเรา ...มากกว่าใคร มากกว่ากระทั่งดูลัส”
“ต...แต่ถ้าเขาเอาพระทัยองค์หญิงเพราะต้องการอะไรบางอย่างล่ะเพคะ หรือเขาหลอกลวงให้องค์หญิงทรงวางพระทัย...หรือใช้มนตร์สะกด”
“มองตาเราซิ เคียรา” แอชลีนน์เดินเข้าไปหาเธอ และพยายามสบตาด้วย “นี่เป็นตาของคนที่ต้องมนตร์หรือ...หรือเจ้าเห็นเราเป็นคนโลเล หลอกลวงง่ายอย่างนั้น”
เคียราก้มหน้านิ่งงัน แลดูจนใจ
ขอแค่อีกฝ่ายเลิกพูดเรื่องนั้น เธอก็พร้อมจะพอเช่นกัน
“ถอดชุดที่เปียกออกเถอะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง “ยังมีเสื้อผ้าชั้นในไม่ใช่หรือ อาเมียร์หลับไปแล้วจะได้สะดวกหน่อย มันน่าจะแห้งทันก่อนเขาตื่น”
“ม...ไม่เป็นไรเพคะ” นางกำนัลสาวนั่งลงบนรากไม้อย่างไม่ใคร่สบายนัก “ป...เปียกแค่นิดเดียว เดี๋ยวก็แห้งไปเอง”
เจ้าหญิงยังคงคะยั้นคะยออยู่สองสามครั้ง ทว่าอีกฝ่ายก็เอาแต่ปฏิเสธตามเดิม สุดท้ายแอชลีนน์จึงตัดบท
“ตามใจ”
หญิงสาวนั่งลงใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ห่างจากอาเมียร์ ครั้นแล้วก็หยิบถุงอาหารแห้งขึ้นมากินเล็กน้อย หลังจากถามเคียราแล้วนางกำนัลสาวปฏิเสธ เจ้าหญิงรู้ว่าการเดินทางข้างหน้าคงยังอีกยาวไกล เธอควรเก็บแรงไว้
แล้วก็ควรจะห้ามตนเองไม่ให้คิดตามที่เคียราบอก ว่าเวลานี้ในพระราชวังจะยุ่งเหยิงวุ่นวายแค่ไหน และดูลัสจะรู้สึกอย่างไร
ต่อให้ไม่ได้รัก หรือขัดแย้งบาดหมางกันเพียงไร ชายหนุ่มก็เป็นคนที่เธอเคยรู้จักคุ้นเคยกันมานาน
ได้แต่หวังให้เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอ และไม่ทำให้เรื่องยุ่งยากไปกว่านี้กระมัง
...แม้ว่านั่นจะแทบเป็นไปไม่ได้อย่างไรก็ตาม
* * * * *
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
27 มี.ค. 54 02:00:11
|
|
|
|