Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มณีนาคินทร์ ตอนที่ 24 - 25 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่  24

    แม่นิ่มยกนมอุ่นๆ เข้ามาให้กัญชพรในห้องนอน เจ้าของห้องยืนพิงระเบียงที่นอกห้องนอน ใจจดใจจ่อจ้องมองและพิจารณาเจ้าดวงมณีที่ห้อยคอ เหมือนอยากจะดูให้เห็นบางสิ่งบางอย่างในมณีเม็ดนั้น  แม่นิ่มมองนายสาวที่ยืนจ้องมองเครื่องประดับที่ห้อยคออยู่ไม่วางตา  แม่นิ่มยกนมอุ่น มาวางไว้บนโต๊ะใกล้หัวเตียง และเดินไปหานายสาวที่ยืนพิงระเบียงนอกห้องนอน กัญชพรยังคงจ้องมองมณีนาคินทร์ที่อยู่ในมือของเธอ พอแม่นิ่มเดินมาใกล้ แม่นมก็เอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า

“คุณกัญ คิดอะไรอยู่คะ?”    

กัญชพรเงยหน้าจากมณีในมือ และมองหน้าแม่นมของเธอ ผ่อนลมหายใจยาวนิดนึงก่อนเอ่ยถามแม่นมของเธอว่า

“แม่นิ่ม...แม่นิ่มเชื่อเรื่องลึกลับมั้ยคะ?”

“ยังไงคะ ที่ว่าลึกลับ?”   แม่นิ่มถามกลับ

“คือ...อะไรที่ว่าเหนือธรรมชาติน่ะค่ะ”    กัญชพรบอก แม่นิ่มมองหน้านายสาวและเอ่ยถามอย่างรู้จักนิสัยเธอดีว่า

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณกัญ ไหนบอกแม่นิ่มมาตรงดีกว่า”  

กัญชพรยื่นมณีนาคินทร์ในมือให้แม่นิ่ม แม่นิ่มรับสิ่งที่นายสาวยื่นมาให้ และแบมือตัวเองมองสิ่งที่อยู่ในมือตอนนี้ และเงยหน้าถามกัญชพรว่า

“คุณกัญ ให้แม่นิ่มดูสร้อยเส้นนี้ทำไมคะ?”    

“แม่นิ่มว่าสร้อยเส้นนี้เป็นยังไงบ้างคะ?”   กัญชพรถามอย่างขอความเห็น แม่นิ่มก้มมองสร้อยในมืออีกครั้ง และเงยหน้าตอบว่า

“ก็สวยดีนี่คะ แม่นิ่มก็เห็นคุณกัญใส่มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือคะ หรือว่ามีอะไรหรือเปล่า?”

“สร้อยที่แม่นิ่มถืออยู่ มันมีชื่อด้วยนะคะ”   กัญชพรบอก

“สร้อยมีชื่อด้วยหรือคะ?”    แม่่นิ่มเลิกคิ้วถาม กัญชพรหันหลังเดินตรงออกไปยังระเบียงอีกด้าน ก่อนหันกลับมาตอบแม่นิ่มว่า

“จ้ะ มันมีชื่อเรียก”  

“ชื่อของสร้อยเส้นนี้ คือ..มณีนาคินทร์”  

“มณีนาคินทร์”    แม่นิ่มทวนชื่อซ้ำ  กัญชพรพยักหน้ารับ

“แล้วมันเป็นยังไงหรือคะ? ดูคุณกัญจะให้ความสำคัญกับมันมาก”   แม่นิ่มถามเพราะรู้จักนิสัยของนายสาวดี

“แม่นิ่มเคยได้ยินเรื่องพญานาคมั้ยจ้ะ มันเกี่ยวกับพญานาคน่ะ”  กัญชพรเิริ่มเข้าเรื่อง

“พญานาค!”    แม่นิ่มทวนชื่อซ้ำอีกเช่นเคย

“ค่ะ พญานาค”   กัญชพรตอบ

“แล้ว มันเกี่ยวกันยังไงคะ?”    แม่นิ่มถามอย่างไม่เข้าใจ

“เรื่องนี้ กัญเองก็ยังมืดอยู่เหมือนกัน เพราะกัญก็ยังไม่รู้เรื่องมณีนาคินทร์ดวงนี้สักนิด แต่กัญมั่นใจว่าวันหนึ่งกัญต้องได้รู้เรื่องของมันแน่นอน ว่าแต่แม่นิ่มยังไม่ตอบกัญเลยว่าแม่นิ่มเคยได้ยินเรื่องพญานาคหรือเปล่า?”    กัญชพรกลับมาคำถามเดิม

“เคยค่ะ เมื่อสมัยแม่นิ่มเด็กๆ คุณยายของแม่นิ่มเคยเล่าเรื่องพญานาคที่อยู่ใต้บาดาลให้แม่นิ่มฟัง แต่มันก็นานมาแล้วนะคะ ตอนนั้นแม่นิ่มอายุสักเจ็ดขวบเห็นจะได้”    แม่นิ่มตอบ

“เหรอคะ แม่นิ่มพอจำเรื่องพญานาคที่คุณยายของแม่นิ่มเล่าให้ฟังได้บ้างมั้ย?”     กัญชพรถามอย่างตื่นเต้น

“จำได้ค่ะ แต่เอ๊ะ คุณกัญอยากรู้ไปทำไมหรือคะ?”    แม่นิ่มถามกลับอีก

“เถอะน่า แม่นิ่ม เล่าให้กัญฟังหน่อยนะ”     กัญชพรเริ่มอ้อนเหมือนเด็กๆ

“ก็ได้ค้า แม่นิ่มจะเล่าให้ฟัง”    แม่นิ่มเริ่มเล่าเรื่องพญานาคให้กัญชพรฟัง

“เขาเล่ากันว่า ใต้บาดาล มีเมืองอีกเมืองหนึ่ง งดงามไม่แพ้เมืองสวรรค์ ทุกหนทุกแห่ง เต็มไปด้วยเพชร นิล จินดา ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น ล้วนแต่งกายสวยงาม ไม่มีการผิดศีล เพราะพวกนาคส่วนใหญ่ จะถือศีลห้าเหมือนมนุษย์ มีพญานาคราชผู้ยิ่งใหญ่ปกครองประชาราษฎร์อย่างผาสุก”

“แล้วพวกนาคแปลงเป็นมนุษย์ได้ใช่มั้ยคะ?”    กัญชพรถามแทรกทันที เมื่อเห็นแม่นิ่มหยุด

“ได้สิคะ ก็เมื่อสมัยพุทธกาล พญานาคเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ถึงขนาดแปลงเป็นมานพน้อยเพื่อมาขอบวช แต่ความก็มาแตกเมื่อพญานาคหนุ่มเกิดนอนหลับใหล ร่างกายจึงกลับสภาพเป็นไปตามสัญชาติเดิม พระสงฆ์องค์เจ้าพากันแตกตื่นเมื่อได้เห็นภาพนั้น ตั้งแต่นั้นมาพระพุทธองค์ก็มีบัญญัติว่า ผู้ที่จะเข้าบวชในพุทธศาสนาได้ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น กำเนิดอื่นไม่มีทางสำเร็จอรหันต์ได้ พญานาคตนนั้นเสียใจมาก จึงทูลขอพระพุทธองค์ ทรงจารึกชื่อของนาคไว้ในพระพุทธศาสนา เราจึงเรียกผู้ที่บวชก่อนครองผ้าเหลืองว่า..นาค..ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”    แม่นิ่มเล่าเสียยืดยาว

“งั้น พญานาคก็ไม่ใช่คนเลว”   กัญชพรสรุป แม่นิ่มเดินเข้าไปหานายสาวและยื่นมือคืนสร้อยในมือให้เธอ กัญชพรรับสร้อยเส้นนั้นกลับมากำไว้ และแม่นิ่มก็ตอบนายสาวว่า

“ไม่หรอกค่ะคุณกัญ ไม่ว่าเทวดา มนุษย์ หรือเดรัจฉาน หากแม้มีจิตใจที่สูงด้วยคุณธรรม เขาก็เป็นคนดีได้เหมือนกัน แต่ถ้าเขามีจิตใจที่ไม่ดี คิิดแต่ทางอกุศล ต่อให้พวกเขาอยู่สูงแค่ไหน ก็เลวได้เหมือนกัน ไม่มีเส้นใดขีดไว้ตายตัวหรอกค่ะคุณกัญ”    

“แล้วคราวนี้ คุณกัญ จะเล่าให้แม่นิ่มฟังได้หรือยังคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่นิ่มเลี้ยงคุณกัญมากับมือ แม่นิ่มดูแป๊บเดียว ก็รู้ว่าคุณกัญต้องมีอะไรปิดบังแม่นิ่มแน่นอน หรือคุณกัญไม่ไว้ใจแม่นิ่มอีกแล้ว”  

ประโยคหลัง แม่นิ่มพูดเหมือนตัดพ้อต่อว่า กัญชพรเดินเข้าไปกอดแม่นมของเธอ แม่นิ่มสวมกอดนายสาวอย่างรักใคร่ แล้วกัญชพรก็พูดอยู่ในอ้อมอกของแม่นิ่มว่า

“แม่นิ่มจ๋า สมมุติว่ากัญไปรักใครสักคน แล้วภายหลังกัญมารู้ว่าเขาคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ แม่นิ่มว่ากัญควรทำยังไงดี?”  

แม่นิ่มลูบเส้นผมอันละเอียดและอ่อนนุ่มของกัญชพร และถามว่า

“คุณแสงขวัญใช่มั้ยคะ?”

กัญชพรค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของแม่นิ่ม และมองหน้าแม่นมของเธออย่างแปลกใจ แม่นิ่มยิ้มและเอามือไปจัดเส้นผมด้านหน้าและลูบผมทั้งสองข้างไปไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นดวงหน้าของกัญชพรชัดเจนขึ้น และตอบว่า

“แม่นิ่มสังเกตเห็นคุณแสงขวัญไม่เหมือนคนอื่น ดูท่าทางของเขาน่ากลัวและน่าเกรงขาม แต่แม่นิ่มก็รู้สึกอุ่นใจและมีความรู้สึกมั่นใจตลอดเวลาว่า คุณแสงขวัญไม่มีพิษมีภัยกับคุณกัญของแม่นิ่มแน่นอน เวลาที่คุณแสงขวัญอยู่ใกล้คุณกัญ ดูเขาอ่อนโยนจะตายไป”  

“แม่นิ่ม”   กัญชพรเรียกชื่อแม่นมของเธอ ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสๆ ที่พากันหลั่งออกมาพร้อมทลายออกมาได้ตลอด

“พี่แสงขวัญเป็นพญานาค”    พูดจบน้ำใสๆ ก็พากันล้นออกมาจากดวงตาทันที

“คุณกัญรู้ได้ยังไงคะ?”    แม่นิ่มถามต่อ

“เมื่อสองคืนก่อน คุณอัญญานีมาหากัญ เธอมาบอกเรื่องมณีนาคินทร์และเรื่องพี่แสงขวัญ”   กัญชพรบอก

“แล้วคุณอัญญานี นี่เค้าเป็นใครหรือคะ?”   แม่นิ่มไม่เข้าใจ

“เค้าเป็นบริวารของพี่แสงขวัญ เธอบอกว่า เธอมีหน้าที่มาคุ้มครองกัญตามคำสั่งของพี่แสงขวัญ”    กัญชพรบอก แม่นิ่มประหลาดใจ

“เหลือเชื่อจริงๆ นะคะนี่ คุณกัญเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังหรือเปล่าคะ?”  

แม่นิ่มถาม กัญชพรส่ายหน้าไปมา ก่อนตอบว่า

“เปล่าค่ะ กัญไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง ขืนไปเล่า เขาจะได้หาว่ากัญเป็นบ้า”    

“แล้วเค้ามาบอกอะไรกับคุณกัญอีกคะ?”    แม่นิ่มถามต่อ

“เค้าให้กัญระวังคนแปลกหน้าไว้ เพราะมีคนต้องการมณีนาคินทร์จากตัวกัญ ให้กัญระวังตัวไว้”   กัญชพรตอบ

“แล้วกัญจะทำอย่างไรดีเรื่องพี่แสงขวัญ กัญว่าพี่แสงขวัญก็ต้องตกอยู่ในอันตรายเหมือนกัญแน่ๆ”    กัญชพรเป็นห่วงนาคราชหนุ่ม

“คุณกัญฟังแม่นิ่มนะคะ ถ้าคุณแสงขวัญคือพญานาคจริง ต้องไม่มีสิ่งใดหรือใครทำอันตรายคุณแสงขวัญได้ เพราะฉะนั้น คุณกัญต้องพยายามดูแลตัวเองให้ดี ตามคำที่คุณอัญญานีอะไรนั่นบอก ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”    แม่นิ่มปลอบ

“แต่แม่นิ่มจ๋า พักนี้ กัญฝันประหลาด ฝันซ้ำๆ ซากๆ ติดต่อกันหลายคืน สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ ว่าพี่แสงขวัญต้องมีอันตราย และนี่พี่เขาก็หายหน้าไปหลายอาทิตย์แล้ว”     กัญชพรบอกอย่างเป็นห่วง

“คนดีของแม่นิ่ม ทำใจให้สบายเถอะนะคะ แม่นิ่มว่าคุณกัญไปดื่มนม ทานยาและทำใจให้สบายดีกว่า คนเราเมื่อคู่กันแล้วก็ต้องไม่แคล้วกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ต้องได้พบกันแน่นอน เชื่อแม่นิ่มเถอะค่ะ”

แม่นิ่มปลอบ กัญชพรได้แต่ถอนใจ เธอเช็ดน้ำตาที่เป็นคราบที่ใบหน้าของเธอ และบรรจงสวมสร้อยในมือไว้ที่คอเหมือนเดิม ความลับของมณีนาคินทร์ก็ยังคงดำมืดสำหรับกัญชพรเหมือนเดิม


    คืนนั้นกัญชพรนอนหลับ ในความฝัน กัญชพรเดินเรื่อยๆ ไปตามทางที่แสงสว่างเรืองรองนำทางเธอไป สองฟากข้างทางมืดสนิทเหมือนดั่งถูกทาไว้ด้วยหมึกสีดำ หญิงสาวให้ความสนใจที่ปลายทางแสงสว่างด้านหน้ามากกว่า และเมื่อเธอเดินมาจนถึงแสงสว่างนั้น พระแสงฟ้ายืนครองจีวรเหลืองอร่าม งามตายิ่งนัก ใบหน้าผุดผ่อง กัญพรมองเห็นรัศมีบางอย่างแผ่ออกจากตัวหลวงพี่แสงฟ้า หญิงสาวยอบตัวก้มลงกราบพระแสงฟ้า แล้วเงยหน้าพนมมือถามท่านว่า

“หลวงพี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”  

“เรามารอเจ้า กัญชพร”    พระแสงฟ้าตอบเสียงกังวานใส

“รอกัญทำไมหรือคะ?”   กัญชพรสงสัย แล้วค่อยเหลียวไปมองรอบกายว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน

“เจ้าตามเรามาเถิด แล้วเจ้าจะได้พบสิ่งที่เจ้าต้องการรู้”  

ไม่รอให้กัญชพรถามสิ่งใดต่อ พระแสงฟ้าออกเดินนำล่วงหน้าไปก่อน กัญชพรจำเป็นต้องเก็บคำถามไว้ และลุกเดินตามไปอย่างสำรวม



ตอนที่ 25


     พระแสงฟ้าและกัญชพรมาหยุดยืน ณ ดินแดนแห่งหนึ่ง ผู้คนมากมายเดินผ่านไปผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่ มองไม่เห็นเธอและหลวงพี่แสงฟ้าเลย

“ตามเรามา”    พระแสงฟ้าบอก และออกเดินนำไปเหมือนเดิม กัญชพรเดินตามไป เธอมองไปรอบๆ คนที่นี่แต่งตัวประหลาด บางคนแต่งตัวสวยงาม บางคนแต่งตัวเหมือนชาวบ้าน แต่ที่แปลกทุกคนที่นี่ต้องมีสิ่งที่ประดับที่ศีรษะเป็นรูปงู กัญชพรหันกลับไปมองร่างพระแสงฟ้าที่เดินนำหน้า เธอพยายามทิ้งระยะห่างให้พองาม


    เมื่อเดินตามมาได้สักพัก พระแสงฟ้าก็หยุด กัญชพรก็ต้องหยุดตาม ภาพเบื้องหน้าคือ...บัลลังก์นาคราชที่ประดับด้วยเพชร และอัญมณีนานาชนิด เศียรรูปพญานาคแผ่พังพานส่วนหัวอันใหญ่โตยื่นหน้าออกมาด้านหน้า เหมือนเตรียมพร้อมเสมอที่จะพิทักษ์ผู้ที่เป็นนายแห่งมัน ดวงตาของมันจ้องมองเหมือนคอยจับจ้องผู้ที่เข้าเฝ้าจอมนาคา ดูราวกับว่ามันมีชีวิต แต่ก็ยังไม่ประหลาดใจเท่าที่กัญชพรได้เห็นผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ ผู้เป็นเจ้าแห่งแคว้นมีหน้าตาพิมพ์เดียวกับหลวงพี่ของเธอ และที่นั่งต่ำลงกว่าบัลลังก์ทั้งสองข้างคือ แสงขวัญ และหญิงงามนางหนึ่ง นางงามจนหาที่ติมิได้ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าผุดผาด ดวงตากลมโต จมูกโด่งได้รูป ปากเป็นกระจับ ริมฝีปากนางเป็นสีชมพูระเรื่อย ยามนางแย้มยิ้มเหมือนดั่งจะหยุดโลกทั้งโลกให้อยู่ภายใต้มนต์สะกดความงามของนาง เส้นผมดำขลับ งามสลวยถูกมัดด้วยเชือกสีทองปัดมาด้านซ้าย ถ้าเปรียบกับนางฟ้า คงไม่มีนางฟ้าองค์ใดงามเทียบนางได้แน่นอน

“นั่นมันอะไรกันคะหลวงพี่ ทำไมผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้น หน้าตาเหมือนหลวงพี่ แล้วพวกเขาเห็นเรามั้ยคะ?”  

กัญชพรถาม ขณะที่ตัวเธอและพระแสงฟ้ายืนอยู่ตรงหน้าบัลลังก์ที่คนทั้งสามนั่งอยู่ แต่พวกเขากลับนิ่งเฉย ทำเหมือนมองไม่เห็นทั้งสอง

“ไม่หรอก พวกเขาไม่เห็นเรา”   พระแสงฟ้าตอบ

“เพราะอะไรคะ?”    กัญชพรถามต่อ

“เพราะว่าที่เจ้าเห็นอยู่ คืออดีตชาติที่ผ่านมาแล้ว”    พระแสงฟ้าตอบเสียงเรียบๆ

“หมายความว่า....”    กัญชพรหยุดคำพูดไว้เท่านั้น

“เจ้าคอยดูเหตุการณ์ต่อไปเรื่อยๆ ก่อนเถอะ”    พระแสงฟ้าแนะ กัญชพรจึงหยุดถามและยืนดูเหตุการณ์ที่ดำเนินไป.....


    ...จ้าวแสงฟ้าครองนครบาดาลอย่างผาสุก พระองค์ทรงมีพระอนุชาหนึ่งพระองค์และพระขนิษฐาหนึ่งพระองค์ ทั้งสามรักใคร่ปองดองกันดี จ้าวแสง
ฟ้าเป็นผู้มีปัญญาล้ำเลิศ ทรงเป็นประมุขที่สุขุมและอ่อนโยน เป็นที่รักใคร่ของเหล่าปวงนาค พระอนุชาแสงขวัญอุปนิสัยค่อนไปทางใจร้อน รักความเป็นธรรม ไม่ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้ใด ส่วนพระขนิษฐาน้องน้อยนามว่าแสงมณี เป็นสตรีที่งามที่สุดในพิภพนาค นางมีจิตใจงดงาม ชอบใฝ่หาความรู้เยี่ยงพระเชษฐาแสงฟ้า พระน้องทั้งคู่เทิดทูลพี่ชายดุจพระบิดาของตน


    อยู่มาวันหนึ่ง เรื่องก็เกิดขึ้น เมื่อนาคพิภพรู้ข่าวว่า จ้าวแสงฟ้าหายตัวไปจากนครบาดาล ด้วยความเป็นห่วง พระอนุชาและพระขนิษฐาจึงขึ้นมาจากแดนบาดาล เพื่อติดตามหาพระเชษฐาแสงฟ้า  จนกระทั่งมาพบพระเชษฐาที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ท่านสละเครื่องทรงแห่งจ้าวนาคา ทรงชุดขาวธรรมดาเยี่ยงมนุษย์  เมื่อพระอนุชาและพระขนิษฐาได้พบพระเชษฐาก็ดีใจยิ่ง จึงเข้าไปทูลเชิญพระองค์กลับสู่นครบาดาล

“จ้าวพี่ ทำไมทรงทิ้งพวกเรามา แล้วนี่มันอะไรหรือพระเจ้าข้า ทำไมทรงเครื่องทรงแบบนี้?”    จ้าวแสงขวัญถาม

“เรากำลังถือเพศพรหมจรรย์ รักษาศีลให้บริสุทธิ์”     จ้าวแสงฟ้าดำริตอบ
“ทำไมพระเจ้าข้า ทำไม?”   จ้าวแสงขวัญถามอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของพี่ชาย

“ทำไมทรงมาบำเพ็ญเพียรที่นี่ล่ะเพคะ ที่นครบาดาลของเราก็มีห้องบำเพ็ญเพียรมิใช่หรือเพคะ?”     จ้าวแสงมณีทูลถาม จ้าวแสงฟ้ายิ้มละไมก่อนตอบน้องรักทั้งสองว่า

“เรามาขอฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านพระครูที่วัดนี้ และเราก็ตั้งจิตแน่วแน่ว่าเราต้องเข้าถึงนิพพานให้จงได้”  

จ้าวแสงฟ้าแจ้งความจำนงให้พระน้องยาทั้งสองได้ทราบ

“แล้วประชาชนและพวกข้าล่ะ จะทำเช่นไรเล่า?”    จ้าวแสงขวัญถามต่อ

“เราต้องตัดทุกอย่างทางโลกทิ้งให้หมด เพื่อกำหนดจิตไปบังเกิดเป็นมนุษย์”    จ้าวแสงฟ้าตอบ

“แต่มนุษย์่อ่อนแอนะเพคะ”    จ้าวแสงมณีทูล

“เรามองและประเมินอะไรจากการที่เราเอาตัวของเราไปเป็นเกณฑ์วัดเสมอ เจ้ายังไม่รู้จักมนุษย์ดีพอ ตรงจุดใดเล่าที่เราเรียกว่าดี ตรงจุดใดเล่าที่เรากำหนดว่าไม่ดี ทุกอย่างถูกกำหนดเป็นกฏเกณฑ์โดยตัวของเราเองทั้งสิ้น นั่นแหละ พวกเรากำลังสร้างกำแพงเพื่อปิดล้อมตัวเองไ่ม่ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ จะทุกข์หรือสุขมันอยู่ที่ใจของเราเองต่างหาก”   จ้าวแสงฟ้ากล่าว

“แต่...”     ยังไม่ทันที่จ้าวแสงขวัญจะได้พูดสิ่งใดต่อ พระเชษฐาแสงฟ้าก็ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นห้ามและเอ่ยว่า

“เอาเถอะ แสงขวัญ แสงมณี เจ้าทั้งสองกลับไปที่นครบาดาลเสียเถิด”
จ้าวแสงฟ้าหันพระพักตร์ไปที่พระอนุชาและพูดว่า

“แสงขวัญ พี่ขอยกบัลลังก์แห่งนครบาดาลให้เจ้า เจ้าจะเป็นผู้ปกครองนครบาดาลสืบต่อจากพี่นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจงพาแสงมณีกลับไปเสียเถิด เชื่อพี่”

“แล้วจ้าวพี่จะทรงดำรงพระชนม์อย่างไรเพคะบนโลกมนุษย์ อย่าลืมนะเพคะ เราไม่ใช่พวกเขา”    

จ้าวแสงมณีบอก จ้าวแสงฟ้าทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อย ก่อนตอบพระน้องยาเธอว่า

“เรื่องนั้นเจ้าไ่่ม่ต้องห่วงหรอกแสงมณี อีกไม่นานจิตของพี่ก็จะไปจุติใหม่แล้ว เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล”

พระอนุชาแสงขวัญลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหยุดเบื้องหน้าพระเชษฐา และต่อว่าอย่างน้อยใจว่า

“ข้าไม่เข้าใจจ้าวพี่เลย ว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ หรือว่าเพราะโดนมนุษย์ที่นุ่งผ้าเหลืองเป่าหูเอา ท่านถึงได้หน้ามืดตามัวได้ขนาดนี้”


“จ้าวแสงฟ้า ไม่ได้หน้ามืดตามัวหรอกโยม”    

เสียงหลวงพ่อรูปหนึ่งดังมาจากด้านหลังของแสงขวัญ ทั้งจ้าวแสงขวัญและจ้าวแสงมณีหันไปมองตามผู้ที่เอ่ยวาจาเมื่อครู่    พระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าจ้าวแสงขวัญ ท่านยิ้มให้ทั้งสาม  จ้าวแสงมณียกมือประนมทำความเคารพ แต่พระอนุชาแสงขวัญกลับจ้องมองพระรูปนั้นอย่างโกรธเคือง

“คงเป็นท่านล่ะสิ ที่เป่าหูพี่ชายเราจนหลงงมงาย”   จ้าวแสงขวัญกล่าวโทษและชี้หน้าผู้ห่มจีวรสีเหลืองตรงหน้า  พระชราท่านสงบและสำรวมนิ่งฟังพระอนุชาเอ่ยถามว่า

“ท่านต้องการอะไรจากพวกเรา?”    

“อาตมาไม่ได้ต้องการอะไรจากพวกท่าน แต่อาตมาอยากช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากบ่วงทุกข์และบ่วงกรรมเท่านั้น”    หลวงพ่อบอก

“เชอะ! ช่วยหรือ? นี่หรือที่ท่านบอกว่าคือการช่วยเหลือ ท่านทำบาปล่ะไม่ว่าท่านพระครู ท่านรู้ตัวมั้ยว่าท่านกำลังแยกพี่น้องให้จากกัน”  

พระอนุชาทรงประชดประชัน

“ท่านกล่าวผิดแล้ว พระอนุชา จ้าวแสงฟ้าทรงเห็นดวงตาแห่งธรรมด้วยพระองค์เอง อาตมาเพียงแต่ชี้แนะหนทางให้ท่านเท่านั้น”   พระครูตอบอย่างสำรวม

“บอกหนทางแห่งหายนะสำหรับพวกเราน่ะสิ!”    

จ้าวแสงขวัญโต้กลับอย่างฉุนเฉียว ก่อนที่เรื่องจะลุกลามใหญ่โต จ้าวแสงมณีจึงต้องไกล่เกลี่ยให้

“จ้าวพี่เพคะ ใจเย็นๆ ก่อนสิเพคะ ทุกอย่างคงไม่เลวร้ายหรอก ฟังท่านก่อนสิเพคะ อย่าเพิ่งพระทัยร้อน”

ได้ผลแสงขวัญกัดกรามนูนเงียบคำลง แต่ดวงตาที่จ้องมองพระชราหาได้ยอมไม่ จ้าวจอมนาคาแสงฟ้าทรงดำริตามมาว่า

“แสงขวัญ เจ้าอย่าได้ต่อว่าต่อขานท่านพระครูอีกเลย มันบาปเปล่าๆ พี่เป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวพี่เอง พี่เห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มามาก จนรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่จีรัง วันหนึ่งพวกเราก็ต้องตาย แล้วกลับมาเกิดเพื่อรับทุกขเวทนาต่อไปไม่รู้จบ พี่รู้สึกเบื่อหน่ายเท่านั้น เมื่อพี่ได้ลองศึกษาพระธรรมแห่งพระพุทธองค์ ตามที่บรรพบุรุษของเราเมื่ออดีตกาลที่ผ่านมา พี่ถึงได้เห็นความจริงว่าโลกเรานี่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน สำหรับทั้งสามโลก”

“จ้าวพี่ ทรงเข้าใจได้ลึกซึ้งจริงๆ เลยนะเพคะ”   จ้าวแสงมณีดำริและคิดตาม

“แต่ข้าไม่เข้าใจ!”    แสงขวัญตะโกนใส่ จ้าวแสงฟ้าในชุดขาวบริสุทธิ์ ทรงลุกจากที่ทรงประทับนั่ง เดินเข้าไปหาพระอนุชาและยื่นพระหัตถ์ไปจับไหล่ของเขาไว้เบาๆ และพูดว่า

“พี่ว่าเจ้าต้องเข้าใจสักวันหนึ่ง เชื่อพี่ รีบพาแสงมณีกลับไปยังนครบาดาล”  

แสงขวัญเงยหน้ามองพี่ชายร่วมสายโลหิต เขามองเห็นความมุ่งมั่นของพระเชษฐา สุดท้ายก็ต้องถอนใจยอมแพ้ เพราะคงไม่มีสิ่งใดที่จะเปลี่ยนพระทัยพระเชษฐาได้อีกแล้ว เมื่อพระองค์ตัดสินพระทัยแน่วแน่ขนาดนี้ คงเปล่าประโยชน์ที่ดึงดันเอาตัวพระเชษฐากลับไป แสงขวัญจึงปัดมือของพระเชษฐาออกจากไหล่ของเขา และเดินไปหาแสงมณี และพูดว่า

“ไปเถอะแสงมณี พวกเรากลับนครบาดาลกันเถอะ ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ที่จะเปลี่ยนพระทัยพระองค์ได้”  

“เพคะ”   แสงมณีรับคำ และเดินเข้ามาหาพระเชษฐา และหลวงพ่อที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ประนมพระหัตถ์อันเรียวงามทั้งสองขึ้นเพื่อกราบลาพระเชษฐาและพระครูเฒ่า  ทั้งคู่ยิ้มให้แสงมณีอย่างละไม แสงขวัญกลับเิดินผ่านพระครูเฒ่าและพระเชษฐาไป เขาหยุดยืนหันหลังให้พระเชษฐาและพระครูเฒ่า และรีบดำิเนินจากไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับมามอง จ้าวแสงมณีทรงเดินกึ่งวิ่งตามพระเชษฐาแสงขวัญไป


     เมื่อพ้นจากวัด ที่ทำให้แสงขวัญต้องได้รับความทรมานทางใจ เพราะนับแต่นี้ต่อไป ไม่มีพี่ชายที่แสนดีดุจบิดาอีกต่อไปแล้ว หัวใจของเขาเริ่มอ้างว้างอย่างประหลาด เหมือนอวัยวะสำคัญบางส่วนของร่างกายนั้นขาดหายไป แต่ภาระหน้าที่ ที่ยังรอเขาอยู่เบื้องหน้า ประชาราษฎร์ และพระขนิษฐาแสนงาม ต้องมีผู้ดูแลและปกป้อง ทำให้แสงขวัญจำต้องฝืนเก็บความรู้สึกอันขมขื่นนี้ไว้ภายในใจเพียงผู้เดียว  


    สองศรีพี่น้องพากันดั้นด้นเพื่อกลับนครบาดาล ระหว่างทางแสงมณีทูลอ้อนวอนของอนุญาตพระเชษฐาว่า

“จ้าวพี่เพคะ น้องไม่เคยขึ้นมาเมืองมนุษย์เลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ถ้าจ้าวพี่แสงขวัญทรงอนุญาต เราอยู่เที่ยวกันต่ออีกนิดได้มั้ยเพคะ?”

แสงขวัญหยุดเดิน และหันหน้ากลับมามองหน้าน้องสาวและพูดว่า

“แสงมณี บนโลกมนุษย์นี่มันเต็มไปด้วยอันตรายเกินไปสำหรับเจ้านะ พี่ไม่อยากให้เจ้าไปจากพี่อีกคน”  

แสงมณียิ้มประจบพี่ชาย และทูลอ้อนวอนว่า

“นะเพคะ เดี๋ยวเดียวเอง น้องอยากเห็นเมืองมนุษย์ว่าแปลกตาเพียงใด น้อยเคยได้ยินว่า เมืองมนุษย์มีที่สวยงามหลายแห่ง จ้าวพี่พาน้องไปชมหน่อยจะเป็นไรไป นะเพคะ นะ...”    

เมื่อทนคำออดอ้อนของพระขนิษฐาไม่ไหว แสงขวัญจึงต้องยอมตามใจ แสงมณีดีใจเมื่อพี่ชายรับปาก

จากคุณ : ศรนรินทร์
เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:02:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com