คุณรุริกะการอยากให้กำลังใจใครสักคน อยากให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นเรื่องดี
แต่ตัวอย่างที่ยกมา "อยากให้ลบออกเสีย" เพราะอาจทำให้คนที่เข้ามาอ่าน
เข้าใจอย่างผิดๆ ก็เป็นได้ แบบนั้นแล้วจะคุณจะทำกรรมโดยไม่รู้ตัว
การคัดลอกเพื่อเผยแพร่พระไตยปิฎกนั้น เป็นกุศลกรรม
และเป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ทราบว่ายกมาเปรียบเทียบกันได้ยังไง ?
แถมยังบอกว่าเลยต้องใช้กรรมให้พุทธศาสนาอีก อ่านแล้วถึงกับกุมขมับเลย
นักเขียนคนนี้ก่อสิ่งเป็นอกุศกรรม ผิดศีล ผิดจารีตประเพณี กระทั่งผิดกฏหมาย
จึงต้องเป็นทุกข์ด้วยผลกรรม การใช้กรรมคือการรู้จักทุกข์ในสิ่งที่ก่อไป
ทุกข์ในสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน ผลจึงส่งกลับมาให้พิจารณา
สิ่งที่ตัวเองก่อ
ดังนั้นถ้าคุณรุริกะบอกว่า คุณต้องใช้กรรมกับศาสนาเพราะลอกพระไตยปิฏก
นั่นหมายความว่าคุณลอกไปใช้ในทางเลวอย่างนั้นหรือ? เผยแพร่ในทางเลว
อย่างนั้นหรือ? เลยต้องมาใช้กรรม คุณเป็นทุกข์ในการเข้าวัดรับใช้ศาสนาหรือ?
พิจารณาสิ่งนี้ด้วย เอาเวลาไปตรึกตรอง ตนเองยังเข้าใจผิดๆ ก็ต้องเรียน
ให้เข้าใจ อย่าริมาเผยแพร่ให้ผิดเข้าไปใหญ่ ประเดี๋ยวจะมีคนเอาไปอ้าง
ด้วยช่องที่คุณชี้ให้ แล้วแบบนี้คุณรับผิดชอบไหวหรือ?
ตรองดูๆ อย่าเอาแต่คิดว่าคนอื่นตำหนิตัวเอง ถ้าไม่ก่อไม่เริ่มใครจะตำหนิได้
คิดผิด เข้าใจอย่างผิดๆ ก็จะทำผิดได้
ไปวัดก็อย่ามัวแต่นั่งจับกลุ่มคุยกัน เอาเวลาไปทำสมาธิตรองให้ตัวเองมีสติก่อน
จึงค่อยสื่อสารคิดก่อนพูด คิดก่อนเขียน ไม่อย่างนั้นเผยแพร่ออกมา จะสร้าง
ความเดือดร้อนให้ทั้งผู้อื่นและตัวเอง ซึ่งมันเกิดขึ้นหลายครั้ง ถ้าเป็นพระคงต้อง
บอกว่าไปปลงอาบัติซะ แต่เป็นฆารวาสไปพิจารณาเสีย รู้จักการควรการไม่ควร
อย่างดึงสูงลงต่ำ จะเป็นคนดีไม่ต้องอวด ไม่อย่างนั้นก็จะพลาดซ้ำๆ ซากๆ
ต้องปรับที่ตัวเอง ไม่ใช่เที่ยวโทษคนอื่นว่าไม่เข้าใจเจตนาตนเองด้วย
แล้วเป็นทุกข์มันไม่ทำให้เกิดสติปัญญาขึ้นมา ดวงแก้วที่สว่างไม่ได้อยู่ใน
ความทุกข์ แต่เป็นการมองทะลุเห็นซึ่งปัญหาที่ก่อขึ้น จึงเกิดปัญญาความเข้าใจ
ถ้าจะให้แจงว่าเธอคนนี้ผิดตรงไหน?
1.ไม่เคารพตนเอง คนเราไม่เคารพตนเองถึงได้ไร้ความสามารถ
ไม่อาจใช้สติปัญญาในก่อเกิดสิ่งดีๆ ใดๆ ได้ ถ้าเคารพตนเอง
จะไม่มีปมด้อย ไม่ต้องเอาความสำเร็จของผู้อื่นมากลบปม
สร้างภาพให้ตนเองมีทัดเทียมผู้อื่น ทั้งรูปชอบ งานชอบ ฐานะชอบ
ล้วนปลอมหมด
2.ไม่เคารพครูบาอาจารย์ หนังสือที่อ่านแล้วเป็นแรงบันดาลใจ
ให้ก่อเกิดนั่นคือครูบาอาจารย์ แต่ดึงหนังสือของครูมาอุปโลก
ว่าเป็นของตัวเอง นั่นคือไม่เคารพ
3.อกตัญญู ไม่รู้คุณคน เคยได้รับการให้อภัยยังแว้งกลับมาทำร้าย
ไม่ใช่เรื่องที่สังคมไหนๆ ในโลกนี้จะยอมรับได้
4.ลักทรัพย์ ข้อนี้ไม่ต้องอธิบาย ผู้เขียนอ้างว่าเข้าวัดแต่ศีล 5 ข้อ
ยังท่องไม่ครบ ปฏิบัติไม่ครบ อย่านำศาสนามาอ้าง อย่ามาดัดจริต
เขียนให้ผู้อ่านรู้จักปลงแล้วให้อภัย คุณเคยให้อภัยใครไหม?
มีแต่เคืองแค้นคนที่กล่าวตำหนิคุณ ทั้งที่ความผิดนั้นเกิดขึ้นจริง
แล้วยังอาฆาตพยาบาทไม่เลิกรา ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้
5.มุสา มุสาอย่างเดียวไม่พอ ยังให้ร้ายผู้อื่น แถมผู้นั้นเป็นผู้มีพระคุณเสียด้วย
ไม่ได้ถามถึงสำนึก มันเป็นสิ่งในใจคุณเอง แล้วแต่คุณใครก็บังคับไม่ได้
แต่แก้ไขวันนี้ทำแล้วหรือยัง? อยากลดความทุกข์ที่โถมเข้าใส่ต้องแก้ไข
การแก้ไขต้องลงมือปฏิบัติไม่ใช่ใช้วาจา ขยับปากนั้นง่ายกว่าขยับมือนัก
ไม่จำเป็นต้องซื้อของไปประจบประแจงใคร ให้คนอื่นเขารัก คนเราดี
คนเราสำนึก คนเราคิดแก้ไข มันจะออกมาเองทั้งกาย วาจา ใจ
ไม่ต้องยกมาโอ้อวดคนก็เห็น คนก็เมตตาได้เอง สองมาตรฐาน
จึงเกิดขึ้นได้อย่างนี้ไงเล่า
โลกนี้ไม่มีใครไม่เคยพลาด...แต่...
พลาดครั้งหนึ่ง...ถือว่า โง่เขลา
พลาดครั้งที่สอง...ถือว่า ดักดาน
พลาดครั้งที่สาม...ถือว่า สันดานเสีย
พลาดครั้งที่สี่...ถือว่า บ่มเพาะตนเป็นคนเลว
พลาดครั้งที่ห้า...ถือว่า เป็นคนต่ำช้าเหลือประมาณ เป็นโจรโดยสันดาน
อยากจบเรื่องนี้ จะชี้ช่องให้ นำเงินที่ได้จากความมิชอบทั้งหมด
ไปคืนสำนักพิมพ์ แล้วค่อยเจรจา แล้วเขาจะเมตตาหรือไม่
ก็สุดแล้วแต่ความกรุณาของสำนักพิมพ์
ไม่อย่างนั้นก็ต้องหนีตัวเองไปเรื่อยๆ จะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล
เปลี่ยนชื่อเล่นไปอีกกี่ครั้ง มันก็ไม่เท่าเท่าเปลี่ยนสันดาน ฝากไว้เท่านี้
ขอบคุณ คุณรัญช์ที่ให้ยืมล็อคอิน