อชิระยืนนิ่งอยู่หลังรถเข็นของมารดาภายในห้องคับแคบสีหม่นที่เขาไม่เต็มใจจะกลับมาเหยียบนัก สายตาเหลือบมองร่างของบิดาที่ถูกพาเข้ามายืนอีกฝั่งของโต๊ะ ก่อนผู้คุมจะออกไปคอยหน้าห้องเช่นเคย แต่เขาไม่ได้เดินตามออกไป เพียงแค่แยกตัวไปยืนพิงร่างกับกรอบหน้าต่างที่ติดเหล็กดัดแน่นหนา หยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูโน่นดูนี่เป็นการฆ่าเวลา เพราะลึกๆภายในใจแล้ว ยังไม่ไว้ใจมารดานัก ด้วยเกรงว่าจะหลงคารมของบิดาจนใจอ่อนเช่นในอดีต
..ดา.. วรพลครางอย่างไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะได้เห็นอดีตภรรยาอีกครั้ง ..ไม่คิดนะว่า..เธอจะมาเยี่ยมฉันด้วย
อารดายิ้มอ่อนโยน อั๊วแค่อยากเห็นกับตาว่าลื้อสบายดี ไม่เดือดร้อนอะไรก็เท่านั้น
วรพลพยักหน้า ยิ้มเจื่อนให้กับความมีน้ำใจที่นางยังหลงเหลือให้ พร้อมยอบตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ฉันสบายดี..ขอโทษนะที่ต้องดึงเธอมาเดือดร้อนด้วย..เพียงแต่ ฉันจนปัญญาแล้วจริงๆ
อั๊วไม่เดือดร้อนหรอก เพราะทุกอย่าง เล่ยเป็นคนจัดการหมด..ผู้หญิงแก่ๆที่หมดสภาพอย่างอั๊วไม่มีปัญญาทำอะไรแล้วล่ะ อารดาไม่ได้คิดจะประชดประชันอดีตสามี เพียงแต่พูดไปตามความคิดเท่านั้น เพราะทุกวันนี้ นางก็มีชีวิตอยู่ไปเพียงวันๆและมีความสุขกับสิ่งที่ลูกคอยหยิบยื่นให้เท่านั้น ถ้าหากไม่มีลูกคอยดูแล..ชีวิตของนางคงไม่ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้หรอก
แต่สำหรับวรพล กลับคิดว่านั่นคือคำถากถาง เขาได้แต่นิ่งเงียบ ฉันขอโทษ ที่เป็นสาเหตุให้เธอต้องเป็นอย่างนี้..
ลื้อไม่เกี่ยวหรอก อั๊วทำตัวของอั๊วเอง และมันคงเป็นบาปกรรมที่อั๊วไม่เชื่อฟังเตี่ยน่ะ
วรพลจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของผู้พูด เธอไม่โกรธ ไม่เกลียดฉันเลยเรอะ
ไม่หรอก..เพียงแต่ สิ่งที่ผ่านมามันสอนให้อั๊วเห็นถึงความเป็นจริงหลายๆอย่าง อั๊วถึงไม่โกรธลื้อไงล่ะ
คนฟังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะเหตุการณ์ที่กระทำไว้ในอดีตนั้นเลวร้ายเกินกว่าจะได้รับการอภัยได้ง่ายดายเช่นนี้ ทำให้เขาต้องมองอดีตภรรยาอย่างพิจารณาอีกครั้ง แม้ว่ากาลเวลาจะนำพาความสดสวยของผิวพรรณไปแล้ว แต่ความอบอุ่นอ่อนโยนก็ยังฉายชัดออกมาจากดวงหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มละไมไม่ต่างจากในอดีต..เป็นการตอกย้ำในความโง่เขลาของตนที่โยนเพชรล้ำค่าทิ้งอย่างไม่ไยดี เพียงเพื่อแลกกับชีวิตรื่นรมย์เพียงฉาบฉวย เลื่อนลอยเท่านั้น
และมันคงสายเกินไปแล้วที่จะกลับมาเริ่มต้นใหม่..ตัวเขา คงต้องอยู่อย่างอ้างว้างเดียวดายไปตลอดชีวิต
ตลอดมา อั๊วคิดว่าลื้อคงมีความสุขแล้ว..แต่ไม่เข้าใจ ลื้อมายุ่งกับไอ้ยาพวกนี้ทำไม
สีหน้าของผู้ถูกตั้งคำถามเผือดสลด ละอายใจในสิ่งที่กระทำ ฉันมีปัญหาเรื่องเงินน่ะ ไม่รู้จะแก้อย่างไง ก็เลยคิดอะไรตื้นๆ..ผลมันเลยออกมาเป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะ
..อย่างนั้นเรอะ..คนเรามันก็ทำเรื่องผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ถ้ามีโอกาสก็ยังแก้ไข แก้ตัวกันใหม่ได้
ฉันก็ขอแค่โอกาสนั้นล่ะ แล้วจะไม่หันกลับไปหามันอีกเลย
อารดายิ้มให้กำลังใจ และพูดคุยกันอีกไม่นาน ก็ขอตัวกลับ
แล้วเธอจะมาเยี่ยมฉันอีกไหม
นางหันมองบุตรชายที่ยังคงก้มหน้าสนใจโทรศัพท์ในมือ โดยไม่รู้เลยว่า ตลอดคำพูดในบทสนทนานั้นได้เข้าหูชายหนุ่มทุกคำ ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะเล่ยไม่ค่อยมีเวลานัก อั๊วเองก็ไม่อยากรบกวนคนอื่นด้วย..แต่ไม่ต้องห่วงนะ อั๊วจะให้เล่ยพยายามช่วยลื้อให้ถึงที่สุด
วรพลยิ้มรับกับความหวังที่อดีตภรรยามอบให้ ขอบใจมากนะ..แต่ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากให้เธอมาเยี่ยมอีก
อารดาเพียงแค่ยิ้มแกนๆ ก่อนจะหันไปเรียกบุตรชาย อาเล่ย..กลับกันเถอะ
ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตตัวในขณะก้าวเข้ามาเข็นรถเข็นของมารดาไปเคาะเรียกผู้คุม โดยไม่เหลือบสายตามองบิดาเช่นเคย
เมื่อขึ้นมาอยู่ภายในรถตู้..อารดาหันมาถามลูกชาย เรื่องของป๊าไปถึงไหนแล้วล่ะ..พอจะมีทางไม่ให้เขาติดคุกได้มั้ย แม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่ลึกๆก็ยังหวังว่าลูกจะสามารถทำได้สำเร็จ
อั๊วกำลังเจรจากับพวกตำรวจอยู่..กว่าจะรู้ผลก็เป็นเดือนๆ..
งั้นก็หมายความว่า..พอมีหวังสินะ
..อั๊วจะพยายามให้สำเร็จ
อารดายิ้มอย่างวางใจ ขอบใจมากนะ..จบเรื่องนี้อั๊วก็คงไม่ขออะไรลื้อแล้วล่ะ เพราะไอ้ที่เคยขอไปลื้อก็ไม่มีทีท่าว่าจะให้อั๊วสักที
อชิระยิ้มแกนๆ เมื่อรู้ว่ามารดาหมายถึงเรื่องอะไร และอารดาก็ถอนใจเฮือก เวลาที่รู้ข่าวว่าลูกชายมีผู้หญิงอยู่ข้างกาย ก็ได้แต่เฝ้าคอยว่าเมื่อไหร่ลูกจะพาผู้หญิงคนนั้นเข้าบ้านมาแนะนำให้รู้จักเสียที แต่เปลี่ยนไปคนแล้วคนเล่า นางก็ได้แต่ฝันลมๆแล้งๆจนหมดความอดทน และเอ่ยถามลูกชายในที่สุด..และคำตอบที่ได้ก็ทำให้นางหมดความหวังที่จะได้อุ้มหลานตัวน้อยๆ
ไว้รอให้ผู้หญิงพวกนั้นรักอั๊วจริงๆ ไม่ใช่รักที่เงินของอั๊วเมื่อไหร่ รับรองม่าได้อุ้มหลานแน่
นางไม่ได้คิดจะดูถูกน้ำใจผู้หญิงคนไหนหรอกนะ เพียงแต่..อาชีพการงานที่ลูกทำทุกวันนี้น่ะมันมีเวลาส่วนตัวเสียที่ไหนกัน กลางวันก็วุ่นวายแต่กับกองเอกสารและการประชุม ตกกลางคืนก็ไปควบคุมพวกธุรกิจคลับบาร์ บางเดือนก็ล่องหายไปกับเรือสำราญของตนเอง แล้วแบบนี้จะเหลือเวลาไปสืบเสาะหาผู้หญิงในอุดมคติได้ที่ไหนกัน นอกจากพวกที่เข้ามาหวังขุดทองจากลูกชายเท่านั้น
อชิระนิ่งเงียบไปอึดใจ เมื่อแวบหนึ่งคิดถึงเรื่องของเขากับเมธิกาขึ้นมา..แม้ว่าในความคิดที่ตั้งใจไว้ ว่าจะจัดงานหมั้นแบบเงียบๆ แต่ทางฝ่ายบุริมทร์นั้นก็ถือว่าเป็นคนกว้างขวางพอสมควร คิดว่างานนี้คงไม่สามารถรอดหูรอดตาพวกนักข่าวได้ และมันคงไม่เป็นการดีแน่ หากมารดามารู้ในภายหลัง..ถ้าไม่ร้องห่มร้องไห้เพราะน้อยใจ ก็คงไม่พูดกับเขาไปนานเลยทีเดียว
ชายหนุ่มครุ่นคิดก่อนตัดสินใจเกริ่นออกมาในที่สุด ม่า..อั๊วมีเรื่องจะบอก
เรื่องอะไรล่ะ
..คือ อั๊วจะหมั้นเร็วๆนี้ล่ะ..เราจะจัดงานกันเงียบๆ
อารดาหูผึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ จริงเหรอ ผู้หญิงคนไหนไม่เห็นลื้อพามาให้อั๊วเห็นเลย..ลื้อก็รู้ว่าอั๊วรอแล้วรอเล่า อยากเห็นคนที่จะมาเป็นเมียลื้อจริงๆเสียที ลื้อก็มัวแต่ท่ามากอยู่ได้
ก็อั๊วยังไม่มั่นใจนี่นา
แล้วคนนี้ลื้อมั่นใจแล้วเรอะ ถึงได้คิดจะหมั้นกับอีน่ะ
อชิระซ่อนอาการอึดอัดในสีหน้า ก่อนพยักหน้ารับ ..เขาก็น่ารักดี
แล้วแน่ใจเรอะว่า เขารักที่ตัวลื้อจริงๆ ไม่ใช่รักที่เงินน่ะ นางย้อนถามเพื่อความมั่นใจ ซึ่งลูกชายก็ยืนยันออกมาเต็มปากเต็มคำ
..รักที่ตัวอั๊วสิครับ ไม่งั้นอั๊วก็ไม่ขอหมั้นด้วยหรอก
คนฟังยิ้มหน้าบาน ฮ่า..งั้นจะต้องจัดงานหมั้นให้เสียเวลาทำไม ก็แต่งๆกันไปเลย อั๊วจะได้อุ้มหลานเสียที และคิดไปไกลถึงหลานชายหลานสาวแล้ว..ในขณะที่ใจคนฟังหล่นวูบ อึกอักเร่งหาทางเอาตัวรอด แต่มารดาก็ชิงพูดเสียก่อน
เดี๋ยวเย็นนี้ลื้องดไปข้างนอกสักวันนะ แล้วพาอีมากินข้าวด้วยกันหน่อย อั๊วจะได้ดูว่าจะเตรียมของรับไหว้แบบไหนให้ดี แล้วก็อยากรู้ว่าอีน่ารักขนาดไหน ถึงมัดใจคนช่างเลือกอย่างลื้อได้น่ะ
..คือ
นะอาเล่ย อั๊วอยากเห็นอีจริงๆ..ถ้าไม่ติดว่าลื้อต้องไปทำงานอั๊วคงให้ลื้อไปพาอีมาตอนนี้เลย
และเป็นอีกครั้งที่อชิระไม่สามารถต้านทานอาการกระตือรือร้นเปี่ยมด้วยความหวังของมารดาได้ จึงจำใจต้องรับปาก
ครับ..
ต่อค่ะ
จากคุณ |
:
ระรินใจ
|
เขียนเมื่อ |
:
28 มี.ค. 54 15:48:26
|
|
|
|