Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มณีนาคินทร์ ตอนที่ 26 - 27 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่  26

    ขุนเขาในป่าใหญ่ กว้างสุดลูกหูลูกตา พืชพรรณไม้งามตระกานตา ผีเสื้อสีสวยทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ต่างบินอวดปีกอันแสนสวยแปลกตา แข่งกับสีสันของดอกไม้ป่า ที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ นกป่าสีสันสดใส ร้องเจื้อยแจ้ว กระโดดไปมาบนกิ่งไม้กับพวกๆ ของมัน ธรรมชาติบนโลกมนุษย์ช่างสวยงามแปลกตา แสงมณีเพลิดเพลินกับการได้เดินชมสิ่งเหล่านี้ สองพี่น้องเดินทางด้วยเท้าเยี่ยงมนุษย์ และมาหยุดพัก ณ ริมลำธารใสเล็กๆ ที่มีสายน้ำใสสะอาดไหลผ่านลงมาจากบนเขา แสงมณีนั่งลงข้างลำธาร เอื้อมมือลงไปวักน้ำเล่น น้ำใสและเย็นชื่นใจ เธอหันมายิ้มให้พี่ชายและเอ่ยว่า

“สวยจริงๆ ดังเคยได้ยินมาเลยนะเพคะ”  

แสงขวัญเองก็ยอมรับกับความงามบนโลกมนุษย์ ทำให้เขาหายจากความกลัดกลุ้มเรื่องพระเชษฐาแสงฟ้าไปสักพัก   แสงขวัญนั่งลงข้างๆ แสงมณี เขาเอนกายนอนลงใต้โคนต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งใบแผ่หนากันแดดได้เป็นอย่างดี สายลมโชยมา พากลิ่นดอกไม้ป่าหอมฟุ้งมาด้วย ด้วยควาเหนื่อยอ่อน พอเอนกายได้เพียงครู่ แสงขวัญก็เผลอหลับไป แสงมณีหันมาเห็นพระเชษฐาทรงบรรทม นางกขยับเข้ามาใกล้ร่างที่นิทราอยู่ แสงมณีนั่งจ้องมองพระพักตร์ของพระเชษฐาที่นอนหลับตาพริ้ม แล้วยิ้มอย่างเอ็นดู

“จ้าวพี่ ยามบรรทม ช่างน่ารักจริงๆ”    แสงมณีกล่าวกับตัวเองเบาๆ นาง
ปล่อยให้พระเชษฐาได้พักผ่อนสักครู่ ก่อนออกเดินทางกันอีกครั้ง แล้วสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นผีเสื้อตัวใหญ่ยักษ์ ปีกที่กางออกยามกระพือช่างสวยงามยิ่งนัก มันสวยงามจนทำให้นางต้องลุกขึ้นติดตามมันไป แสงมณีเดินตามเจ้าผีเสื้อที่มันบินระใบไม้เตี้ยๆ ไปข้างหน้า จนกระทั่งเริ่มห่างจากที่แสงขวัญนอนหลับ

กล้วยไม้ป่าออกดอกสะพรั่งสวยงาม ตามต้นไม้ใหญ่ที่พวกมันเกาะอยู่ เจ้าผีเสื้อยักษ์สีสวยมันหายไปเสียแล้ว มันคงบินหลบเลี้ยวไป แสงมณีหมดความสนใจผีเสื้อ เพราะมีสิ่งอื่นให้ได้ดูอีกมากมาย นางเดินมาจนกระทั่งถึงโค้งลำธารอีกแห่ง เพราะมัวแต่เงยหน้ามองเหล่ากล้วยไม้สีสวย ทำให้นางสะดุดเข้ากับบางสิ่งที่กองขวางทางเดิน แสงมณีล้มไปข้างหน้า ดีที่ใช้มือดันพื้นทัน ไม่เช่นนั้นคงหน้าแตะพื้นแน่นอน นางยันตัวขึ้นมา และหันไปดูเจ้าสิ่งที่นางสะดุดเมื่อสักครู่ แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้เจ้าหญิงแห่งนครบาดาลตกใจ...ศพกวางตัวโตเต็มวัย มันถูกฆ่า สภาพศพเหวอะหวะ น่าจะถูกกัดแทะจากสัตว์กินเนื้อ แต่ที่เห็นได้ชัดคือ...ส่วนหัว เขาทั้งสองข้างหายไป รอยที่เห็นน่าจะถูกตัดด้วยของมีคมมากกว่า แสงมณีรีบลุกขึ้นยืน นางมองไปรอบๆ สัญชาตญาณบอกให้นางต้องระวังตัว...และนั่นไม่ไกลจากที่นางยืนอยู่ เห็นอีกศพหนึ่ง แสงมณีเดินเข้าไปดู ศพนี้น่าจะเพิ่งตายใหม่ มันคือ...ช้างตัวใหญ่ มันถูกล้มเพื่อเอางาเช่นกัน  

“นี่มันอะไรกัน เป็นน้ำมือของผู้ใด ทำไมใจคอโหดร้ายเช่นนี้”

แสงมณีพูดด้วยความอนาจใจ


    ขณะที่แสงมณีจ้องมองศพช้างป่าอย่างสลดหดหู่

แกร๊ก!

เสียงกิ่งไม้โดนเหยียบหักดังมาจากอีกด้านของนาง แสงมณีตกใจรีบหันไปมองตามเสียง นางพยายามจะหาที่หลบ แต่ช้าไปเสียแล้ว ชายฉกรรจ์ห้าคน เดินพ้นพุ่มไม้ออกมา ทุกคนมองเห็นแสงมณีแล้วถึงกับตะลึง

“โอโห...เราเจอนางฟ้ากลางป่าหรือนี่”  ชายหนึ่งในห้าบอก สี่คนรวมทั้งเจ้าคนที่พูดเมื่อสักครู่ก็ทำตาหวานใส่แสงมณี นางรู้สึกทุเรศในตายิ่ง

“ข้าไม่ร่วมกับพวกเองนะ เชิญตามสบาย”   คนที่ท่าทางเคร่งขรึมบอก และทำท่าจะเดินหนีไปอีกทาง เจ้าคนที่พูดแซวแสงมณีดึงแขนเขาไว้และถามว่า

“อ้าว ทำไมล่ะพี่ผาก ของดีๆ นานๆ เจอที ก็แบ่งๆ กันไป”    

“ไม่โว้ย ข้าผิดศีลข้อสามไม่ได้ เดี๋ยวของเสื่อมหมด”    พรานผากพูดจบก็สะบัดแขนออกจากมือของเจ้าคนถาม และเดินหนีไปอีกทาง อีกสี่คนที่เหลือก็ไม่รอช้า พวกมันเดินเข้าหาแสงมณี ทำเหมือนพรานกำลังต้อนเหยื่ออย่างนั้น แสงมณีตอนแรกก็ตกใจบ้าง แต่เมื่อนางตั้งสติได้ นางจึงยืนเฉย จ้องมองพวกมันด้วยสายตาที่แข็งกร้าว รอจนพวกมันทั้งสี่ตีวงเข้ามาจนใกล้

“เจ้าพวกมนุษย์ใจทราม เจ้าคิดจะทำอะไร?”   แสงมณีถาม

“โอ้โห ใช้คำพูดแปลกๆ เสียด้วย ไม่เป็นไรนะจ้ะ อีกประเดี๋ยว น้องสาวก็ต้องเปลี่ยนการพูดจาเสียใหม่แล้วล่ะ มามะ เรามามีความสุขกันดีกว่า พวกพี่น่ะเก่งๆ กันทั้งนั้นนะ สวยๆ อย่างน้องสาวนี่พวกพี่จะถนอมที่สุดเลย”    พูดจบ เจ้าคนพูดก็คว้าข้อมือของแสงมณีไว้

“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้ เจ้ามนุษย์สกปรก!”     แสงมณีตวาดด้วยเสียงอันดัง

“ปล่อยให้โง่สิจ้ะ คนสวย”    ไม่พูดเปล่า มันยักคิ้วหลิ่วตาให้แสงมณีด้วย

“งั้นเจ้าก็ต้องเห็นฤทธิ์ของเรา”   แสงมณีประกาศก้อง แล้วร่างของนางก็เปลี่ยนไป กลายเป็นพญานาคตัวใหญ่ ลำตัวมีเกล็ดสีเงินยวงไปทั่วตัว ดวงตาสีทับทิมสดจ้องมองเจ้ามนุษย์ทั้งสี่อย่างมาดหมาย ไม่ทันที่ทั้งสี่จะได้กระดิกตัว นางนาคสาวตรงเข้ารัดต่างเจ้ามนุษย์ที่เมื่อสักครู่คว้ามือนางไว้ จนร่างแหลกเหลว เลือดและเศษชิ้นเนื้อกระจายไปทั่วบริเวณ และใช้หางกวาดไปที่ร่างทั้งสามที่เหลือกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ร่างทั้งสามกระเด็นไปกระแทกต้นไม้ และหินใหญ่ ถึงกับกระอักเลือดสดๆ ออกมากันอย่างทั่วหน้า  


    แผ่นดินสะเทือนไหว ทำให้แสงขวัญสะดุ้งตื่นจากนิทราอันแสนหวาน เมื่อมองไปรอบๆ ไม่เห็นพระขนิษฐา จึงรู้ได้ทันทีว่าแสงมณีกำลังมีภัย จึงทรงรีบลุกขึ้นและวิ่งตามหา


     พรานผากวิ่งเข้ามา เห็นพญานาคลำตัวสีเงินยวง เขาถึงกับยิ้มอย่างดีใจ  

“วันนี้ ข้าโชคดีเหลือเกิน ที่พบพญานาคเข้าจนได้ อิทธิฤทธิ์มากขนาดนี้  ต้องไม่ใช่พวกนาคธรรมดาแน่นอน”

พรานผากพูดจบ ก็เอามือล้วงเข้าไปในย่ามสีเหลืองใบใหญ่ หยิบเอาบ่วงนาคบาศออกมาและบริกรรมคาถาใส่ทันที พญานาคแสงมณีพุ่งตัวเข้ามาหมายจะทำร้ายพรานผาก เป็นช่วงที่พรานผากโยนบ่วงนาคบาศไปที่ร่างนางทันที พญานาคแสงมณีโดนบ่วงนาคบาศรัด ทุรนทุรายเจ็บปวดยิ่ง นางกลิ้งลำตัวไปตามพื้นป่า จนต้นไม้รอบๆ หักโค่น ล้มระเนระนาดเป็นบริเวณกว้าง พรานผากหยิบคัมภีร์โบราณออกมา เขาเปิดอ่านมนต์ในเล่มทันที เพียงครู่ร่างพญานาคแสงมณีค่อยๆ ย่อตัวเล็กลงๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือตัวเท่างูเหลือมตัวใหญ่ ดิ้นทรมานพลิกไปมาอยู่บนพื้น พรานผากเดินเข้าไปหาร่างพญานาคย่อส่วน แล้วใช้เชือกกล้วยลงอาคมแห่งคัมภีร์โบราณมัดแสงมณีไว้ พรานผากชักกริชเงินออกมาจากฝัก พญานาคแสงมณีจ้องมองพรานผากและถามว่า

“เราไม่มีเรื่องแค้นเคืองกัน ทำไมเจ้าทำกับเราอย่างนี้”  

“ใช่ ไม่มี แต่เพราะท่านมีมณีนาคินทร์อยู่ ข้าตามหามณีนาคินทร์ตามตำนานโบราณมานานแล้ว ผู้ใดได้ครอบครองจะอยู่ยงคงกระพัน ยิง ฟันไม่เข้า และยังช่วยรักษาโรคร้ายต่างๆ ป้องกันอันตรายจากสัตว์มีพิษทั้งหลายได้อีก”   พรานผากบอก

“เจ้าก็เลยอยากครอบครองไว้ เชอะ! มนุษย์ เจ้าช่างน่าไม่อาย เจ้าทำลายชีวิตคนอื่นเพียงเพื่อเจ้าต้องการสิ่งที่เจ้าเรียกว่า ของวิเศษ จำไว้! มณีนาคินทร์ ไ่ม่ใช่จะได้ครอบครองกันง่ายๆ เมื่อข้าไม่ให้เจ้าก็ไม่มีวันได้ แม้ฆ่าข้าตาย เจ้าก็จะไม่ได้ครอบครองมัน จำไว้!”

พญานาคแสงมณีประกาศิตลั่น เสียงฟ้าร้องดังลั่น สายอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมาไม่ไกลจากร่างของพรานผากนัก เหมือนดั่งได้รับรู้คำสาปแห่งนาคี พรานผากเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เมฆดำเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาบดบังแสงอาทิตย์อย่างรวดเร็ว พรานผากหาได้สนใจดินฟ้าอากาศตอนนี้ไม่ เขาก้มลงมองร่างของพญานาคแสงมณี คว้าคอนางขึ้นมากำไว้ในอุ้งมือซ้าย แสงมณีในร่างพญานาคดิ้นม้วยตัวไปมา และชูกริชเงินที่ถือไว้ในมือขวาขึ้นเงื้อ และพูดว่า

“ยังไงวันนี้ ข้าก็ขอรับมณีนาคินทร์ในตัวเจ้าไว้ อโหสิให้ข้านะ”

พรานผากกำคอของพญานาคแสงมณีไว้แน่นขึ้น และลงมือแทงกริชไปที่หัวของนาง แต่แสงขวัญเข้ามาคว้าข้อมือที่ถือกริชไว้ทัน แสงขวัญบิดมือขวาของพรานผากจนเจ็บ กริชหล่นจากมือร่วงลงไปกองบนพื้น พรานผากรีบปล่อยร่างของพญานาคแสงมณีให้ร่วงลงไปนอนกองที่พื้นเช่นกัน และก่อนที่พรานใจร้ายจะได้กระทำสิ่งใดต่อ แสงขวัญก็เหวี่ยงร่างของพรานละโมบกระเด็นไปกระแทกโคนต้นไม้ใหญ่ พรานผากถึงกับจุกแน่นที่หน้าอก แสงขวัญไม่รอช้ารีบเข้าช่วยพญานาคแสงมณีทันที แต่เมื่อเขาใช้มือจับเส้นเชือกที่รัดตามตัวของพระขนิษฐา เขาก็ต้องรับเอามือออกทันที

“โอ๊ย! ทำไมมันร้อนอย่างนี้”    

แสงขวัญยกมือของตนขึ้นดู ปรากฏรอยไหม้เป็นลายเส้นเชือกติดที่ฝ่ามือของเขา

“จ้าวพี่!”     แสงมณีร้องเรียกอย่างเป็นห่วง ด้วยอำนาจแห่งคัมภีร์ทำให้อิทธิฤทธิ์ของพญานาคแสงมณีเสื่อมชั่วคราว ตอนนี้พญานาคแสงมณีไม่ต่างอะไรกับงูดินทั่วไป

“มนตราเพคะ มนตราแห่งคัมภีร์โบราณ จ้าวพี่ต้องระวังพระองค์นะเพคะ”  

แสงมณีพูดจบ ยังไม่ทันที่แสงขวัญจะได้ทันตั้งตัว บ่วงนาคบาศก็ถูกเหวี่ยงมารัดตัวของแสงขวัญเอาไว้

“โอ๊ย!”     แสงขวัญร้องลั่น เขาดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของบ่วงนาคบาศ แต่ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ก็เหมือนมันรัดแน่นขึ้นเท่านั้น

“จ้าวพี่!”    แสงมณีร้องเรียกเมื่อเห็นพระเชษฐาเสียที

“ฮ่าๆๆๆ เป็นลาภของข้าจริงๆ ข้าสู้ดั้นด้นตามหามณีนาคินทร์เกือบยี่สิบปี จุ่ๆ มณีนาคินทร์ก็วิ่งมาหาข้าถึงสองดวง ช่างเป็นวาสนาของข้าจริงๆ”

พรานผากหัวเราะดีใจลั่น แสงขวัญพยายามดิ้นรนอีกครั้ง เขาจ้องมองไปที่ร่างพรานผาก พรานใจละโมบไม่รอช้าให้เสียเวลา เขาเดินเข้ามาหยิบกริชเงินขึ้น และตรงไปที่ร่างของพญานาคแสงมณีทันที
พรานขมังเวทย์คว้าคอของพญานาคแสงมณีขึ้น และแทงจ้วงที่หัวของนาง

“กรี๊ด!...”   เสียงร้องของแสงมณีดังลั่นป่า

“อย่า...”   แสงขวัญตะโกนลั่น ร่างของพญานาคแสงมณีกระตุกอย่างแรงและค่อยๆ อ่อนแรงลง พรานผากลากกริชเงินจากบนหัวลงมายาวจนถึงช่วงท้องของพญางู แสงมณียังไม่ตายเสียทีเดียว นางทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงก่อนสิ้นใจ แสงขวัญน้ำตาไหลพราก เมื่อเห็นมนุษย์ทำร้ายน้องสาวของเขาต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาช่วยอะไรน้องไม่ได้เลย

“แสงมณี”    แสงขวัญได้แต่เรียกชื่อน้องสาว น้ำตาแห่งความสูญเสีย และความเจ็บแค้น พรานผากควักเอามณีนาคินทร์จากร่างของพญานาคแสงมณี เขากำดวงมณีดวงเล็กที่เปื้อนเลือดสดๆ ในมือ และระเบิดเสียงหัวเราะอย่างผู้มีชัย

“ฮ่าๆๆๆ ในที่สุด ข้าก็ได้ครอบครองมันจนได้”

จากความเสียใจกลับกลายเป็นพลังแห่งความโกรธแค้น แสงขวัญจึงออกอุบายแกล้งทำสลบไป พรานผากหันมาเห็นร่างของแสงขวัญนอนแน่นิ่ง จึงตรงเข้าไปหาก

“คราวนี้ก็ถึงเวลาของท่านบ้างล่ะ”    พรานผากพูดจบ จึงร่ายมนต์เรียกบ่วงนาคบาศคืนกลับมา ในทันทีที่บ่วงหลุดจากกาย  แสงขวัญก็ลืมตาขึ้น เขารีบลุกขึ้นพุ่งร่างเข้าชนร่างพรานผากจนล้มกลิ้งไปกับพื้นดิน มณีนาคินทร์ในมือของพรานผากจึงหลุดกระเด็นจากมือของเขา แสงขวัญวิ่งเข้าไปคว้าดวงมณีที่กลิ้งที่พื้นเอาไว้ในมือของตน และวิ่งหนีหายเข้าไปในป่ารกชัฏ ชายฉกรรจ์ที่เหลืออีกสามคนพาร่างอันสะบักสะบอมของตนเข้ามาช่วยพยุงร่างของพรานผากให้ลุกขึ้น พรานผากลุกขึ้นได้ เขาสบถอย่างเสียดาย

“หนอย! อีกนิดเดียวก็จะได้อยู่แล้ว”

“เอายังไงดีพี่ผาก?”      หนึ่งในผู้ร่วมทางถามเหมือนขอความเห็น

“ตามมันไป ยังไงข้าก็ต้องได้มณีนาคินทร์ทั้งสองดวงคืนมา”

พรานผากบอกเสียงดัง ทั้งหมดจึงพากันสะกดรอยตามแสงขวัญไป



ตอนที่ 27


     แสงขวัญหนีกระเซอะกระเซิงไปตามทางป่ารกชัฏ ภาพความตายของแสงมณียังคงติดตาและความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยเหลือน้องสาวได้ ทำให้แสงขวัญเจ็บช้ำใจยิ่งนัก เขากำดวงมณีนาคินทร์ไว้ในมือแน่น เหมือนดั่งกลัวว่าสิ่งสำคัญในกำืมือจะหลุดหายไป ด้วยฤทธิ์แห่งบ่วงนาคบาศ ทำให้ฤทธาของแสงขวัญหายไปสิ้น ตอนนี้เขามีสภาพไม่ต่างจากมนุษย์น้อยธรรมดา การหนีครั้งนี้ต้องเดิมพันด้วยชีวิต ตลอดทางที่วิ่งหนีผ่านดงไม้ หนามแหลม และกิ่งไม้ทิ่มแทงตามร่างกายของเขา ทำให้เกิดบาดแผล และรอยถลอกเต็มตามเนื้อตัวของเจ้าชายแห่งนครบาดาล ความเจ็บปวดกายที่ได้รับนั้นแสนสาหัสยิ่ง แต่ก็ยังไม่เท่าความเจ็บปวดภายในหัวใจของพระอนุชาแห่งนาคราชแสงฟ้า

“พี่ผิดเอง พี่ช่วยเหลือเจ้าไม่ได้ พี่สัญญา แสงมณี พี่ต้องทำให้เจ้าฟื้นมาให้ได้...พี่สัญญา”    

เป็นประโยคที่เจ้าชายนาคราชแสงขวัญรำพึงรำัพันไปตลอดทางที่วิ่งหนีการตามล่า น้ำตาแห่งความอาดูร และความสูญเสีย บวกกับความแค้นที่แน่นอก เมื่อระลึกไปถึงพระเชษฐาแสงฟ้า พระองค์ละทิ้งทุกอย่าง เพื่อแค่ให้ตนพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แสงขวัญสบถเสียงเข้ม ระหว่างทางที่วิ่งหนีว่า

“ท่านใจดำมาก จ้าวพี่แสงฟ้า”


     พระอนุชานาคาหนีการตามล่าจากพรานผากและพวก จนมาถึงกระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งซ่อนตัวอยู่กลางป่า ห่างไกลผู้คน ด้วยอิทธิฤทธิ์ของแสงขวัญยังไม่กลับคืนมา ตอนนี้เขาจึงต้องเดินป่าหนีเอาตัวรอดเยี่ยงมนุษย์ เรี่ยวแรงเริ่มอ่อนล้าเต็มที ดวงตาเริ่มพล่ามัว มองทางเริ่มไม่ชัด สติสัมปชัญญะเริ่มลางเลือน แสงขวัญพยายามก้าวเท้าไปให้ถึงกระท่อมหลังนั้น จนในที่สุดเขาก็มาล้มลงหมดสติหน้ากระท่อมหลังนั้นพอดี


    แสงขวัญค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขามองไปรอบๆ พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในกระท่อม บนตัวของเขามีผ้าห่มผืนเก่าๆ สีมอๆ ห่มให้อย่างเรียบร้อย แสงขวัญค่อยๆ เอามือข้างขวาออกมาจากผ้าห่ม และเลิกมันลงไปจากหน้าอกจนถึงเอว และมองที่ร่างกายของเขา มีสมุนไพรปิดไว้ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย แสงขวัญพยายามลุกขึ้นอย่างช้าๆ จนสามารถนั่งได้ปกติ แล้วสิ่งที่ให้เขาตกใจคือ...ดวงมณีไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว ไม่รอช้า เขารีบลุกขึ้นหามณีนาคินทร์เป็นการใหญ่

แอ๊ด...

เสียงประตูไม้เก่าเสียดสีกันดังตอนที่เปิด ทำให้แสงขวัญรีบหันขวับไปมองทางต้นเสียงทันที ชายวัยกลางคนท่าทางใจดี ยกถาดอาหารหย่อมๆ เข้ามา เขาเดินตรงมาหาที่แสงขวัญกำลังนั่งอยู่ และนั่งลงไม่ห่างจากแสงขวัญ พร้อมวางถาดในมือลงที่พื้นห้อง  

“เป็นไงบ้างพ่อหนุ่ม ฟื้นก็ดีแล้ว กินข้าวกินปลาก่อนนะ”   ชายแปลกหน้าบอก

“เราอยู่ที่ไหน แล้วของ...ของเราอยู่ที่ไหน?”     แสงขวัญรีบถาม

“ของ...”   ชายแปลกหน้าท่าทางใจดีทำท่านึก แล้วเขาก็ยิ้มและพูดว่า

“อ๋อ...ไอ้ลูกแก้วนั่นน่ะหรือ อยู่นี่ ข้าเก็บไว้ให้พ่อหนุ่มแล้ว คิดว่ามันคงเป็นของสำคัญ ข้าเลยแอบเอาไ้ว้”

ชายแปลกหน้าพูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินไปที่หีบเสื้อผ้าเก่าๆ เปิดฝาด้านบนขึ้น และล้วงมือลงไปควานหาสักพัก หยิบดวงแก้วใส ขึ้นมา ปิดฝาหีบเสื้อไว้ดั่งเดิม และเดินกลับมาที่แสงขวัญ เขานั่งลงที่ตำแหน่งเดิมตอนแรก และส่งของในมือคืนให้เจ้าของ  แสงขวัญรีบรับกลับมาและสำรวจสิ่งสำคัญของชีวิตของเขา

“พ่อหนุ่มไปโดนอะไรมา ท่าทางเหมือนหนีใครมา?”   ชายใจดีถาม

“ท่านช่วยทำแผลให้เราหรือ?”    แสงขวัญถาม และก้มมองแผลตามตัว

“ก็ใช่น่ะสิ แถวนี้ไม่มีคนหรอก ข้าเองตั้งแต่เมียตายจากไป ก็อยู่คนเดียวมาตลอด”    ชายแปลกหน้าใจดีตอบ

“เหมือนเรา เราก็เพิ่งเสียน้องสาวไปเมื่อไม่นานมานี่เอง”   แสงขวัญบอกด้วยนัยน์ตาที่โศก

“โอ! ข้าเสียใจด้วย ไม่น่าโชคร้ายเล้ย”   ชายใจดีแสดงความเสียใจ

“แต่ถึงยังไงพ่อหนุ่มก็ต้องอยู่ เพราะฉะนั้นท่านก็ต้องกินข้าวกินปลาเสียก่อน ท่าทางของพ่อหนุ่มคงเป็นคนในเมือง เพราะดูลักษณะแล้วมีสง่าราศี ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไป อาหารบ้านป่าก็มีแค่นี้ล่ะนะ หวังว่าท่านคงกินได้”      

ชายแปลกหน้าใจดีพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร แสงขวัญยิ้มให้เขา และกล่าวขอบคุณ

“เป็นครั้งแรก ที่เราได้เจอมนุษย์ที่มีจิตใจดี ขอบคุณมาก”  

“เอาเถอะพ่อหนุ่ม อย่ามัวแต่ขอบคุณอะไรอยู่เลย เอาเป็นว่าพ่อหนุ่มค่อยๆ กินข้าวกินปลาไปก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะออกไปหาฟืนมาไว้ นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว คืนนี้อากาศคงหนาวแน่ๆ ข้าไปล่ะ”

แล้วชายแปลกหน้าผู้โอบอ้อม ก็ลุกขึ้นและเดินออกไป ไม่ลืมปิดประตูให้เหมือนเดิม เสียงประตูเสียดสีกันดังและเงียบไป หลังจากชายผู้อารีออกไป แสงขวัญจึงหันมาหาอาหารในถาดที่วางตรงหน้า...ข้าวเหนียวถูกบรรจุลงในกระติบเล็กๆ กระดำกระ่ด่างและเก่า...ถัดมาในจานสังกะสีกะเทาะคือไข่ต้มที่ผ่าซีก...มีถ้วยน้ำพริกเล็กๆ พร้อมผักสดอีกสองสามอย่าง... พระอนุชานาคายิ้มและพูดเบาๆ ว่า

“นี่หรืออาหารของมนุษย์”  


    ราตรีกาลเริ่มเลื่อนผ่านเข้ามา ท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ อาจเป็นเพราะตอนนี้เข้าสู่ฤดูเหมันต์แล้ว อากาศหนาวเย็น ชายแปลกหน้าผู้อารี ยกห้องของเขาให้แสงขวัญได้พักผ่อนเต็มที่ ส่วนตัวเขาเองออกไปนอนที่แคร่หน้ากองไฟที่ลุกโชน พระอนุชานาคานอนหลับตาด้วยความระมัดระวัง มือของเขายังคงกำมณีนาคินทร์ไว้ตลอดเวลา ไม่ยอมให้ห่างหายไปไหน ด้วยประสาทสัมผัสที่ว่องไวกว่ามนุษย์ ทำให้แสงขวัญได้ิยินเสียงฝีเท้ามนุษย์หลายคนมาหยุดหน้ากระท่อม คนป่วยภายในกระท่อมจึงค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปแอบมองที่ฝาเรือนซึ่งมีรูอยู่...นั่นไง...พรานใจร้ายและพวกอีกสามคนกำลังยืนสนทนากับชายผู้โอบอ้อม แล้วตัวพรานใจร้ายก็ยื่นห่อผ้าเล็กๆ ให้ชายใจดีคนนั้น เขารับมาเปิดออกดู ชายผู้นั้นตาโต มองสิ่งที่อยู่ในห่อผ้านั้น...มันคือทองคำ


“ท่านให้ข้าจริงๆ หรือ?”       ชายเจ้าของกระท่อมถามพรานผากที่ืยืนมองนิ่ง

“ก็จริงน่ะสิ ข้าเป็นคนมีศีลนะ ข้าโกหกไม่ได้ แต่มีข้อแม้”   พรานผากพูดทิ้งท้ายแล้วหยุด  ชายคนที่ถือห่อผ้าเงยหน้าถามทันที

“ท่านมีข้อแม้อะไรหรือ?”

“ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าสักอย่าง”   พรานผากบอกและยิ้มอย่างมีเลศนัย เมื่อความโลภเข้าครอบงำ ชายเจ้าของกระท่อมก็ลืมมโนธรรมจนสิ้น

“ได้...ได้สิ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่ข้าจะทำได้ล่ะก้อ ข้ายินดี”
พูดจบก็ก้มมองทองบนห่อผ้าในมือของตน

“ข้าตามหาชายหนุ่มคนหนึ่ง มันเป็นนักโทษของข้า มันทำร้ายข้าและหลบหนีมา ท่านพอจะเห็นเขาบ้างมั้ย?”    พรานผากถาม ชายเจ้าของกระท่อมนิ่วหัวคิ้ว เงยหน้ามองหน้าผู้ถามเมื่อครู่

“ลักษณะของเขาไม่เหมือนคนอื่นๆ ผิวขาว ตัวสูงใหญ่ แต่งตัวประหลาดๆ ใบหน้าคมคาย ท่านเห็นบ้างมั้ย?”    

พรานผากอธิบายลักษณะของนักโทษของเขา ชายเจ้าของกระท่อมก้มมองทองคำในมือของตนอีกครั้ง และตัดสินใจเลือกสิ่งที่อยู่ในมือของตนเอง เขาจึงพยักหน้า และหันหน้าไปบนเรือน กระท่อมของเขา เท่านั้นพรานผากก็รู้ได้ทันทีว่า นักโทษที่เขาตามล่าอยู่ หลบซ่อนตัวอยู่บนกระท่อม พรานผากยื่นมือไปตบบ่าชายเจ้าของกระท่อมและพูดว่า

“ขอบใจ ท่านทำตัวได้เป็นประโยชน์กับข้ามาก ทองคำนั่น ตอนนี้มันเป็นของท่านแล้ว”

พูดจบ พรานผากก็เดินเลยผ่านร่างชายเจ้าของกระท่อมขึ้นเรือนไป ชายฉกรรจ์อีกสามที่ติดตามมาพากันกรูตามขึ้นไปเช่นกัน ชายเจ้าของกระท่อมไม่ได้สนใจใยดีกับเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อไปภายในเคหะสถานของตน เขาสนใจและยืนชื่นชมสิ่งล้ำค่าที่อยู่ในมือของเขาอย่างสมใจ


    พรานผาก ผลักประตูเข้าไปในห้อง พบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว

“เราถูกเจ้างั่งข้างล่างมันหลอกแน่นอน”    หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่ติดตามมาบอก  พรานผากยกมือขึ้นห้าม และมองไปรอบๆ ห้อง เห็นหน้าต่างถูกเิปิดค้างไว้ เขาเดินตรงไปที่หน้าต่างและชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง มองออกไปยังภูมิประเทศภายนอก และดึงศีรษะกลับเข้ามาภายในตัวกระท่อม แล้วพูดกับผู้ร่วมคณะทั้งสามว่า

“มันคงไหวตัวทัน หนีไป แต่ท่าทางมันคงยังไปไม่ได้ไกลหรอก เพราะตอนนี้อิทธิฤทธิ์ของมันยังไม่ฟื้นดี ไปเถอะ เรารีบตามมันไป”  

แล้วพรานผากก็เดินนำหน้าคนทั้งสามออกไปจากกระท่อมทันที เดินผ่านร่างชายเจ้าของกระท่อมออกไป โดยไม่ได้สนใจเขา ชายเจ้าของกระท่อมเงยหน้ามองทั้งสี่คนที่เพิ่งเอาโชคมหาศาลมาให้ จากไป


    แสงขวัญยังคงบาดเจ็บ เขาดึงสมุนไพรที่ติดตามตัวทิ้งจนหมด กำลังวังชายังไม่ฟื้นดี ร่างกายยังคงกะปลกกะเปลี้ย อ่อนแรง พระอนุชานาคายังคงเข้าสู่การถูกตามล่าเช่นเดิม เขาพยายามพาสังขารที่ไม่สมบูรณ์หนี ตลอดทางความเจ็บปวดที่เข้าซ้ำเติม เพิ่มจากความสูญเสียน้องสาว คือ..การถูกทรยศจากน้ำมือของมนุษย์ที่เขาไว้วางใจ ตลอดทางที่หนีหัวซุกหัวซุน เขาลั่นวาจาไว้ว่า

“มนุษย์! เชื่อถือใดๆ ไม่ได้ สับปลับ ข้าไม่มีวันเชื่อพวกเจ้าอีกแล้ว”


     แสงขวัญพยายามพาร่างอันบอบช้ำและหัวใจที่ปวดร้าวหนีมาจนถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ปากถ้ำค่อนข้างจะหลบเร้นจากสายตาของมนุษย์ เจ้าชายแห่งเมืองบาดาลยืนพินิจหน้าถ้ำอยู่เพียงครู่ ก็รู้ได้ทันทีว่าถ้ำแห่งนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น มีอำนาจบางอย่างรออยู่ภายในถ้ำ แสงขวัญไม่รอช้า เขารีบก้าวเท้าทั้งสองเข้าไปในถ้ำนั้นทันที


    เมื่อเข้าสู่ภายในถ้ำ แสงขวัญไม่ทันได้สนใจใดๆ ทั้งสิ้น เขาเดินคลำทางเข้าไป เพราะภายในถ้ำนั้นมืดมาก แทบมองไม่เห็นทางด้วยซ้ำ เขาเดินลึกเข้าไปตามแนวของผนังถ้ำ จนไม่รู้ว่าเดินเข้ามาลึกถึงไหน แต่เรี่ยวแรงนั้นเริ่มจะหมดสิ้น แสงขวัญจึงหันหลังพิงเข้ากับผนังถ้ำเพื่อพยุงร่างกายให้ยืนหยัดอยู่ แล้วบางสิ่งสีดำสนิทก็ค่อยๆ เคลื่อนที่ ไหลลงมาที่ไหล่ของผู้มาเยือน แสงขวัญค่อยๆ หันไปมอง พร้อมทั้งรีบผละออกจากผนังถ้ำทันที พระอนุชานาคายืนมองเจ้าสิ่งที่ไหลลงมาเมื่อครู่ พินิจเจ้าสิ่งนั้นอย่างละเอียด แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนเรียวปากของชายหนุ่ม

“วิเศษจริง ที่แท้ที่นี่ก็เต็มไปด้วยเหล่าเหล็กไหลนี่เอง มิน่าเล่าข้าถึงได้รู้สึกถึงพลังอำนาจที่แฝงอยู่”

แสงขวัญประนมมือขึ้นระดับหน้าอก และกล่าวว่า

“ข้าชื่อแสงขวัญ เป็นพญานาคแห่งนครบาดาล ตอนนี้ข้าเสียทีศัตรูมา และได้รับบาดเจ็บ ข้าขอพักรักษากายและบำเพ็ญอิทธิฤทธิ์ ณ ที่แห่งนี้ ขอโปรดเมตตาให้ข้าได้พักพิงด้วยเถิด”

จบคำกล่าวขออนุญาตของพญานาคาหนุ่ม เหล่าเหล็กไหลพากันย้อยตัวออกมามากมาย เป็นการบอกกล่าวอนุญาต จากเจ้าของที่ แสงขวัญเอามือที่ประนมลงข้างลำตัว และมองเหล่าเหล็กไหลนั้น และยิ้มรับอย่างเป็นมิตร

“ขอบคุณ”    นาคาหนุ่มเปล่งวาจา

จากคุณ : ศรนรินทร์
เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 22:15:15




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com