Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 9 หมู่บ้านสยอง ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 8 ด้านมืดกับด้านสว่าง

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10371677/W10371677.html


<9>

หมู่บ้านสยอง

เสียงฝีเท้าม้าราวยี่สิบตัววิ่งผ่านพื้นแผ่นดินอันแห้งแล้งจนฝุ่นฟุ้งกระจาย กองทหารของ
มอร์เซลโดยการนำของนายกองเบรฟซึ่งตระเวณตรวจตราดูแลความสงบตลอดจนมอบความช่วยเหลือให้แก่พลเมืองที่เดือดร้อนจากการรุกรานของแซฟเวจย์ในแถบชายแดนค่อนไปทางเหนือข้ามแม่น้ำ
สวิฟท์ หลังจากนำกำลังวิ่งผ่านไอแดดร้อนระอุมาเกือบตลอดทั้งวัน เบรฟก็มาถึงยังหมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เขารั้งบังเหียนบังคับม้าของตนพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อสั่งให้ทหารหยุด สายตาอันคมกริบมองจ้องตรงไปยังเบื้องหน้า นายทหารคนหนึ่งชักม้าเข้ามาใกล้ๆและถาม

“มีอะไรผิดปรกติหรือ ท่านเบรฟ”

“หมู่บ้านนั่นทำไมถึงดูเงียบเชียบนัก” เบรฟกล่าวตอบ “ใกล้ค่ำป่านนี้แล้วน่าจะมีควันไฟลอยขึ้นมาจากปล่องหลังคาบ้าง แต่นี่ไม่มีอะไรเลย”

“พวกเขาอาจจะกลัวเจ้าพวกผีดิบของแซฟเวจย์จนไม่กล้าทำอะไรก็ได้”

“พวกผีดิบจะออกมาล่าเหยื่อทันทีที่แสงตะวันลับขอบฟ้า เจ้าคิดว่าพวกชาวบ้านจะไม่รีบก่อฟืนติดไฟเพื่อขับไล่เจ้าพวกอมนุษย์เหล่านั้นหรือ” เบรฟหันไปตอบ ทหารอีกคนหนึ่งจึงพูด

“หรือว่าพวกเขาถูกผีดิบสังหารไปจนหมดแล้ว”

“ข้ากลัวว่าจะเป็นอย่างนั้น” เบรฟตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและหันไปมองทหารในบังคับบัญชาของเขา

“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร พวกเราก็ต้องค้างคืนที่หมู่บ้านแห่งนี้ เพราะคงไม่ปลอดภัยแน่หากจะเดินทางกันในยามค่ำคืน”

เขาโบกมือขึ้นขณะที่พูดเสียงดัง

“เราจะค้างคืนที่นี่ ตรวจดูสภาพในหมู่บ้านให้ดี หากไม่พบคนก็จงหาบ้านที่มีฟืนมากที่สุด เราจะต้องจุดไฟทั้งคืนเพื่อป้องกันไม่ให้ผีดิบบุกเข้ามาทำร้ายพวกเราได้ และหากพบชาวบ้านหลบซ่อนอยู่ก็จงให้ความคุ้มครองดูแลเขาอย่างดีที่สุด”

ทหารของเบรฟรับคำและควบม้าลงไปตามทางลาดเพื่อเข้าสู่หมู่บ้าน ตลอดระยะทางที่พวกเขาผ่านเต็มไปด้วยซากกองกระดูกของสัตว์เลี้ยงปะปนไปกับกองกระดูกของมนุษย์ เบรฟถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกสยองระคนหดหู่

“พวกผีดิบบุกเข้ามาทำลายหมู่บ้านแห่งนี้จนพินาศอย่างที่ข้าคิดเอาไว้จริงๆ” เขาพูดพลางบังคับม้าให้วิ่งผ่านประตูใหญ่ซึ่งเปิดค้างไว้ สายลมร้อนผ่าวพัดผ่านบ้านแต่ละหลังส่งเสียงดังหวีดหวิวน่าหวาดหวั่น กองทหารของเบรฟบังคับม้าให้เหยาะย่างไปตามทางเดินอย่างระมัดระวังเต็มที่ มือข้างหนึ่งเลื่อนมาแตะไว้บนด้ามดาบในลักษณะพร้อมดึงออกมาทุกขณะ ท้องฟ้ายามนี้เริ่มขมุกขมัวลง

“ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ข้าคิดว่าพวกเราควรรีบหาที่หลบซ่อนโดยเร็วดีกว่า ท่านเบรฟ”

ทหารคนหนึ่งกระซิบ นายกองของเขาผงกศีรษะรับ พลันสายตาเหลือบไปเห็นร่างของหญิงคนหนึ่งกำลังพยายามคลานออกมาจากซอกประตูบ้านอย่างยากลำบาก เบรฟหันไปร้องสั่งทหารของเขาทันที

“เจ้าสองคนรีบเข้าไปดูโดยเร็ว แต่จงระมัดระวังอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด”

นายทหารกำยำสองคนกระโดดลงจากหลังม้าและวิ่งเข้าไปดูหญิงผู้นั้นตามคำสั่ง พวกเขาก้มตัวลงพร้อมกับถาม

“เจ้าเป็นยังไงบ้าง” มือของทหารคนหนึ่งละออกจากด้ามดาบและสอดเข้าไปประคองแขนของนางอย่างเป็นห่วง หญิงสาวผู้นั้นเงยหน้าขึ้นและอ้าปากกว้าง ทหารทั้งสองร้องอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ

“เหวอ!”

ทหารคนที่ประคองร่างของหญิงคนนั้นรีบปล่อยมือของเขาออกทันทีและกระโดดถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว เขาร้องออกมาเมื่อรู้สึกว่ามือทั้งสองข้าเกิดอาการเจ็บแปลบจึงยกขึ้นมาดู

“นี่มันอะไรกันน่ะ!”

“หนอน!”

มือที่เคยสัมผัสร่างของหญิงชาวบ้านบัดนี้เต็มไปด้วยหนอนสีขาวขุ่นซึ่งไต่ยัวเยี้ยเต็มไปหมด บางตัวเริ่มฝังเขี้ยวลงไปบนเนื้อของเขา ทหารผู้นั้นทั้งสะบัดมือและกระโดดไปมาด้วยความรู้สึกขยะแขยงในขณะเดียวกันกับที่หญิงคนนั้นยันตัวยืนตัวตรง หนอนตัวโตๆร่างพรูออกมาจากปาก นางยกแขนขึ้นไขว่คว้าไปยังทหารอีกคน เขาถอยหลังหนีพลางร้อง

“อย่าเข้ามา!”

เบรฟรีบบังคับม้าของเขาเข้าไปช่วยทหารทั้งสองอย่างฉับไว ดาบในมือตวัดฟันลงไปที่ลำคอของหญิงสยองจนขาดกระเด็น หนอนจำนวนมากพุ่งทะลักออกมาราวกับเลือด มันกระจายไปจนทั่วเกาะร่างของทหารที่ยืนอยู่ทั้งสองคนจนแลดูขาวโพลนในขณะที่เบรฟพยายามปัดมันออกจากแขนและขาของเขา ทหารที่เหลือรีบเข้ามาช่วยนายกองของเขา

ทันใดนั้นพื้นดินที่ทั้งหมดยืนอยู่ก็สั่นไหวดุจระลอกคลื่น ม้าทุกตัวพากันยกขาหน้าและสะบัดทหารซึ่งนั่งอยู่บนหลังของมันร่วงลงมานอนกองกับพื้นก่อนวิ่งหนีออกไปด้วยความตื่นกลัว นายทหารรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับวิ่งเข้าไปช่วยปัดหนอนออกจากร่างของเพื่อนและนายกองเบรฟ เสียงคำรามต่ำๆดังออกมาจากใต้พื้นดินทำให้ทุกคนหยุดชะงักและเงี่ยหูฟัง

“เสียงอะไรน่ะ”

“มันมาจากใต้ดินนี่”

อีกคนหนึ่งตอบ พวกเขาก้มลงมองดูดินภายใต้เท้าของเขาขณะที่ดึงดาบออกมาจากฝักในลักษณะเตรียมพร้อม

ผืนดินเคลื่อนตัวอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงกว่าเดิมจนหลายคนล้มกลิ้ง แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตั้งตัวพื้นภายใต้ร่างของเขาก็แตกออก ร่างของหนอนขนาดยักษ์สีขาวขุ่นโผล่ขึ้นมาและลากนายทหารที่อยู่ใกล้ที่สุดกลับลงไปในดิน เสียงร้องโหยหวนดังสลับกับเสียงฉีกกระชากเนื้อทำให้ทหารที่เหลือถึงกับถอยหลังและทำท่าจะวิ่งหนีออกไปจากหมู่บ้าน ทันทีที่เขาขยับตัว ร่างยักษ์ของหนอนจำนวนมากก็โผล่ออกมาจากดินพร้อมกัน พวกมันกางเขี้ยวอันคมกริบของมันออกและงับร่างของเหล่าทหารแห่งมอร์เซลลากลงไปกินใต้พื้นดิน ทหารบางคนถูกหนอนสองตัวแย่งทึ้งกันจนร่างฉีกขาดเป็นสองท่อน เลือดเนื้อและตับไตไส้พุงถูกสะบัดเหวี่ยงไปมากระจัดกระจาย เบรฟร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นทหารของเขากลายเป็นอาหารของหนอนกินซากยักษ์ นายกองตวัดดาบฟันไปยังหนอนตัวหนึ่งขาดเป็นสองท่อนและเหวี่ยงไปตัดเขี้ยวของหนอนอีกตัวที่คืบเข้ามาใกล้ๆ

เจ้าหนอนยักษ์กรีดร้องเสียงแหลมเล็กเรียกฝูงหนอนจำนวนมหาศาลออกมาจากบ้านที่พวกมันซุ่มซ่อนอยู่ ดวงตาของนายกองแห่งมอร์เซลเบิกกว้างเมื่อเห็นคลื่นหนอนเคลื่อนตัวเข้ามาหา เขาขบกรามของตัวเองแน่น

“เข้ามาเลยเจ้าพวกหนอนโสโครก แต่อย่าคิดว่าข้า นายกองเบรฟจะยอมยืนอยู่นิ่งๆรอให้พวกแกเข้ามากินได้ง่ายๆ”

ดาบในมือกวัดแกว่งไปมาสังหารหนอนไปหลายตัวรวมทั้งหนอนกินซากยักษ์ที่พุ่งเข้ามาหา แต่ด้วยจำนวนอันมากมายของพวกมันที่กรูกันเข้าไปกัดกินเท้าของเบรฟ ร่างของนายกองแห่งมอร์เซลก็เสียหลักล้มลง เขาจ้องมองดูหนอนยักษ์โถมตัวเข้ามาพร้อมกับร้องตะโกนสาบแช่ง เสียงของเขาสะท้อนก้องไปจนทั่วหมู่บ้านก่อนจางหายไปเหลือเพียงเสียงฉีกกระชากกัดแทะซึ่งเงียบสงบลงภายในเวลาไม่นาน
*/*/*/*/*

โซลย์ยืนอยู่เหนือทุ่งหญ้าแห้งกรอบ เขาเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าซึ่งปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆล่องลอย แสงอาทิตย์ยามเที่ยงส่องแสงเจิดจ้าร้อนแรงจนแทบจะเผาก้อนหินให้หลอมละลาย ส่วน
ฟอร์เซ็ตติป้อนอาหารให้กับม้าทั้งสองตัวและจัดแจงปลดเครื่องบังเหียนออกจากหลังของมันพร้อมกับพูดเบาๆ

“หนทางข้างหน้าอันตรายเกินไปสำหรับเจ้าทั้งสอง” เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากของพวกมัน “จงกลับคืนสู่บ้านที่เจ้าจากมาเถิด”

จอมเวทหนุ่มตบหลังม้าทีละตัว พวกมันร้องออกมาก่อนวิ่งเหยาะๆจากไป โมไดมองตามด้วยสายตาสงสัย

“แล้วพวกมันจะปลอดภัยไหม”

“พวกมันเก่งกว่ามนุษย์อย่างเจ้ามากนัก ไม่ต้องเป็นห่วง” ฟอร์เซ็ตติตอบพลางหันไปมองทางด้านโซลย์ซึ่งยังคงยืนนิ่งราวกับกำลังไตร่ตรอง เขาจึงเดินเข้าไปยืนใกล้ๆและเอ่ยถาม

“มีอะไรหรือ”

โซลย์กวาดสายตามองไปโดยรอบอีกครั้งก่อนตอบ

“ข้ากำลังคิดว่าพวกเราควรจะเดินทางไปทางไหนดีหลังจากข้ามแม่น้ำสวิฟท์ไปแล้ว” แม่ทัพหนุ่มหันไปมองดูจอมเวทและโมไดซึ่งเดินมายืนกอดอกมองดูเขา

“พวกเราควรไปทางเหนือ” ฟอร์เซ็ตติพูด โซลย์มองหน้าเขา

“แต่ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะลงไปทางใต้อีกนิด ผ่านทางช่องแคบพูลจากนั้นจึงเดินผ่านเมืองหลวงของมาร์วัลลัสขึ้นไป”

“ทางเส้นนั้นมันอ้อมมาก”จอมเวทหนุ่มตอบ “ซ้ำช่องแคบพูลตอนนี้เต็มไปด้วยภูตกลายพันธุ์ที่ดุร้าย ท่านควรจะขึ้นไปทางเหนือมากกว่านะ ท่านโซลย์”

“เส้นทางนั้นต้องผ่านป่าทึบ มันจะไม่อันตรายกว่าหรือ” แม่ทัพหนุ่มแย้งแต่ฟอร์เซ็ตติส่ายหน้า

“ป่าแห่งนั้นมีพลังบางอย่างคุ้มครองอยู่ อำนาจของจอมมารไม่สามารถแผ่เข้าไปถึง หากผ่านเส้นทางนั้นไปพวกท่านจะเข้าสู่มาร์วัลลัสได้อย่างปลอดภัย”

“ท่านรู้ได้ยังไงกัน”

“เราใช้เส้นทางนั้นเป็นประจำ” จอมเวทหนุ่มตอบ โมไดถอนหายใจพรืดและพูดขึ้น

“เจ้าเป็นจอมเวทจะพูดยังไงจะไปทางไหนก็ได้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเส้นทางนั้นมีอะไร”

“เส้นทางนั้นมีอะไรกันแน่โมได” โซลย์ถามอย่างสงสัย เด็กหนุ่มมองหน้าฟอร์เซ็ตตินิ่งขณะตอบ

“ข้าได้ยินมาว่าเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างมอร์เซลและมาร์วัลลัสมีนครต้องห้ามแห่งหนึ่งซ่อนอยู่ในป่าทึบ ใครก็ตามที่หลงเข้าไปในนั้นจะไม่มีวันได้ออกมาสู่โลกภายนอกอีกเลย”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลหันขวับไปทางฟอร์เซ็ตติทันทีพร้อมกับพูด

“ท่านกำลังเสนอเส้นทางเสี่ยงอันตรายให้กับพวกเราอย่างนั้นหรือ”

“เรากำลังเสนอเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดให้พวกเจ้าต่างหาก” จอมเวทหนุ่มตอบ “หากเจ้าไม่เชื่อก็จงใช้เส้นทางตามที่เสนอมา เราสะดวกที่จะไปได้ทุกที่เพราะเราคือจอมเวทดังที่เจ้ากล่าว”

คำพูดหลังเขาหันไปทางโมได เด็กหนุ่มเม้มปากตัวเองและหันไปทางโซลย์ซึ่งกำลังทำสีหน้าครุ่นคิด

“ข้าจะลองเชื่อคำของท่าน” เขาพูดขึ้นในที่สุดก่อนยกมือขึ้นห้ามโมไดที่กำลังจะอ้าปากโต้เถียง

“พวกเราตกลงใจที่จะออกเดินทางไปด้วยกันแล้ว หากไร้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ก็คงจะไม่มีทางบรรลุถึงจุดมุ่งหมายได้อย่างแน่นอน”

เด็กหนุ่มทำท่าฮึดฮัดเล็กน้อยลงท้ายด้วยการกระแทกเสียงอย่างขัดใจ

“เฮอะ! ตามใจพวกเจ้าก็แล้วกัน จะไปทางไหนก็ไป” เขาเหลือบตามองดูฟอร์เซ็ตติพร้อมกับเบ้หน้า

“ก่อนอื่นพวกเรารีบไปที่แม่น้ำสวิฟท์เร็วๆดีกว่า ข้าเห็นสภาพของเจ้านั้นแล้วทุเรศตาเต็มทน”

โซลย์มองตามสายตาของเด็กหนุ่มแล้วหัวเราะในลำคอเพราะสภาพของจอมเวทหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าในเวลานี้เรียกได้ว่าเป็นสภาพที่โทรมอย่างที่สุด เสื้อคลุมสีขาวสะอาดแปรเปลี่ยนไปเป็นสีเทาของดินซ้ำยังมีรอยเลือดเปื้อนเปรอะไปทั่ว ดวงตาสีฟ้าของฟอร์เซ็ตติเต้นไหวน้อยๆ

“เราคิดว่าสภาพของเจ้าก็ไม่น่าดูนักเช่นเดียวกัน” เขาย้อนคำเสียงไม่ดังนัก “ดูคล้ายลูกสุนัขป่าหลงฝูงทีเดียว”

“ไอ้เจ้านี่! ว่าข้าเป็นหมาเลยเรอะ” โมไดพูดเสียงดังและทำท่าจะเข้าไปกระชากเสื้อคลุมของอีกฝ่ายแต่โซลย์รีบคว้าคอเสื้อของเขาไว้และร้องห้าม

“นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันนะ รู้จักสงบปากสงบคำเสียบ้างสิโมได เจ้ายังมีน้องสาวที่กำลังรอคอยการช่วยเหลืออยู่อย่าลืม” เขาหันไปทางฟอร์เซ็ตติพร้อมกับกล่าว

“ท่านเองก็เช่นกัน เป็นถึงจอมเวทแต่กลับใช้วาจาเยาะเย้ยถากถางคนได้ตลอดเวลา หากคิดว่าพวกเราคือเพื่อนของท่าน ก็ขอให้เลิกดูถูกกันได้แล้ว”

“เราไม่เคยคิดดูถูกพวกท่าน” จอมเวทหนุ่มตอบ “เพราะเราคิดอยู่เสมอว่าพวกท่านคือเพื่อน”

“แค่คำพูดก็ไม่ให้แล้ว” โมไดขัดขึ้น “เพื่อนอะไรกันพูดจาเราๆท่านๆยังกับพวกศักดินา ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงก็น่าจะเปลี่ยนคำพูดแก้สรรพนามกันสิ”

“เราก็พูดในแบบของเรา ไม่ผิดอะไร”

“แต่มันรำคาญหู!” โมไดพูดพลางกระโดดลงจากก้อนหินและก้าวนำหน้าออกไป “ถ้าพูดแบบคนธรรมดาไม่ได้ก็หุบปากไปเลย!”

โซลย์มองตามหลังเด็กหนุ่มซึ่งกำลังเดินนำหน้าออกไปพลางส่ายหน้าด้วยความรู้สึกเอือมระอา เขาหันไปมองฟอร์เซ็ตติที่กำลังทำสีหน้าไตร่ตรอง

“คำพูดของเราน่ารำคาญมากนักหรือ”

“ก็ไม่เชิง” โซลย์ตอบ เขาก้าวขาข้ามขอนไม้ล้มและหันไปมองดูจอมเวทหนุ่มที่กำลังก้าวตามมา “แค่ฟังดูเยิ่นเย้อมากเรื่องมากราวเท่านั้น”

“เราพูดแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีใครบ่นเลยสักคน”

“เพราะพวกเขาเกรงใจท่าน” โซลย์พูดด้วยท่าทางสบายๆ “ท่านเป็นถึงจอมเวทนี่นา”

“จอมเวทก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น” ฟอร์เซ็ตติกล่าว “เราแตกต่างจากมนุษย์อย่างพวกท่านตรงไหน

แม่ทัพแห่งมอร์เซลชะงักฝีเท้าของเขาและหันมากลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“คำพูดที่ท่านกล่าวออกมาเมื่อครู่ก็บ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างพวกเราแล้ว ฟอร์เซ็ตติ ท่านเรียกพวกเราทุกคำว่ามนุษย์ และเรียกคนของพวกท่านว่าจอมเวท ท่านคิดว่าคำสองคำนี่มันเหมือนกันที่ตรงไหน”

จอมเวทหนุ่มถึงกับนิ่งอึ้งไป เขามองดูโมไดที่กำลังกระโดดข้ามท่อนไม้แห้งแล้วเลื่อนตากลับมายังแม่ทัพแห่งมอร์เซล

“เราไม่เคยคิดในเรื่องนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ควรคิดได้แล้วหากยังคิดจะร่วมทางไปด้วยกัน” โซลย์พูดและหมุนตัวเดินนำหน้าไปเช่นเดิม ฟอร์เซ็ตติก้มหน้าลงมองดูพื้นแล้วยิ้ม

“มนุษย์” เขาพึมพำก่อนเร่งฝีเท้าก้าวตามชายสองคนให้ทัน

แม่น้ำสวิฟท์ แม่น้ำสายใหญ่สายสำคัญที่สุดของอาณาจักรมอร์เซล กระแสน้ำขนาดใหญ่ที่เคยไหลเชี่ยวกรากไม่มีวันเหือดแห้งสร้างความชุ่มฉ่ำให้แก่ผืนดิน บัดนี้เหลือเพียงสายน้ำเล็กๆระดับความสูงท่วมหัวเข่า สัตว์น้ำที่เคยมีอย่างอุดมหายไปจนหมดสิ้น โมไดยืนมองดูสายเลือดแห่งมอร์เซลด้วยสายตาเศร้า

“อีกไม่นานแม่น้ำนี้คงแห้ง” เขากล่าวกับแม่ทัพแห่งมอร์เซล อีกฝ่ายเม้มปากตัวเองขณะที่จ้องมองดูแม่น้ำ

“ข้าไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้น” เขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จอมมารจะไม่มีวันทำลายแผ่นดินอันเป็นที่รักของข้าได้ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจอยู่”

โมไดยิ้มให้กับแม่ทัพหนุ่มและหันไปทางฟอร์เซ็ตติที่กำลังยืนมองสำรวจตรวจตราไปรอบๆด้วยท่าทางระมัดระวัง

“ใกล้ค่ำเต็มทีแล้ว พวกเราควรรีบหาที่พักโดยเร็วที่สุด” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น

“พวกท่านจะพักใกล้แม่น้ำนี้ก็ได้ เราจะกางเขตอาคมคุ้มครองท่านทั้งสองคนให้” ฟอร์เซ็ตติกล่าวกับเขา โมไดเลิกคิ้วและหันไปทางโซลย์ซึ่งกำลังพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปหาฟืนมาก่อกองไฟโดยเร็วเถอะ ทางที่เราเดินผ่านมาเมื่อครู่มีกิ่งไม้แห้งหลายกิ่งที่ใช้ได้ ไปขนมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้และมากองรวมกันเอาไว้ตรงนี้”

โมไดและโซลย์ต่างเร่งรีบขนกิ่งไม้แห้งมากองรวมกันเอาไว้ในขณะที่จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเริ่มใช้ไม้เท้าของเขาขีดอะไรบางอย่างลงบนพื้นหินกรวด

“อะไรน่ะ” โมไดเอยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ ฟอร์เซ็ตติอมยิ้มก่อนตอบ

“อักขระกำแพงมนตร์” เขามองหน้าเด็กหนุ่มที่ทำท่าไม่เข้าใจ “มันเป็นคาถาสร้างกำแพงเวทที่สามารถป้องกันอันตรายจากภูตฝีปิศาจทุกชนิด”

“แล้วครั้งก่อนทำไมพวกโจรถึงบุกเข้าไปในบ้านของข้าได้ล่ะ”

“เวทของพวกเราจะแบ่งออกเป็นสองแบบ” ฟอร์เซ็ตติอธิบายอย่างใจเย็น “ถ้าร่ายเพื่อกันเหล่าปิศาจ พลังของอาคมก็จะไม่สามารถกั้นเหล่ามนุษย์ได้ในขณะเดียวกันถ้าเราสร้างอาคมขึ้นเพื่อกันมนุษย์ เหล่าปิศาจก็จะทะลวงฝ่ากำแพงเวทนั้นเข้ามาได้”

“ทำไม”

“เพราะความแตกต่างทางกาย มนุษย์มีโครงสร้างที่หยาบกว่าภูตผีปิศาจ ในขณะเดียวกันเหล่าวิญญาณร้ายหรืออสุรกายจำแลงจะมีความละเอียดกว่ากายของคนมาก”

“พวกผีดิบก็มาจากร่างของมนุษย์ทำไมถึงป้องกันได้ล่ะ” โมไดถามไม่เลิก จอมเวทหนุ่มยิ้มก่อนตอบ

“เพราะพวกเขาไม่มีความซับซ้อนทางจิต ไม่มีความคิดมีเพียงกายซึ่งเน่าสลายไปแล้วแต่คงอยู่ได้ด้วยพลังเวทจากจอมมาร กำแพงมนตร์ที่ป้องกันเหล่าผีดิบได้ต้องร่ายคาถาอีกแบบหนึ่ง”

“วุ่นวายเป็นบ้า” เด็กหนุ่มบ่น “เจ้าจำคาถาตั้งมากมายแบบนั้นได้ยังไงกัน”

“ของทุกอย่างมันต้องใช้เวลาและการฝึกฝน เราไม่สามารถรู้แจ้งในทุกสิ่งได้ภายในวันเดียวหรอก โมได” ฟอร์เซ็ตติพูดเสียงนุ่มแสนอ่อนโยน อีกฝ่ายเกาหัวตัวเองสองสามครั้งพลางบ่น

“ข้าหิว” เขาหันไปทางจอมเวท “เจ้าเสกอาหารให้ข้ากินได้ไหม”

“ไม่ได้” จอมเวทตอบสั้นๆ โมไดเบิกตาโต

“อะไร! รู้คาถาตั้งมากมายแต่เสกอาหารไม่ได้ เป็นจอมเวทเสียเปล่า”

“ไม่มีจอมเวทคนไหนสามารถเสกหรือสร้างสิ่งของขึ้นมาจากอากาศได้หรอก เจ้าหนู พลังของพวกเราได้มาจากการรวบรวมสมาธิเข้ากับพลังใจและกำลังกาย ประกอบกับการผนึกพลานุภาพจากธรรมชาติรอบๆโดยอาศัยคำศักดิ์สิทธิ์ช่วย”

“คำศักดิ์สิทธิ์? ยังไง?”

ฟอร์เซ็ตติยกไม้เท้าของเขาและชี้ไปทางกิ่งไม้แห้งที่โซลย์กองไว้

“ซอนเน”

แสงสว่างวาบขึ้นที่ปลายไม้พุ่งสู่กองฟืน มันลุกเป็นไฟในทันทีโดยที่แม่ทัพแห่งมอร์เซลร้องเสียงดัง

“ทำบ้าอะไรกันน่ะ มันเกือบเผาหน้าข้าไปแล้วนะ”

“ขอโทษ” ฟอร์เซ็ตติพูดกลั้วหัวเราะ “ข้ากำลังสาธิตคำศักดิ์สิทธิ์ให้โมไดดู”

ทั้งโซลย์และโมไดหันมามองหน้ากันทันที ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนเลื่อนสายตามามองดูจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสซึ่งกำลังขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“พวกเจ้าทั้งสองมองอะไร”

“คำพูดของเจ้าไง” โมไดตอบ “มันน่าฟังกว่าครั้งแรกตั้งแยะ”

“แล้วก็ใบหน้าตอนกำลังหัวเราะของเจ้ามันน่าดูกว่าหน้าขรึมๆที่ชอบทำมากเลย” โซลย์พูดต่อประโยค “พยายามทำหน้าแบบนี้บ่อยๆนะ”

ฟอร์เซ็ตติทำหน้าแปลกๆ เขาถอนหายใจและส่ายหน้าให้กับสองสหายซึ่งกำลังยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างกองไฟ เสียงบ่นพึมพำสองสามคำก่อนหมุนตัวเดินตรงไปยังแม่น้ำ

“นั่นเจ้าจะไปไหนกันน่ะ” โซลย์ร้องถามขึ้น เสียงนุ่มดังตอบกลับมาไม่ดังนัก

“ข้าจะล้างคราบเลือดที่เปื้อนเสื้อนี่”

โมไดคว้าถุงหนังของเขาและวิ่งไปที่แม่น้ำทันที เขาจัดแจงกรอกน้ำจนเต็มถุงและปิดจุกจนแน่น จากนั้นจึงเริ่มวักน้ำล้างหน้าล้างตาโดยมีโซลย์ซึ่งเดินตามหลังมาด้วยท่าทางระมัดระวัง ทั้งคู่หันไปมองดูฟอร์เซ็ตติที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในน้ำซึ่งสูงเพียงหัวเข่า เขาจุ่มปลายไม้เท้าด้านหนึ่งลงไปและร่ายเวทเบาๆ

ท่ามกลางสายตาที่ฉายความพิศวงของชายหนุ่มทั้งสองซึ่งนั่งไม่ห่างไปจากเขาเท่าใด สายน้ำสั่นไหวกระเพื่อมเป็นวงกลมรอบกายของจอมเวทหนุ่ม น้ำนั้นราวกับมีชีวิต มันเลื้อยขึ้นไปตามไม้เท้าและเริ่มบิดเป็นเกลียวขยายวงกว้างโอบล้อมรอบกายของฟอร์เซ็ตติ จากนั้นจึงเริ่มแตกกระจายเป็นหยาดละอองเม็ดเล็กๆหมุนวนรอบตัว ดุจละอองน้ำนั้นแทรกผ่านไปตามเนื้อผ้าและทุกส่วนของร่างกาย เรือนผมสีเงินของเขากระจายอยู่ในอากาศและพลิ้วไหวราวสาหร่ายในสายธาร ทั้งโมไดและโซลย์มองดูภาพตรงหน้า คล้ายจอมเวทหนุ่มกำลังลอยอยู่ท่ามกลางม่านน้ำอันระยิบระยับ

“ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน งามจริงๆ”

โซลย์พูดเบาๆ โมไดพยักหน้าเห็นด้วย เพียงชั่วครู่ละอองหยาดน้ำก็ร่วงพรูลงสู่สายธารดังเดิม ร่างของฟอร์เซ็ตติสว่างขาวท่ามกลางแสงจันทร์ เขาก้มหน้าลงและพูดออกมาสองสามคำก่อนเดินกลับขึ้นไปบนฝั่งโดยมีสายตาของสองสหายร่วมทางมองตาม โมไดเบ้หน้า

“กะอีแค่อาบน้ำ ทำไมต้องเรื่องมากถึงขนาดนี้นะ ข้าไม่เข้าใจเจ้าพวกจอมเวทนี่เลยจริงๆ”

“แล้วเจ้าจะไปใส่ใจกับเรื่องของเขาทำไมกันเล่า โมได” โซลย์พูดตัดบทด้วยความรำคาญ เด็กหนุ่มยิ้มแยกเขี้ยว

“ก็ข้าคิดว่าพวกจอมเวทน่าจะถอดผ้าเล่นน้ำเหมือนกับพวกเราน่ะสิ ใครจะนึกว่าวิธีการของเขาจะพิสดารแบบนี้ เฮ้อ.....เสียดายชะมัด ข้ากำลังคิดหาเรื่องแกล้งเขาระหว่างอาบน้ำสักหน่อย”

โมไดทำหน้าเสียดายตามที่พูดแต่โซลย์กลับจ้องหน้าเขาแล้วลุกพรวดขึ้น

“คิดอะไรไม่เข้าเรื่อง”

เขาพูดเสียงดังพร้อมกับเดินขึ้นจากน้ำและสวมเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อยจึงเดินไปนั่งอยู่ข้างๆกองไฟ โมไดหันไปมองดูฟอร์เซ็ตติอีกครั้งแล้วยิ้มให้กับตัวเองก่อนเดินไปแต่งตัวและหย่อนกายนั่งลงด้านตรงข้ามกับโซลย์ แม่ทัพหนุ่มส่งเนื้อเค็มแห้งให้กับเขา

“คืนนี้คงต้องผลัดกันเป็นยามเฝ้าระวังกัน”

โซลย์กล่าว เด็กหนุ่มเคี้ยวอาหารอย่างรวดเร็วจนหมด เขายกถุงน้ำขึ้นดื่มแล้วจึงตอบ

“ข้าจะเป็นเวรแรกให้เอง” เขาปาดน้ำที่ไหลเปื้อนมุมปาก แต่แม่ทัพหนุ่มส่ายหน้า

“เจ้าควรนอนพักผ่อนให้มาก ข้าจะเฝ้ายามให้ก่อนครึ่งคืน จากนั้นเจ้าค่อยอยู่ต่ออีกสักสองชั่วโมง ที่เหลือค่อยให้ฟอร์เซ็ตติจัดการ”

“แต่ข้าอยากจะเฝ้าเป็นคนแรก” โมไดแย้ง “อีกอย่างข้าไม่ชอบเอาเปรียบผู้สูงอายุดังนั้นพวกเราควรจะผลัดกันเฝ้าคนละสามชั่วโมง”

“เจ้ายังเด็กเกินไป” แม่ทัพแห่งมอร์เซลกล่าว เด็กหนุ่มอ้าปากจะโต้เถียงแต่เสียงของจอมเวทหนุ่มดังขัดขึ้นเสียก่อน

“ข้าจะเฝ้ายามให้พวกท่านเองในคืนแรก”

ทั้งโซลย์และโมไดหันไปมองฟอร์เซ็ตติที่ก้าวขึ้นมาจากริมแม่น้ำ เขาดึงฮู้ดขึ้นปิดศีรษะขณะที่เดินเข้ามาหา

“ถึงท่านจะเป็นจอมเวทแต่การที่จะต้องอดนอนตลอดทั้งคืนย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ข้าไม่เห็นด้วย”

แม่ทัพหนุ่มพูด จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสอมยิ้ม เขาหย่อนกายลงนั่งข้างโซลย์และสั่นหน้าเมื่ออีกฝ่ายส่งเนื้อเค็มให้

“ถ้าข้าเป็นจอมเวททั่วไป คงต้องการการนอนหลับพักผ่อนเหมือนกับมนุษย์ แต่อย่างที่เจ้าทั้งสองรู้......ข้าไม่ใช่........”

สีหน้าของฟอร์เซ็ตติฉายแววเศร้าออกมาจางๆ โมไดจึงพูดขึ้น

“เจ้าเป็นเอลฟ์” เด็กหนุ่มจ้องหน้าฟอร์เซ็ตติ “ข้าไม่เคยได้ยินว่าพวกเอลฟ์ต้องเรียนเวทมนตร์หรือเข้ารวมกับเหล่าจอมเวท ชนพวกนี้มักจะแยกตัวออกไปเป็นอิสระอาศัยอยู่ตามป่า”

“ดึกมากเกินกว่าที่จะมานั่งสนทนาเรื่องราวไร้สาระ” จอมเวทหนุ่มพูดตัดบทเสียงขรึม “ท่านทั้งสองควรเอนกายลงนอนกันได้แล้ว”

“แต่ข้าไม่ง่วง” โมไดแย้งอย่างดื้อรั้น ฟอร์เซ็ตติยิ้ม ดวงตาสีฟ้าใสสะท้อนแสงไฟจนเป็นประกาย

“เจ้าง่วงจนฝืนกายไว้ไม่ไหวแล้ว โมได นอนพักเถิด ข้าจะเรียกเจ้าอีกครั้งตอนรุ่งสาง”

สิ้นคำของจอมเวท จู่ๆทั้งโมไดและโซลย์ก็รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอย่างหนัก เปลือกตาของทั้งสองหรี่ปรือลงทั้งที่พยายามฝืนอย่างเต็มที่

“เจ้าจอมเวทขี้โกง” เสียงโมไดบ่นงึมงำ “เล่นใช้เวทสะกดพวกเรา.....ไว้ข้าจะจัดการ....กับเจ้า....ในตอน....เช้า......”

เสียงเด็กหนุ่มขาดหายไปพร้อมกับเอนตัวล้มลงนอนอย่างหลับสนิทข้างโซลย์ ฟอร์เซ็ตติยิ้มอย่างอ่อนโยนและยืนขึ้นร่ายเวท ม่านพลังสีฟ้าใสแผ่นกระจายออกมาจากไม้เท้าล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ ดวงตาของจอมเวทหนุ่มฉายแววพึงพอใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้ายามราตรี

“ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะจัดการกับข้าอย่างไร โมได”

*/*/*/*/*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 54 10:16:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com