Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
พิศวาส ณ ยามสาง - 7 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10377903/W10377903.html

บทที่ 7

การหลับสบายด้วยแรงฤทธิ์ของผี ยังผลให้วัสอรตื่นสายมาก แสงแดดสาดลำอ่อนเข้ามาทางหน้าต่างแล้ว แต่คนนอนบนเตียงก็ยังแน่วนิ่งต่อการหลับต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอพลิกตะแคงควานหาหมอนข้าง เมื่อนั้นเอง จึงค่อยเห็นว่า คนนอนหลับกำลัง 'ร้องไห้'

"คุณยาย ทำไมคุณยายมาอยู่ที่นี่ได้ ออกจากโรงพยาบาลแล้วหรือคะ น่าจะบอกฝนสักคำนะ ฝนอยากไปจากเรือนหลังนี้จะตายอยู่แล้ว ไม่เห็นอยากจะทำเลย ไอ้หน้าที่แม่บงแม่บ้านของคุณยายน่ะ ทำก็ยาก แถมยังเจอดีกับเจ้าที่เจ้าทางอีก"

แม่อ่อนสวมชุดขาว ลอยร่างมาระบายยิ้มเมตตา กระทั่งแววตาก็ลิงโลดแกมตื้นตัน เมื่อนางได้ตระหนักรู้ชะตาฟ้าว่า หลานสาวคนเดียวคนนี้ คือ 'เนื้อคู่แท้' ของปุราณ พ่อหม้ายหนุ่มที่นางเลี้ยงดูฟูมฟักมาด้วยสองมือ แต่ก็นั่นล่ะ ชะตาฟ้า คือความลับที่ไม่อาจแพร่งพราย นางจึงได้แต่เพียงส่งยิ้มที่หลานสาวมองยังไงก็ไม่เข้าใจอย่างเงียบๆ

"คุณยาย พูดอะไรบ้างสิ พอหายป่วยแล้วทำเป็นหยิ่งหรือ ฝนกลุ้มอยู่นะ นี่ก็บ่นให้ฟัง อ้อ ดูสิ ปากยังเจ่ออยู่เลย แล้วเมื่อคืนนี้ ก็โดนดี ถูกตบด้วย ถูกบีบคอด้วยนะ ไหนคุณยายคุยนักคุยหนาว่าคุณสรัลเป็นคนใจดีไง ไม่จริงสักนิด เธอดุร้ายมากเลย"

"เธอไม่ได้ดุร้ายหรอก นั่นเป็นเพียงการแสดงความหึงหวงสามีเท่านั้นเอง" แม่อ่อนกล่าวเนิบนุ่มด้วยรอยยิ้มเมตตา "ฝนอดทนต่อไปอีกสักหน่อยเถอะนะ นี่เป็นโชคชะตาของฝนเอง หนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอก"

"ทำไมจะหนีไม่พ้นคะ ก็แค่คุณยายหายป่วยแล้ว กลับมาทำงานที่นี่เหมือนเดิม ฝนก็หมดภาระ จะได้กลับกรุงเทพเสียที ฝนไม่ชอบที่นี่เลย คุณปูก็มีพฤติกรรมประหลาดจริงตามที่คนทางนี้ส่งข่าวไปนั่นล่ะ เหมือนเขาจะอยู่กินกับผีชอบกล"

"ฝนหนีที่นี่ไม่พ้นหรอก ฟ้ากำหนดแล้วว่าฝนต้องมาที่นี่ อยู่ที่นี่ ต่อให้ฝนหนีไปสักกี่ครั้งกี่หน สุดท้ายก็ต้องกลับมา"

"คุณยายพูดอะไรคะ ฝนไม่เข้าใจ แล้วทำไมไม่ยอมเข้ามาหาฝน ยืนอยู่ทำไม เอ๊ะ คุณยาย ทำไมเท้าคุณยายลอยเหนือพื้นได้คะ"

แม่อ่อนระบายยิ้มเมตตาไม่สร่าง นางไม่อาจบอกในเวลานี้ได้ว่า อายุขัยของนางจวนสิ้นแล้ว อีกไม่นาน หลานสาวก็จะได้ทราบเองอยู่แล้ว ที่มาเข้าฝันในคราวนี้ ก็ด้วยว่าจิตผูกพันและเป็นห่วง

"อดทนอยู่ที่นี่ต่อไปนะฝนนะ เชื่อยายเถอะ ที่นี่คือที่สุดท้ายที่ฝนจะปักหลักทั้งกายทั้งใจ มีอะไรคับแค้นใจ ก็บอกคุณปู เขาจะช่วยฝนทุกอย่าง"

"ไม่เอาหรอก ฝนไม่อยากอยู่ที่นี่ คุณยายรีบกลับมานะคะ ฝนจะได้ไปๆ เสียที"

"พูดอะไรเอาแต่ใจนักนะฝน มีที่ให้ไปแล้วหรือ บ้านหลังนั้น ไม่ปลอดภัยสำหรับฝนหรอกนะ พ่อเลี้ยงก็คอยจ้องจะเข้าปล้ำ แม่ก็หลงพ่อเลี้ยงไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยเท่าเรือนริมน้ำอีกแล้ว เชื่อยาย ฝนต้องเชื่อยาย"

"คุณยายจะไปไหนคะ ทำไมคุณยายลอยได้คะ คุณยาย.. คุณยาย"

'คุณยายหรือ' ปุราณทวนแผ่วในใจ พร้อมกับเลิกคิ้วนิดๆ เมื่อได้ยินคนนอนตื่นสายละเมอเรียกร้อนรน เขาปรายตาสั่งพริ้มเพราให้ปลุก อีกฝ่ายก็รีบขึ้นเตียงไปเขย่าไหล่เบาๆ ก้มกระซิบปลุกข้างหู ตาก็เหลือบมองเจ้านายหนุ่มอย่างขลาดๆ

วันนี้เขาแปลกมาก ที่เข้าไปปรากฏตัวถึงในครัว แล้วร้องถามหาแม่บ้านวัสอร ครั้นพอทราบว่าเธอยังไม่ลงมา ก็ทำหน้าเป็นกังวลแปลกๆ อีก พลางสั่งหล่อนให้รีบตามขึ้นมา จนเห็นว่าแม่บ้านวัยใสหลับปุ๋ย แถมยังละเมอเรียกหาคุณยายไม่ขาดปากทีเดียว

"อ้าว พริ้มเพรา" วัสอรตื่นแล้วสะดุ้ง พร้อมกับดีดตัวนั่ง อวดผมยุ่งหน้ายุ่ง "เกิดอะไรขึ้นหรือ ทำไมเข้ามาอยู่ใน.. อ้าว คุณปู เข้ามาได้ยังไงคะ"

แม่บ้านตื่นสายหันเหเป้าหมายกะทันหัน ปุราณยืนกอดอกเคร่งขรึมหน้าเตียง ก็ไม่นึกเช่นกันว่า คนถูกปลุกให้ตื่นจะเลี้ยวมาถาม จึงได้แต่เลิกคิ้ว มองตานิ่ง แต่ก็อดขำไม่ได้ ที่เจ้าตัวเบิกตากว้าง พร้อมกับอุทานตกใจในนาทีถัดมาว่า

"ตายแล้ว ฉันตื่นสายขนาดนี้เลยหรือ คุณยายกำชับแล้วนะว่าให้ตื่นเช้ามืด ตายๆ ทำไมฉันเหลวไหลอย่างนี้ เอ๊ะ หรือว่านาฬิกาปลุกมันจะเสีย เอ๊ะ หรือว่าฉันลืมตั้งปลุก เอ๊ะ.. "

"เอาล่ะ มันจะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง เธอก็ตื่นสายแล้วจริงๆ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงไปพบฉันในห้องทำงาน ยกอาหารเช้าเข้าไปด้วยนะ สายโด่งแล้ว แต่ฉันยังหิ้วท้องอยู่"

เจ้านายพ่อหม้ายเคราน่าลูบตัดบทเสียงขรึมต่ำ ร่างสูงเพรียวก็ผละไปเลย โดยไม่รอให้สาวหน้ายุ่งซักไซ้มากความ พริ้มเพรากลืนน้ำลายหน้าแห้งเชียว หล่อนฝืนยิ้ม เมื่อวัสอรตีแขนแล้วพยักพเยิดคล้ายจะรบเร้าให้อธิบาย

"ก็คุณฝนตื่นสายนี่คะ คุณปูก็เลยสงสัย จึงให้ฉันขึ้นมาดู แล้วเราก็พบว่าคุณฝนยังไม่ตื่น"

วัสอรส่ายหน้าสับสน เธอยกเข่าขึ้นมาชันรองรับข้อศอก พร้อมไปกับเสยผมยุ่งๆ อย่างครุ่นคิด มันเป็นไปได้ยังไง เธอตื่นแล้วชัดๆ ยังคุยกับคุณยายอยู่เลย

"อ้อ จริงสิ" พอนึกถึงคุณยาย วัสอรก็รีบถามพริ้มเพราลิ้นรัวเชียวว่า "คุณยายกลับมาแล้วใช่ไหม ตอนนี้คงอยู่ในครัวละสิ พริ้มเพราถึงขึ้นมาหาฉันได้ คุณยายคงเคืองฉันใช่ไหม บ่นด้วยละสิ วันนี้คุณยายสวมชุดสีขาวใช่ไหม"

พริ้มเพราทำหน้าเหลอหลา ไม่เข้าใจว่าวัสอรถามเรื่องอะไร ถ้าเธอหมายถึงแม่นมอ่อน ก็ไม่น่าจะลืมว่า เวลานี้ นางป่วยหนัก และยังรักษาตัวในโรงพยาบาล

"มองตาฉันอย่างนั้นทำไม"

"คุณฝนคงจะฝันไปน่ะค่ะ เมื่อกี้นี้ ก็ได้ยินละเมอเรียกคุณยาย เอ.. สงสัยว่าแม่นมอ่อนคงเป็นกังวล เกรงว่าคุณฝนจะทำหน้าที่แม่บ้านบกพร่องแน่ๆ เลยค่ะ  ถึงได้มาเข้าฝันตรวจตรากระชั้นชิดอย่างนี้"

"จริงหรือ"

วัสอรพึมพำ พร้อมกับขยับลงจากเตียง ถ้าอย่างนั้น มันก็เป็นความฝันที่เหมือนจริงมากเลยละสิ เธอรู้สึกได้เลยว่า คุณยายมาหยุดอยู่ตรงหน้าจริงๆ

ท่านสวมชุดขาว ใบหน้าผ่องใส แล้วเธอก็ยังแปลกใจไม่หายว่า สองเท้าของท่านลอยเหนือพื้น การเคลื่อนไหวก็ใช้วิธีลอยร่าง ไม่ยอมเดินเหมือนคนทั่วไป

แล้วฉับพลันนั้นเอง ทั้งร่างก็กระตุกขึ้น ใจสะท้านพรั่นพรึงกับสิ่งที่ตนคิดได้กะทันหัน หากเป็นแค่ความฝันจริงๆ มันจะเป็นไปได้ไหมว่า นั่นคือลางบอกเหตุร้ายบางอย่าง หรือว่าอาจจะมีเรื่องไม่สู้ดีเกิดขึ้นกับคุณยายหรือเปล่า

พริ้มเพราเอียงหน้ามองสาวแม่บ้านชะงักกึกหน้าห้องน้ำด้วยความแปลกใจ หล่อนไม่ได้ซักถาม เพราะเห็นว่า เจ้าตัวผลักประตูเนือยๆ แล้วพาตัวหายเข้าไป สักพักก็ได้ยินเสียงน้ำไหล หล่อนจึงเลี่ยงกลับลงมาในครัว เพื่อเตรียมอุ่นอาหารเช้า จัดลงถาดพรักพร้อม รอเวลาแค่ให้แม่บ้านมายกไปห้องทำงานเท่านั้น




ปุราณเหลือบตามองแม่บ้านวัยใสแวบหนึ่ง สีหน้าเธอยังดูแย่ แม้จะอาบน้ำผัดแป้งฝุ่น กระทั่งได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาแตะจมูกก็เถอะ

ตอนเธอวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ เขาใช้ความว่องไว รีบสำรวจปากเจ่อนิดๆ กับอิริยาบถเคลื่อนไหวทั่วไป ครั้นพอได้สบตา เขาก็พบว่า ตัวเองเกือบจะยิ้มเอ็นดู เพราะแสงในนั้น มันแลอ้อนกึ่งเว้าวอนน่ารักไม่เบา

"ทำไม กลัวฉันจะด่าหรือไง ถึงได้ปั้นหน้ามุ่ยไม่เลิก นั่งซิ"

"ดิฉัน.. " วัสอรกล่าวอ้อมแอ้ม บั้นท้ายเพิ่งจะหย่อนแตะเก้าอี้ เสียงกระแอมหนักของเจ้านายก็ลอยมาสะกิด "เอ้อ ฝนไม่เจตนาตื่นสายนะคะ ฝนแค่หลับเพลินไปหน่อย ไม่รู้ทำไมสิ เมื่อคืนนี้ ฝนก็ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่า หลับไปตอนไหน"

เธอเปลี่ยนสรรพนามได้อย่างรู้ใจ ปุราณมองว่าเธอเด็กเกินไปที่จะแทนตัวเองว่าดิฉัน มันฟังแล้วน่ารำคาญมากกว่ารู้สึกน่ายำเกรง

"ปากยังเจ็บหรือเปล่า"

"ไม่ค่อยเจ็บแล้วค่ะ แต่มันยังเจ่อๆ หน่อย"

"สะโพกล่ะ หายเคล็ดหรือยัง"

วัสอรเพิ่งฉุกคิดได้ ก็ตอนได้ยินเขาถามนี่เอง จำได้ว่ามาแอบมองเขาหลับ แต่จู่ๆ เขาก็ตื่น เธอตกใจมาก เลยรีบลุกผลุง จนกระแทกกับขอบโต๊ะ

แต่ตอนนี้สิ เธอกำลังรู้สึกได้ว่าเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัวมากกว่า เหมือนเพิ่งจะผ่านการโดนเหวี่ยงไปกระแทกกับของแข็งๆ รอบลำคอก็ระบมหนึบนิดๆ ตอนดูกระจก ก็ไม่เห็นร่อยรอยผิดปกติใดๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนว่า มันเพิ่งจะผ่านการโดนบีบโดนเคล้นชอบกล

"ก็ดีค่ะ" ภวังค์ไหลไปในใจ แต่นอกใจก็ต้องไม่ลืมตอบคำถามของเจ้านาย เพราะเขายังจ้องเขม็งเชียว

"ฝันถึงแม่นมหรือ"

"คะ"

"ไม่ได้ยินหรือ"

"อ้อ ได้ยินค่ะ"

วัสอรยิ้มแห้งๆ วันนี้เธอเป็นอะไรก็ไม่ทราบ ดูว้าวุ่นกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ปุราณก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาฝันถึงแม่นมอ่อน ตอนใกล้รุ่งสางนี่เอง นางมากอดเขา ร้องไห้ไปด้วย ยิ้มไปด้วย แล้วเขาก็ไม่เข้าใจรอยยิ้มประหลาดเช่นนั้น

"แม่นมยิ้มอะไร แปลกไปนะ ผมไม่เคยเห็นแม่นมยิ้มมีเลศนัยมาก่อนเลยนะ"

"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ นมปลาบปลื้มใจเท่านั้นเอง นมรู้สึกว่า หากตอนนี้ นมต้องจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีอะไรต้องให้นมเป็นห่วงอีก"

"พูดอะไรอย่างนั้นครับ แม่นมยังแข็งแรงดี แค่ป่วยบ้างก็เป็นธรรมดาของคนสูงอายุไม่ใช่หรือ อย่าห่วงไปเลยครับ แม่นมต้องอยู่ดูแลผมไปได้อีกหลายปี"

"โถ คุณปูของนม"

"อย่าทำเสียงแบบนั้น ผมฟังแล้วใจไม่ดี แล้วนี่หนีออกจากโรงพยาบาลใช่ไหม รีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ผมสะสางงานทางนี้เรียบร้อยแล้ว อีกสักสองสามวันจะไปเยี่ยม"

"คุณปูต้องได้ไปแน่ค่ะ แต่ไม่ใช่ไปเยี่ยมหรอกนะคะ ต้องไปรับนมกลับบ้านต่างหาก"

"อ้าว หมออนุญาตให้กลับได้แล้วหรือครับ"

"ยังหรอกค่ะ แต่มันถึงเวลาที่นมต้องกลับมาอยู่ใกล้ๆ กับคนที่นมผูกพันยิ่งกว่าลูก"

ความฝัน ณ รุ่งสาง สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น ยามจ้องตาที่ไม่ค่อยสดใสนักของสาวแม่บ้าน ปุราณก็ว้าวุ่นใจแปลกๆ รู้สึกว่ามันบังเอิญเกินไป ที่เขากับเธอจะฝันถึงแม่นมอ่อนในวันเดียวกันอย่างนี้

แล้วที่รู้สึกได้เหมือนๆ กันก็คือ สีหน้ากับแววตาของเธอ คล้ายจะกังวลและพรั่นพรึงต่อบางอย่าง ซึ่งเขาเองก็พยายามซ่อนความรู้สึกเช่นนั้นอยู่

"กินด้วยกัน" เขาตัดบทความว้าวุ่นและความเงียบเพียงน้อยนิดด้วยเสียงชวนขรึมๆ

"ไม่ดีกว่าค่ะ ฝนไม่อยากโดนดี" วัสอรซึ่งกำลังหมกมุ่นกับเรื่องคุณยาย ก็เผลอปฏิเสธด้วยเหตุผลสะดุดหู

"อะไรนะ"

"ฝนไม่อยากโดน.. " สาวถูกคาดคั้นคำตอบ ค่อยรู้สึกตัวว่าพลั้งปาก เธอรีบปั้นยิ้มกว้าง กลบเกลื่อนด้วยการรินกาแฟ "คือฝนหมายถึง เอ้อ ไม่อยากโดนตำหนิว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงน่ะค่ะ ก่อนจะมา คุณยายกำชับ.. "

"เธออาจโดนตำหนิอย่างนั้นจริงๆ ถ้าฉันไม่อนุญาตแล้วเสนอหน้า แต่เมื่อกี้นี้ ไม่ได้ยินที่ฉันชวนหรอกหรือ อย่าเรื่องมาก กินด้วยกันนี่แหละ ฉันมีงานด่วนให้ทำ เห็นเอกสารปึกนั้นไหม"

เขาพยักพเยิดข้ามไหล่ วัสอรเหลียวไปเห็นมันกองแยกอยู่ต่างหากชิดมุมโต๊ะ จึงค่อยหันกลับมาพยักหน้า เขากระแอมเบาๆ แล้วบอกว่า

"นั่นล่ะ งานของเธอ ทำให้เสร็จก่อนเที่ยงนะ วันนี้ ฉันจะลงไปดูสวนข้างล่างหน่อย ไม่ได้ไปดูมาสามสี่วันแล้ว มัวแต่ยุ่งกับงานเร่งๆ "

'ยุ่งกับงานเร่งๆ หรือว่าติ๊ดชึ่งกับผีกันแน่' วัสอรลอบนินทาในใจ เธอวางสีหน้าได้ดีมาก มันราบเรียบจนคนที่นั่งตรงข้ามห่างแค่โต๊ะกั้น ไม่รู้สึกผิดสังเกตเลย

แต่สรัลไม่ใช่อย่างนั้น หล่อนมาปรากฏตัวในห้องทำงานสักอึดใจก่อน และทันได้ยินคำสั่งของสามี อีกทั้งยังทันได้ยินแม่สาวจอมแส่แอบนินทาเขาในใจด้วย

"อย่าแม้แต่จะคิด" สามีปรามเสียงเข้ม สะกดมือที่ยื่นมาถึงกลางกระหม่อมสาวจอมแส่

"อะ.. อะไรนะคะ คุณ.. คุณปูทราบ"

วัสอรสะดุ้งไปอีกเรื่อง เธอตะกุกตะกักให้ปุราณเลียปากอึดอัด ไม่เข้าใจว่าเธอตกใจอะไร และคำว่า 'ทราบ' ของเธอ มันหมายถึงอะไร แต่ที่เขาปรามออกไป หมายถึงการซุกซนดุร้ายของภรรยา

เงาเบาบางแลพลิ้วหนักคล้ายจะบอกถึงอารมณ์เกรี้ยวกราด มันบิดเป็นเกลียว แล้วค่อยลอยวนเป็นวงกลม จากนั้น สุดที่รักก็ไปนั่งแทรกอยู่บนกองเอกสาร แล้วค่อยลอยไปแทรกในเก้าอี้ ท่าทางของหล่อน เหมือนจะหัวเสียแต่เช้าเลย เพียงแค่ว่า เขาชวนแม่บ้านวัยใสกินอาหารด้วยกัน

"ทราบ" เสียงขรึมตัดบทส่งเดชไปอย่างนั้นเอง แล้วค่อยเลิกคิ้วขำๆ ที่เห็นสาวแม่บ้านหน้าแห้งเจื่อน "รีบกิน แล้วรีบทำงานนะ ฉันกลับขึ้นมาอีกที งานต้องเสร็จ ถ้าไม่เสร็จ ฉันเอาเรื่อง"

"อ้าว คุณปูอิ่มแล้วหรือคะ ไม่เห็นกินอะไรเลย กาแฟก็ดื่มไม่หมด ฝนรินไม่เก่งหรือยังไง"

"รินเก่ง ปากก็เก่ง หุบเสียบ้าง"

'เอ๊ะ ทำไมมาต่อว่ากันอย่างนี้' วัสอรฉุนกึก เธอขยับตัวออกแนวกระฟัดกระเฟียด หงุดหงิดที่เจ้านายพ่อหม้ายไม่เห็นถึงความปรารถนาดี

เขาไม่แตะต้องอาหารเช้าสักอย่าง กาแฟก็ดื่มไปอึกเดียว เธอก็ถามดีๆ ทำไมต้องสั่งให้หุบปากด้วย นี่ถ้าไม่เกรงใจว่า ผีภรรยาดุร้ายละก็ เธอจะลุกตามไปอธิบายให้แจ่มแจ้ง เธอไม่ชอบให้ใครมาเข้าใจความคิดเธอผิดๆ

"เขาพูดถูกแล้ว เธอหัดหุบปากเสียบ้าง จะได้อยู่ที่นี่ต่อไปอย่างมีความสุขขึ้น"

ขนมปังยังไม่ทันได้ทาเนย มันร่วงจากมือเลย เมื่อวัสอรได้ยินเสียงยืดยานแผ่วอยู่ข้างหู ไม่ว่าจะตกใจยังไง แต่เพื่อยืนยันให้ตัวเองมั่นใจว่าโดนดีอีกแล้ว ก็จำต้องรีบผินหน้าไปหาต้นเสียง เพื่อปะทะเข้าให้กับไอร้อนผ่าวแบบเต็มแก้มกันเลย

"คุณ"

"ใช่ สักวันหนึ่งเถอะ ฉันจะปรากฏตัวให้เธอเห็นให้ได้ แล้วเมื่อถึงตอนนั้น เธอจะโดนหนักกว่านี้อีก อ้อ แล้วที่แอบนินทาสามีของฉันเมื่อกี้นี้ก็เหมือนกัน อย่าให้ฉันสัมผัสได้อีก"

"อะไร.. อะไรนะ"

"แต่ก็เอาเถอะ สัมผัสได้ว่าเธอนินทาค่อนขอด มันก็ไม่ระคายจิตเท่ากับสัมผัสได้ว่าเธอแอบหลงใหลอยากได้เขาเป็นสามี เพราะถ้าฉันสัมผัสความคิดนั้นได้ ก็เหมือนที่ฉันบอกไป ฉันจะทำให้เธอหายสาบสูญไปเอง"

ลมร้อนหอบบางๆ พาดผ่านแผ่นหลัง แล้วลอยขึ้นไปวนอุ่นอยู่เหนือศีรษะ วัสอรเลียปากตื่นเต้น เธอเดาละว่า ผีกำลังสำแดงฤทธิ์ บางที อาจนั่งทับกระหม่อมของเธออยู่

แค้นใจเหลือเกิน ทำไมเธอต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ในเรือนริมน้ำ เธอก็แค่มาทำหน้าที่แม่บ้านแทนคุณยายไม่กี่วันเท่านั้นนะ สรัลไม่น่าจะหึงหวงหน้ามืด เล่นงานคนไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้เลย มิหนำซ้ำ หล่อนยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ รังแกหนักเบาเอาแต่ใจ โดยที่คนอย่างเธอตอบโต้ไม่ได้สักแอะ ไม่ยุติธรรมจริงๆ




ระหว่างที่วัสอรกำลังเร่งทำงานที่ได้รับมอบหมายในห้องทำงาน ปุราณก็เดินตรวจตราสวนใหญ่ คนสวนมักจะเห็นเจ้านายหนุ่มปรายตาต่ำลงกว่าไหล่บ่อยครั้ง ทุกคนลอบสบตากันเองอย่างหวั่นๆ แต่ก็ยังคงง่วนกับงานตัวเองด้วยใจระทึก

และทุกครั้งที่ร่างของปุราณเฉียดมาใกล้ ไม่ใครก็ใครเป็นต้องแสดงอาการผวาสะดุ้งให้เห็น จนเจ้านายหนุ่มต้องเลิกคิ้วหงุดหงิดเจือรำคาญ บางครั้งอยากตำหนิที่ทำท่าเหมือนเห็นผี แต่เมื่อนึกว่าในเรือนหลังนี้ มันก็มีผีจริงๆ จึงพยายามมองข้ามไป

"เอ๊ะ หรือว่าพวกเขาจะเห็นสรัลแวบๆ คะ เอ.. สรัลเก่งขนาดนั้นแล้วหรือนี่"

"ไม่หรอกครับ ถ้าพวกเขาเห็นจริงๆ คงเผ่นป่าราบไปแล้ว คุณก็อย่าเก่งให้มากกว่านี้ เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ผมก็พอใจมากแล้ว มีความสุขที่รู้ว่าผมยังได้อยู่กับคุณ"

ปุราณยิ้มกริ่ม ขณะแวะนั่งพักใต้ต้นไม้ มองคนสวนโรยปุ๋ยในแปลงดอกดาวเรือง สรัลแทรกนั่งตักให้เขาวาบหวามเล่น คนอื่นไม่เห็นหล่อน เขาก็เห็นไม่ถึงกับชัดเจนนัก

ยามกลางวันเช่นนี้ พลังของสรัลน้อยนิดเกินกว่าจะเติมเต็มเงาให้แน่นหนักเหมือนยามค่ำ ที่เขาเห็นเวลานี้ ก็แค่ละอองหมอกขาวๆ แต่แลเป็นรูปเป็นร่าง ยามสะท้อนกับแสงแดด ตรงหน้าก็พร่างพราวไปด้วยประกายสีรุ้งระยิบระยับ

"สรัลสัญญานะคะ ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม สรัลกำลังหาทางอยู่ค่ะ"

"ผมสงสารคุณมากกว่า" ปุราณบอกตามที่ใจคิด "บางครั้ง ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ความรักที่ผมมีต่อคุณ มันเห็นแก่ตัว ผมใช้มันหน่วงเหนี่ยวคุณไว้ ทำให้คุณต้องล่องลอยผิดภพผิดภูมิ อันที่จริง.. "

"ไม่ค่ะ ความรักของเราไม่ผิด สวรรค์ต่างหากที่กลั่นแกล้งเรา พรากสรัลไปจากคุณเร็วเกินไป แล้วสรัลก็ไม่ยอมรับชะตากรรมเลวร้ายแบบนี้ สรัลจะต่อสู้เพื่อความรักของเรา เพื่อให้เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม"

"แต่คุณกำลังฝืน.. "

"ฝืนก็ฝืนสิคะ สรัลก็บอกแล้วไงว่าไม่กลัว สรัลจะทำให้ได้"

ปุราณเม้มปาก หรี่ตาเข้าไปเพ่งแสงแดดกับประกายสีรุ้งระยิบระยับ ภรรยาสุดที่รักลอยไปหยุดอยู่ตรงนั้น สายลมที่พัดแผ่ว มีส่วนทำให้ประกายสวยแตกกระจาย แล้วค่อยๆ หายไปจนหมด แต่ก่อนหน้านั้น ปุราณก็ได้ยินสุดที่รักกล่าวแผ่วขึ้นว่า

"สรัลไปก่อนนะคะ ไม่ไหวค่ะ ร้อน เหนื่อยมากด้วย แล้วสักบ่ายแก่หรือแดดร่มกว่านี้ สรัลจะมาหานะ"

หนุ่มพ่อหม้ายไม่มีวันได้รู้ได้เห็นว่า สรัลหลบไปอยู่ที่ไหนในซอกของภพภูมิที่ต่างออกไป และหากได้รู้ได้เห็น บางที เขาอาจจะกระอักกระอ่วนใจมากทีเดียวต่อความลับสวรรค์ ที่สรัลกับแม่อ่อนกำลังถกเถียงกันอย่างจริงจัง ณ ซอกอันมืดเร้น

และไม่ว่าเหตุผลของฝ่ายใดจะเหนือกว่าหรือด้อยกว่า ความลับสวรรค์ก็ไม่อาจบิดเบือนได้อยู่ดี สรัลกับแม่อ่อนต่างก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้ว่า 'วัสอรคือเนื้อคู่แท้ของปุราณ'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 54 12:47:47




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com