Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แก้วนพเก้า ตอนที่ ๒๐(ชวากูณฑ์อมฤต) - ๒๒(พายุกับมิตรภาพ)[แนวจักรๆวงศ์ๆ] ติดต่อทีมงาน

แก้วนพเก้า ตอนที่ ๑-๙
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2011/01/W10094105/W10094105.html

แก้วนพเก้า ตอนที่ ๑๐-๑๕

http://www.hongsamut.com/readniyai.php?NiyaiDetailID=3849&niyaiid=364

บทที่ ๑๖ พลังจากธาตุอัคคีศักดิ์สิทธิ์
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10232809/W10232809.html


"แก้วนพเก้า" บทที่ ๑๗  ปิลันธโมรา

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10259490/W10259490.html

แก้วนพเก้า ตอนที่ ๑๘(สถาปนา) -๑๙(จำจาก)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10336308/W10336308.html
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

"แก้วนพเก้า" บทที่ ๒๐ ชวากูณฑ์อมฤต


นับตั้งแต่มีนิศาเทวีมาคอยดูแล เพลิงประลัยก็ว่าง่ายขึ้นมากไม่อาละวาดดื้อรั้นเหมือนแต่ก่อน หากก็เฉพาะกับเทพธิดาองค์นี้เพียงองค์เดียว นางสามารถควบคุมเพลิงประลัยได้ด้วยความเมตตาและอ่อนโยน ความประนีประนอมและไม่เกรงกลัวที่จะเข้าใกล้บุตรแห่งพระเพลิงเหมือนเทวดานางฟ้าองค์อื่นๆ

มันทำให้เพลิงประลัยรู้สึกถึงคุณค่าและความมีตัวตนในสายตาผู้อื่น

“นิศาเทวี! ข้ามีอะไรมาให้ท่านดู ท่านจะต้องชอบมันแน่ๆ”

เพลิงประลัยอวดดวงไฟสีแสดที่กำลังลุกโชนอยู่เหนือฝ่ามือของตน ในขณะที่รอบกายเทพบุตรน้อยคือรัศมีสีแดงฉ่ำระบายริ้วยามที่ใช้พลัง มิได้ร้อนแรงจนต้องถอยห่าง เพราะมีทิพยรัศมีสีทองอันอ่อนโยนแผ่ซ่านมาครอบคลุม อารมณ์
ของเพลิงประลัยในเวลานี้จึงชื่นบาน

“สวยจัง เจ้าทำได้ยังไงเพลิงประลัย”

“ข้ารู้สึกถึงพลังบางอย่างในกายข้า พอตั้งจิตนึกถึงมันก็ปรากฏขึ้นในมือข้า มันสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ตามที่ข้าต้องการด้วยนะ” ว่าแล้วดวงอัคคีในมือของเพลิงประลัยก็หมุนวนเป็นสาย กลายเป็นสกุณาตัวน้อยที่ยามกระพือปีกละออง
เพลิงก็ร่วงพราว บินเวียนวนไปมาก่อนจะมลายหายไป  

“ข้าเก่งมั้ย นิศาเทวี” เพลิงประลัยถามด้วยความภูมิใจในความสามารถที่ตนค้นพบ นิศาเทวีมองเทวเทพองค์น้อยที่มีพลังทิพยะอันรุนแรงแฝงอยู่อย่างน่ากลัว

ความเป็นทิพยะที่สืบทอดมาจากผู้เป็นบิดามาราดาผนวกกับความร้อนแรงของเพลิงกาฬ ถ้าหากใช้ในทางที่ถูกก็คงจะเป็นคุณอนันต์ แต่ถ้าผิดก็คงเป็นโทษมหันต์

“ข้าไม่เก่งหรือ” เพลิงประลัยถามอย่างไม่เข้าใจ เมื่อนิศาเทวีมองตนด้วยสายตาแปลกๆ

“เก่งสิ เจ้าเก่งมาก เพลิงประลัย…ถ้าเจ้าใช้พลังที่เจ้ามีในทางที่ถูกที่ควรมันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเลยนะ ดวงอัคคีของเจ้าจะให้ความอบอุ่นได้มากมายมหาศาล”

“ใช้ในทางที่ถูกที่ควรงั้นหรือ อย่างเช่นอะไรบ้างล่ะ”

“ก็อย่างเช่น…” ยังไม่ทันที่นิศาเทวีจะได้ขยายความ นางก็ชะงักงันไป ก่อนจะพึมพำแผ่วเบาเงยพักตร์ขึ้นไปยังเบื้องบน

“...พระแม่เจ้า!...”

สุรเสียงเพรียกหาจากพระอุมาเทวีดังขึ้นภายในมโนจิตของนิศาเทวี เป็นสำเนียงที่ไพเราะประดุจคีตาหากผู้ที่ได้ยินจะมีเพียงผู้ที่ต้องการสื่อสารเท่านั้น


...พระแม่เจ้าทรงเรียกหา ด้วยเหตุบางประการ...


เพลิงประลัยเห็นท่าทีนั้นก็รู้ได้ในทันที ใบหน้าคมงามบึ้งตึง แววเนตรราวกับมีกองกูณฑ์ลุกโชน

“เพลิงประลัย ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่น่ารักเลยรู้ไหม” นิศาเทวีตำหนิเพลิงประลัย อย่างไม่ค่อยสบายใจ ทิพยรัศมีรอบกายสีแดงฉานร้อนแรงขึ้นทันที

“ท่านจะรีบไปเข้าเฝ้าพระอุมาก็ไปเถอะ ไม่ต้องมาสนใจข้าหรอก!” เพลิงประลัยเอ่ยอย่างตัดพ้อที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจตน…ไม่เข้าใจหรือ ว่าเขาไม่อยากให้นิศาเทวีไปไหนไกล

“เรารับอาสามาดูแลเจ้า เราจะไม่สนใจเจ้าได้ยังไง แต่พระแม่เจ้ามีพระกระแสรับสั่งให้เราเข้าเฝ้า เราก็ต้องไป...เพลิงประลัย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทวดานางฟ้าก็ต้องมีภาระหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น”

“ท่านไม่ต้องมาอ้างหน้าที่หรอก ท่านอยากจะไปรับใช้พระอุมาหรืออะไรก็ไปทำเถอะ ข้าอยู่คนเดียวจนชินแล้ว ไม่มีท่านก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ปากว่าเช่นนั้นแต่ในใจก็กลัวว่านิศาเทวีไปแล้วไม่กลับมาหาตนอีก แต่เพราะความดื้อรั้นจึงทำเป็นว่าไม่แยแสเลยสักนิด

“เรารู้ว่าเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น ต่อไปเจ้าก็จะเข้าใจเอง เราไปก่อนนะเพลิงประลัย”

เพลิงประลัยยังทำเมินเฉยไม่สนใจ จนกระทั่งนางกลายเป็นละอองสีทองระยิบระยับลอยขึ้นสู่เบื้องบน ณ ยอดไกรลาสคีรี

เมื่อนั้นบุตรแห่งพระเพลิงจึงวิ่งออกมามองตามที่ช่องแกลอย่างเศร้าซึมราวกับถูกทอดทิ้ง

“เจ้าไม่น่าพูดกับนิศาเทวีอย่างนั้นเลย ไม่คิดว่านางจะเสียใจบ้างหรือ” นางฟ้าพัทธิราที่เฝ้ามองอยู่เอ่ยกับเพลิงประลัย    

“ไม่เกี่ยวกับท่านเสียหน่อย

เพลิงประลัยตอบกลับไปอย่างไม่พอใจที่อีกฝ่ายบังอาจมาสั่งสอนตน หากเป็นแต่ก่อนเขาคงจะฟังบ้าง แต่เวลานี้ความเชื่อถือศรัทธามันหมดสิ้นไปแล้ว

นางฟ้าพัทธิราทอดถอนใจ ทั้งที่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้พลังทิพยะจะถูกลดทอนลงด้วยจิตอันอ่อนแอ แต่มันก็อดไม่ได้

“เฮ้อ…เจ้าคงเกินเยียวยาแล้วจริงๆนะเพลิงประลัย แม้แต่นิศาเทวีที่รับใช้พระแม่เจ้าอยู่บนวิมานที่สูงส่งแท้ๆ ยังอุตส่าห์อาสามาดูแลเจ้า แต่เจ้ากลับพูดจาทำร้ายจิตใจนางได้เพียงนี้”

“ไม่ต้องมาทำเป็นสงสารข้า! ข้าไม่ต้องการให้ใครมาสงสารข้าทั้งนั้น แม้กระทั่งท่านด้วยนางฟ้าพัทธิรา!”  ถึงแม้จะรู้สึกผิดอยู่ในใจแต่เพลิงประลัยยังคงแสดงความยโสโอหัง เป็นเกราะป้องกันไม่ให้ใครเห็นถึงความอ่อนแอ หลอกแม้
กระทั่งตนเอง

“ถ้าเจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ตามใจ เราเตือนเจ้าได้เท่านี้ล่ะ จงกลับไปคิดให้ดีว่าสิ่งที่เจ้าทำมันถูกต้องแล้วหรือ”  

แม้ปากจะบอกไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่นิศาเทวีเป็นนางฟ้าเพียงองค์เดียวที่เขาไว้ใจและรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ตน



…ถ้านิศาเทวีโกรธจนไม่กลับมาจะทำยังไงดีล่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับท่านแบบนั้นเลยนะ…


…ใช่แล้ว เพราะพระอุมานั่นแหละ นางฟ้าองค์อื่นก็มีตั้งมากมาย กลับเจาะจงจะใช้แต่นิศาเทวี พระอุมา!...ทำไมต้องพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากข้าด้วย…



ด้วยความที่ไม่ยอมเปิดใจรับสิ่งใด เพลิงประลัยจึงมองเห็นทุกคนรอบกายเป็นเหมือนศัตรูไปเสียหมด เทวบุตรองค์น้อยจมอยู่กับความคิดของตัวเองเพียงลำพัง โดยไม่รู้ตัวเลยว่ารัศมีพลังรอบกายของตนมันรุ่งโรจน์มากขึ้นทุกครั้งยามที่เขาตกอยู่ในห้วงแห่งโทสะและโมหะ



…แล้วถ้านางไม่กลับมาจริงๆล่ะ ข้าจะทำยังไงดี...หรือข้าก็ต้องไปหานางที่วิมานของพระอุมา แต่ข้าจะออกจากที่นี่ยังไงดี…ใช่แล้ว!…พลัง...พลังที่ซ่อนอยู่ในตัวข้านี่ไงล่ะ ข้าต้องใช้ให้มันเป็นประโยชน์อย่างที่นิศาเทวีว่า…



เพลิงประลัยเพ่งสมาธิเพื่อค้นหาพลังในกายที่ซ่อนเร้น ราวกับพลังอำนาจแห่งอัคคีจากทุกสารทิศจะถูกดึงดูดเข้ามารวมอยู่ที่บุตรแห่งพระเพลิง ร่างของเพลิงประลัยกลายเป็นดวงอัคคีลุกโพลงพุ่งเข้าหาปราการมนตราที่กักขัง แต่แล้วก็ต้องกระเด็นกลับมาตามเดิม!

หากพลังอำนาจของเพลิงประลัยที่ปะทะกับมนตราของเหล่าเทพในครั้งนี้ก็ทำให้เกิดแรงสะเทือนเลื่อนลั่นจนวิมานนี้แทบจะถล่ม เหล่าเทวดานางฟ้าที่ยังวนเวียนตรวจตราอยู่โดยรอบหวีดร้องตื่นตระหนก

“เพลิงประลัย!! เจ้าทำอะไรของเจ้า!”

เสียงนางฟ้าพัทธิราว่ากล่าวแต่เพลิงประลัยไม่สนใจ พยายามจะรวบรวมพลังอีกครั้ง และแล้วในบรรดาพลังจากธาตุอัคคีทั้งหมด จิตก็สัมผัสได้ถึงอัคคีสีน้ำเงินโชติช่วงที่ทั้งร้อนแรงและเยียบเย็นระคนกัน เพียงแค่จิตสื่อถึงธาตุนั้นทั้งกายก็
ร้อนราวกับมีไฟลุกขึ้นทั้งกายา

“มันอยู่ที่ไหนกันนะ ดวงไฟสีน้ำเงินที่ข้าสัมผัสได้ ถ้าได้สิ่งนั้นมาล่ะก็...” เพลิงประลัยรำพึงกับตนเองอย่างมาดหมาย!

:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:

อำนาจอัคคีที่สื่อถึงกันด้วยเชื้อสาย รุนแรงจนพระเพลิงต้องวิตกกังวล ชวากูณฑ์สีน้ำเงินสะบัดเปลววูบวาบ บุตรของพระองค์กำลังสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจแห่งชวากูณฑ์อมฤตที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากพระองค์เองนับแต่ครั้งบรรพกาล


เพลิงประลัย...ชวากูณฑ์อมฤต มีผลต่อเจ้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ เราคงต้องพยายามแยกเจ้าออกจากชวากูณฑ์อมฤตเพื่อสกัดกั้นพลังของเจ้า ก่อนที่เรื่องจะลุกลามไปมากกว่านี้…

:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:

นครโรมสุรีย์...เมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ห่างไกลจากคีรีรัตน์มาทางทิศหรดี สักการบูชาอัคคีเทพด้วยความศรัทธายิ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดเหตุเภทภัยใดๆ พระเพลิงจะเป็นเทพผู้ทรงปกปักรักษาเสมอ

ราชากรมันต์ผู้ครองนครทรงปกครองด้วยทศพิศราชธรรมพร้อมด้วยพระมเหสีศศิกา ขัตติยนารีผู้สืบเชื้อสายมาจากคีรีรัตน์นครในฐานะพระขนิษฐาขององค์ราชาศักรินทร์ ซึ่งหลังจากอภิเษกสมรสก็มีโอรสน้อย...กรเวทย์...เป็นรัชทายาท
สืบราชสมบัติ ชันษาไล่เลี่ยกับโอรสฝาแฝดแห่งคีรีรัตน์นคร แต่เพราะพระพลานามัยที่ไม่แข็งแรงพระโอรสกรเวทย์จึงไม่ได้เรียนรู้ศิลปวิทยาการเท่าที่ควรนัก


ณ ทิวาหนึ่งที่สุขสงบรื่นรมย์ องค์กรมันต์ทรงออกว่าราชการตามปกติ ทหารนายหนึ่งก็เข้ามากราบทูลอย่างร้อนรน

“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า อยู่ๆ ที่วิหารอัคณินก็เกิดมีแสงสีแดงสาดออกจากภายในพระเจ้าค่ะ!”

“วิหารอัคณินงั้นหรือ เราจะไปเดี๋ยวนี้!”  

วิหารอัคณินคือสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งนครโรมสุรีย์ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปจำลององค์เทพแห่งอัคคี ตั้งอยู่ในตำแหน่งสำคัญคือกลางใจเมือง เช่นเดียวกับตำหนักกฤติยาแห่งคีรีรัตน์นคร

“ให้หม่อมฉันตามเสด็จไปด้วยนะเพคะ” มเหสีศศิการีบลุกตามพระสวามีไป

องค์กรมันต์และมเหสีศศิกาเสด็จเข้ามาภายในโถงวิหาร รัศมีสีแดงเพลิงส่องสว่างไสวไปทั่วและเล็ดลอดออกไปตามช่องแกลจนทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นแตกตื่น ธูปเทียนประทีปและเครื่องบวงสรวงต่อหน้าเทวรูปอัคคีเทพที่ปรากฎรูปเงารัศมีสีแดงเพลิงพร่างพรายซ้อนทับอยู่

องค์กรมันต์ทรงรับรู้ได้ถึงสัญญาณที่เทพแห่งอัคคีถ่ายทอดออกมา จึงรับสั่งให้เสนาอำมาตย์ทุกคนออกไปจากวิหาร เหลือเพียงแต่พระองค์และพระมเหสีเท่านั้น ก่อนจะทรุดองค์ลงถวายความเคารพ

รัศมีเพลิงที่พร่างพรายนั้นปรากฏชัดขึ้นเป็นรูปเทวเทพหนึ่งในสี่โลกธาตุ ที่งดงามคมสันหากก็ดุดันด้วยนัยเนตรแดงเดือด ขนงที่เรียงเส้นราววาดและเกศาที่กระจายอยู่บนอังสะลุกโพลงดุจเป็นเปลวไฟ

“ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ...พระองค์เสด็จมามีสิ่งใดจะให้หม่อมฉันรับใช้หรือพระเจ้าข้า”

ด้วยศักดิ์แห่งราชาผู้ครองนคร ราชากรมันต์มีสิทธิ์ติดต่อสื่อสารกับองค์เทพผู้ปกปักรักษา เช่นเดียวกับเทพแห่งอัคคีที่จะทรงปรากฏองค์ให้แต่ผู้ที่มีเชื้อสายขัตติยราชเท่านั้นได้เห็น

“เรามีบางสิ่งจะมาขอฝากไว้กับเจ้า” พระเพลิงตรัสพร้อมกับแบพระหัตถ์ให้เห็นดวงอัคคีสีน้ำเงินที่ลุกโชติช่วง

“นี่คือชวากูณฑ์อมฤต...อานุภาพของมันจะสามารถรักษาทุกสรรพสิ่งไม่ให้สูญสลายไปกับกาลเวลารวมทั้งสามารถทำลายล้างทุกอย่างที่ไม่มีอะไรจะทำลายได้ด้วย อำนาจพระเพลิงแห่งเราซึ่งมีอานุภาพชำระล้างดุจเดียวกับพระคงคา แต่
มันจะเป็นภัยต่อสรรพสิ่งถ้าหากตกอยู่ในน้ำมือของผู้ไม่สมควร เราขอฝากมันไว้กับเจ้าเพื่อหลบซ่อนให้พ้นจากผู้ที่กำลังตามหามัน และในระหว่างที่เราฝากไว้นี้ เจ้าสามารถใช้พลังบางส่วนของมันได้ตามแต่เราจะอนุญาต”

แม้องค์กรมันต์จะเคลือบแคลงสงสัยในความนัยที่พระเพลิงทรงเอ่ยขึ้น แต่ก็พร้อมจะถวายคำสัตย์สัญญาต่อเทพผู้ปกปักรักษานครโรมสุรีย์ พร้อมอัญเชิญสุพรรณศรีมารองรับดวงชวากูณฑ์ไว้

“พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะรักษามันด้วยชีวิต”

แล้วรูปกายทิพยะที่ทรงถ่ายทอดให้เห็นของพระเพลิงก็จางหายไปในรัศมีเพลิงที่ลุกโชน แสงสีแดงที่สาดกระจายไปทั่ววิหารหายไป

***************************************

แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 54 12:42:11

 
 

จากคุณ : บทเพลงปีศาจ
เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 54 13:13:06




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com