ตอนที่ 9 พระแสง สุริยภพวางโทรศัพท์ลงเมื่อรับสายจากน้องสาวตัวดี นายหัวคนโตแห่งเมืองกระบี่ลงทุนมารับศาปานต์จากโรงพยาบาลด้วยตนเอง และไปส่งยังบ้านพักเรียบร้อยแล้ว เจตนาดังกล่าวผู้กองหนุ่มอ่านประเด็นออกโดยแทบไม่ต้องคาดเดาใดๆ
อีกฝ่ายกำลังแสดงความสนใจต่อศาปานต์อย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่าความสนใจของโกฉัตรพุ่งประเด็นไปยังเรื่องใดร่วมด้วยนั่นต่างหาก ที่เขายังไม่แน่ใจนัก... การหายตัวไปของปรมาพี่สาว หรือเฉพาะศาปานต์เพียงประการเดียว
เขามองสายตาจับจ้องที่อีกฝ่ายมองมายังเด็กสาวคนนั้นด้วยความเข้าใจและอดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ ตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ ชื่อของโกฉัตร แทบจะเป็นชื่อแรกที่ปรากฏในความรู้จักของทุกคนในท้องถิ่นนี้ ความยิ่งใหญ่ในธุรกิจการค้าระดับคหบดี จนเป็นที่ยกย่องให้เกียรติว่าเป็น นายหัว คนหนึ่ง เป็นประจักษ์พยานอย่างดี และที่สำคัญ... อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาอดกังวลไม่ได้ ก็คือ ความเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของโกสุ่น หรือนายสุนทร อัศวยุทธการ นักการเมืองท้องถิ่นก่อนหน้าการเดินทางมาถึงของเขาไม่นาน
ผู้กององอาจผู้รับผิดชอบคดีและเป็นรุ่นพี่สถาบันเดียวกันกับเขาถูกสั่งย้ายด่วน ภายหลังจากรับมอบหมายคดีดังกล่าวมาดูแลเพียงไม่นาน และเป็นเขานั่นเองที่เดินทางเข้ามารับตำแหน่งแทนที่ โดยรับผิดชอบคดีนักแสดงหนุ่มเอกนรินทร์ที่เกิดขึ้นในจังหวะเวลาใกล้เคียงกันพอดี ส่วนแฟ้มคดีของโกสุ่นก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ และอาจจะเงียบหายเป็นคลื่นกระทบฝั่งไปในมิช้า
แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือ... เขาได้รับมอบหมายภารกิจลับจากต้นสังกัด ให้คอยติดตามสืบหาความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโกสุ่นไปพร้อมกันด้วย!
ข้อมูลในแฟ้มคดีของร้อยตำรวจเอกองอาจถูกสำเนาและส่งต่อให้กับเขาอีกส่วนหนึ่งโดยมีผู้รับรู้เรื่องนี้อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและเพื่อความสะดวกในการสืบสวนคดี
ดังนั้น นายหัวฉัตร จึงเป็นผู้ต้องสงสัยอีกคนหนึ่งที่อยู่ในความสนใจของนายตำรวจหนุ่ม เขาไม่อาจปฏิเสธเลยว่า การสนิทสนมกับรสลินน้องสาวคนเดียวของนายหัวผู้นั้น ก็อยู่ในแผนการที่จะ เข้าถึง ตัวเป้าหมายด้วยเช่นเดียวกัน...
พระแสงเปิดประตูลงจากรถเมื่อขับมาจอดที่หน้าบ้านเรือนไม้ของตนเองพอดี และสิชลก็โผล่หน้าออกมาทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างยินดี
พี่แสงวู้...
******************** แค่เห็นหน้าเข้มๆของผู้กองหนุ่มก้าวขึ้นมา ศาปานต์ก็รีบเมินหน้าไปทางอื่น ไม่ใช่ด้วยความหมั่นไส้เหมือนแต่เดิม แต่เป็นความขัดเขินตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อรู้จากสิชลที่เจ้าตัวก็ช่างบรรยายเสียจนละเอียดลออ ในตอนที่หล่อนเป็นลมหมดสติในร้านอาหารกรุงตะโกลานั่นเอง
เป็นพี่แสงนี่แหละ แกตรงเข้ามาก่อนใครเลยนะป่าน สิยังไม่ทันทำอะไรเลยมัวแต่ตกใจ แกก็รีบอุ้มป่านขึ้นมาไว้ทัน สิกลัวจะแย่ว่าป่านจะหัวกระแทกพื้นบาดเจ็บไปเสียอีก
สิชลเล่าแจ๋วๆโดยไม่ได้สังเกตใบหน้าที่เริ่มแดงซ่านขึ้นน้อยๆของคนฟังเลยสักนิด
แถมพี่แสงยังไม่ยอมให้ใครมาช่วยอุ้มป่านอีกนะหน้างี้ขมวดบึ้งเหมือนกลัวใครจะมาแย่งไปยังงั้นแหละ แกอุ้มของแกคนเดียวแล้วเดินจ้ำลิ่วๆไปที่รถ จนสิต้องวิ่งตามมานั่นแหละ แล้วก็ยังอุตส่าห์ขับไปส่งจนถึงมือหมอเลยนะ พี่แกถึงได้ยอมกลับบ้าน
แต่ก็ไม่เห็นอยู่เฝ้าไข้เลยนี่นา มาทำเป็นพูดดีไป
หล่อนแกล้งเสพูดข่มความอายออกไป แต่สิชลรีบเถียงแก้แทนทันควัน
ใครบอกล่ะจ๊ะ ต้องถามโกฉัตรกะแม่หลินปิง... เอ๊ย! รสลินนั่นต่างหากที่มาขวางเอาไว้ ตอนแรกพี่แสงก็ฮึดฮัดดื้อแพ่งจะอยู่เฝ้าไข้ป่านเสียด้วยซ้ำ แต่แม่หลินปิงจอมจุ้นนั่นแหละที่อ้างว่าติดต่อพยาบาลพิเศษไว้ก่อน แล้วคุณหมอเจ้าของไข้มาช่วยยืนยันอีกที พี่แสงก็เลยต้องยอม...
ศาปานต์เพิ่งถึงบางอ้อ ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาจึงไม่ได้พบหน้าผู้กองจอมเต๊ะ ตอนแรกหล่อนก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าเวลานั้นควรจะรู้สึกโล่งใจมากกว่าผิดหวัง แต่ทำไม ความรู้สึกกลับไม่เป็นไปอย่างที่คาด?
ไม่หรอก! เป็นเพราะหล่อนไม่มีเพื่อนคนอื่นในที่นั้นต่างหาก ก็มีแค่ยายสิกับพี่ชายจอมเก็กแค่สองคนต่างหาก ศาปานต์พยายามหาเหตุผลข้างๆคูๆมาตอบให้กับตัวเอง แล้วก็พาลให้ร้อนวูบไปทั้งร่างด้วยความร้อนตัว ในเมื่อหันมาสบตาเข้มๆของเขาที่มองตรงมาพอดีโดยไม่ยอมเบนหลบ ก็ชายหนุ่มคนนี้มิใช่หรือ ที่เป็น คู่กรณีคนสำคัญกันอยู่?
เป็นไงบ้างคุณหนูป่าน สบายดีหรือยังครับ?
หน้าขรึมๆนั่นอีก เวลาเอ่ยทักทายขึ้นมาเป็นประโยคแรก ก็ถึงกับทำให้หญิงสาวคอแข็งขึ้นมากะทันหัน อุตส่าห์จะพยายามอ่อนข้อให้แล้วทีเดียวนะ... ดูทีหรือเขากลับมาเรียกหล่อนล้อเลียนตามคำเรียกของนายหัวชิงฉัตรไม่มีผิด!!
ไม่ต้องเรียกอย่างนั้นก็ได้ค่ะ คุณผู้กอง ป่านไม่ได้เป็นคุณหนูที่ไหน
อีกฝ่ายแม้จะไม่ได้ยิ้มแต่นัยน์ตาคมกล้าก็เป็นประกายพราวขึ้นมาทันตาเห็น เขากำลังขบขันท่าทางของหล่อน!
แต่ท่าทีที่แสดงออก ผู้กองหนุ่มกลับค้อมศีรษะลงน้อยๆเหมือนรับคำสั่งแต่โดยดี
ไงคะ ไปสืบเรื่องพี่สาวยายป่านได้ความว่าไงมั่ง?
เสียงแจ้วๆของสิชลแทรกขึ้นมาเสียก่อน และมีผลทำให้นัยน์ตาศาปานต์วาววับขึ้นด้วยความสนใจ
นี่คุณออกไปสืบเรื่องของพี่ป่านหรือคะ?
แต่แรกหล่อนนึกเพียงว่าเขาหนีหน้าไปทำงาน จนไม่มีเวลาแม้แต่จะมารับตัวที่โรงพยาบาล เสียงของศาปานต์จึงอ่อนลงเล็กน้อย
ผู้กองหน้าตายพยักหน้ารับแต่โดยดี ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาคลี่ลงตรงหน้าหญิงสาว นัยน์ตาคมเข้มของเขาทอดมองมาที่ศาปานต์คล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
นี่เป็นจดหมายที่ผมได้มาจากมะแอ จดหมายที่ป๊ะยีเขียนขึ้นระหว่างกันสนทนากับพี่สาวของคุณที่บ้านของแก ก่อนการหายตัวไป
หล่อนกำลังจะหยิบมันแต่พระแสงกลับเป็นฝ่ายชักข้อมือกลับเสียก่อน
ผมอยากให้คุณลองสืบดูด้วยพลังพิเศษอย่างที่ยายสิบอกมา เผื่อจะรู้ว่าตอนนี้คุณปรมาอยู่ที่ไหนกันแน่
คราวนี้คนที่อ้าปากหวอค้างกลับเป็นสิชลแทน เด็กสาวไม่ทันนึกว่าแผนการที่สมรู้ร่วมคิดกันมาก่อนจะถูกพี่ชายตัวดีมาทดสอบเอาในวันนี้... เวลานี้ พอดี!
ว่าไงล่ะ คุณป่าน ตกลงไหม?
หล่อนอ้าปากเตรียมเอ่ยคัดค้านแทนเพื่อนสาว แต่คราวนี้ศาปานต์เป็นฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาตัดบทเสียก่อนโดยที่สิชลพูดไม่ทัน
งั้นท่านผู้กองก็ส่งมันมาสิคะ ป่านจะสืบสวนด้วยพลังจิตให้ดูเป็นขวัญตาเสียเดี๋ยวนี้เลย หญิงสาวยิ้มเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ส่งสายตาประสานกับนัยน์ตาคมกริบของอีกฝ่ายโดยไม่พรั่นพรึง พร้อมยื่นมือออกไปอย่างรับคำท้า และพระแสงก็ส่งกระดาษแผ่นนั้นออกมาในทันทีเช่นกัน
เมื่อนั้นเนื้อกระดาษยับยู่ยี่อันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ได้จากมะแอก็สัมผัสกับปลายนิ้วของหญิงสาวพอดี...
************************** อา... ในที่สุดเวลาที่ข้ารอคอยก็มาถึงแล้ว ความทุกข์ทรมานความเจ็บปวด... ทุกสิ่งทุกอย่างจักได้จบลงเสียที ในวาระนี้... พาพวกมันกลับคืนมาที่นี่ มาให้ข้า!
ข้าจะพยายาม...
น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นอ่อนล้าคล้ายเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ในขณะที่อีกเสียงเปล่งคำรนราวเสียงแห่งอสุนีบาต แม้มิได้ตวาดกราดเกรี้ยวโกรธาหากก็แฝงด้วยพลังฤทธาอันเหนือกว่าอีกฝ่าย
บัดนี้นางผู้จากไปนานแสนนานจนลืมสิ้นทุกพันธสัญญาและคำพิษฐาน... ถึงเวลาเสียทีที่นางจะต้องกลับคืนมาเพื่อการปลดปล่อยทุกสรรพสิ่ง ข้าได้ชดใช้มามากพอแล้ว
แต่...
คล้ายเสียงอันทรงพลานุภาพอีกเสียงหนึ่งเบียดแทรกขึ้นมาคั่นกลาง
แต่นางได้พยายามแล้ว ทว่าความทรงจำทั้งมวลในอดีตชาติล้วนถูกจำกัดด้วยกาลเวลา... กาลเวลาที่กลืนกินทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความรัก หรือความแค้น!!
ไม่ข้าเจ็บปวดทุกข์ทนเหลือเกินแล้ว เจ้าก็รู้นี่นะ เราต่างถูกจองจำในปราการที่มองไม่เห็นนี้มานานแสนนาน ข้าอยากจะเป็นอิสระ... ไม่ว่าปลายทางนั้นจักเป็นฉันใด
ข้า...
เจ้าต้องช่วยพวกเรา มีเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะทำหน้าที่เชื่อมต่อนั้นได้ เพื่อให้คำสาปทั้งปวงได้รับการถ่ายถอน จงนำพวกมันทั้งหมดให้คืนกลับมาให้ได้... ถึงเวลาที่ทุกอย่างต้องได้รับการชดใช้!!
************************ ไม่ม์ม์ม์ม์!!
ศาปานต์!
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และชายหนุ่มก็รีบถลันเข้าคว้าร่างโปร่งบางของเด็กสาวเข้ามาโอบแนบกายเอาไว้ด้วยความตกใจและเป็นห่วง ศาปานต์ดิ้นรนระหว่างการสะบัดแขนขาไปมาราวกับถูกครอบงำด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่อาจมองเห็น หญิงสาวส่งเสียงร้องด้วยความตกใจกลัวสุดขีดเมื่อมือสัมผัสกับกระดาษแผ่นนั้น
ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรแล้วคุณป่าน
เขาเอ่ยปากปลอบโยนอีกฝ่าย ขณะลูบมือแข็งแกร่งไล้ลงที่แผ่นหลังของหล่อนเพียงแผ่วเบาอย่างสุภาพ ศาปานต์สะอื้นจนตัวโยนก่อนหลับนัยน์ตาลงยังรู้สึกถึงหยาดน้ำขังคลอในหน่วยตา ภาพเมื่อครู่ปรากฏขึ้นชัดเจน ไม่ต่างกับภาพในนิมิตฝันร้ายสุดขีดเกินพรรณนา หล่อนเห็นร่างของ พี่เอก ถูกฉีกกระชากออกจากกันทั้งเป็นด้วยมือนับร้อยพัน มือหยาบกระด้างแห้งกรังจนเห็นข้อกระดูกปูดโปนของอสุรกายนรกเหล่านั้น พวกมันส่งเสียงเซ็งแซ่ด้วยความกระหายหิวและปรีดาเมื่อมีเหยื่อแห่งภักษาหลุดพลัดเข้ามา เสียงกรีดร้องของเอกนรินทร์ยังดังโหยหวนด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดสะท้อนสะท้านไปทั้งโสตประสาทจนขุมขนลุกโชน...
จากนั้นก็เป็นภาพชายชราร่างสันทัดกำลังยืนนิ่งอยู่บนหาดทราย แสงจันทร์อาบไล้ลงมาที่ร่างนั้นเต็มที่ ฉายให้เห็นองคาพยพที่ยืนตระหง่านก่อนจะล้มคว่ำลงบนพื้นทรายละเอียด โดยปราศจากศีรษะ!
ส่วนพี่ปอ...
ปรมากำลังวิ่งหนีโดยมีเงาดำทะมึนเคลื่อนตัวไล่ตามไม่ละลด หล่อนแทบจะสัมผัสถึงเสียงหัวใจเต้นระรัวของพี่สาวระหว่างการวิ่งและวิ่ง เพื่อเอาชีวิตรอด สลับกับเสียงคลื่นซัดกระหน่ำรายรอบด้าน ภาพดวงจันทร์เว้าแหว่งบนฉากฟ้าและพื้นเกาะที่ค่อยๆจมดิ่งลงสู่ใต้ผืนน้ำ...
เงาทะมึนเลื่อนใกล้เข้ามาทุกขณะจนชะโงกง้ำอยู่เหนือร่างบอบบางของปรมา
โอ... ไม่!!
คุณเห็นอะไร ศาปานต์?
เสียงทุ้มนุ่มนวลที่ริมหูทำให้สติของเด็กสาวกลับคืนมาอีกครั้ง
พี่ปอ... ฉันเห็นพี่ปอ แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน?
ป่าน
คราวนี้สิชลกระถดเข้ามาใกล้ เหลียวมองรอบตัวด้วยความหวาดผวา คำพูดของเพื่อนสาวทำให้หล่อนรู้ว่านั่นมิใช่การแสดง หรือแกล้งอำเล่นๆเหมือนกับที่เข้าใจกันตั้งแต่แรกเสียแล้ว...
ศาปานต์มองเห็นอะไรกันแน่???
***************************
ยอดธง ทับคีรีขยี้ก้นบุหรี่ลงกับจานรองแก้วระหว่างการสนทนากับนายหัวใหญ่แห่งตระกูลธารานพรัตน์ เขาพยักหน้าให้ ซิ้วหลี หรือยอดมณี ทับคีรี ลูกสาวสุดสวาทขาดใจเพียงคนเดียวออกไปจากห้องก่อน เพื่อสนทนากับแขกผู้มีเกียรติเพียงลำพัง
หญิงสาวสะคราญวัยเดียวกับรสลินพยักหน้ารับแต่โดยดี หล่อนมีท่าทางทะมัดทะแมงคล่องแคล่วอย่างหญิงสาวนักธุรกิจ แม้จะไม่มีเสน่ห์ยวนใจอย่างน้องสาวของเขา ยอดมณียิ้มให้นายหัวฉัตรนิดหนึ่งโดยมารยาทแล้วผละออกไปจากห้องแต่โดยดี โดยมีราไวย์ กับกาวี บอดีการ์ดหรือสมุนคนสนิทของยอดธงคอยยืนคุมเชิงเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของผมพอดี เราจะมีงานเลี้ยงใหญ่ และผมคิดว่าน่าจะใช้โอกาสนั้นเปิดตัวว่าที่ นายก อบจ.คนใหม่เสียเลย
โกยอดเอ่ยขึ้นทันทีที่บานประตูปิดลง
เป็นความคิดที่ดี ทุกคนในจังหวัดจะต้องมาร่วมในงานของโกยอดอยู่แล้ว
ชิงฉัตรเอนกายพิงพนักเก้าอี้และจุดบุหรี่สูบ พ่นควันออกมาช้าๆ
ถ้าไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาท สำหรับงานนี้ผมขอมีส่วนร่วมเป็นเจ้าภาพฉลองวันแซยิดให้กับโกยอดด้วยตัวเอง
ยอดธงในวัยย่างเข้าหกสิบยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ประสบการณ์ที่ผ่านมายาวนานทำให้มองเห็นหลายๆอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะเจตนาของหนุ่มใหญ่ผู้เปรียบเสมือนคลื่นลูกใหม่ของวงการการเมืองท้องถิ่นผู้นี้ เขามองเห็นความเด็ดขาด ใจกว้างอย่างนักเลงโตที่กล้าได้กล้าเสียโดยไม่มาคิดเล็กน้อยกับเรื่องหยุมหยิมเหมือนกับบางคนที่เคยรู้จัก นิสัยแบบนี้ใครที่เป็นมิตรด้วยนับเป็นโชคสูงสุด แต่ในขณะเดียวกัน ใครที่คิดจะเป็นศัตรูก็นับว่าน่ากลัวไม่ใช่เล่น!
และเขาก็คิดถูกที่ตัดสินใจหันมาเลือกประการแรก!!
การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุของโกสุ่นหรือนายสุนทร อัศวยุทธการ ทำให้ตำแหน่งดังกล่าวว่างลง และเมื่อมองไปรอบด้านขณะนี้ ก็คงจะไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปกว่านักธุรกิจหนุ่มใหญ่ระดับนายหัวชื่อดังคนนี้ ยอดธงผู้ผ่านประสบการณ์การเป็นหัวคะแนนมานานได้ประสานงานกับพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งที่หนุนหลังอยู่ เขาให้ข้อมูลสนับสนุนอีกฝ่ายเต็มที่ เมื่อมองเห็นผลประโยชน์มหาศาลที่จะได้รับเป็นการแลกเปลี่ยนกัน
อะไรได้ ผมกลับถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่นายหัวให้ความกรุณา สมแล้วที่เขาว่ากันว่านายหัวชิงฉัตรนี่ใจนักเลงสมชื่อจริงๆ
เขาตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมสุภาพทั้งที่อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเกือบยี่สิบปี ชิงฉัตรหัวเราะเบาๆโดยไม่ตอบอะไร แค่มองตากันระหว่างเสือเฒ่าและสิงห์ฉกรรจ์ ต่างก็รู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่าง ได้และ เสียอะไรบ้าง ซึ่งทั้งนี้มันคุ้มเพียงพอสำหรับการลงทุนของแต่ละฝ่ายหรือไม่
ถ้างั้น ผมเห็นจะต้องลากลับก่อนนะครับโกยอด แล้วมีโอกาสจะแวะมาเยี่ยมเยียนใหม่
นายหัวฉัตรลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกมาสัมผัสกับอีกฝ่ายเป็นเชิงสัญญาต่อกัน ยอดธงยิ้มจนเห็นฟันสีเหลืองทองอร่ามอยู่หลายซี่ที่มุมปาก ก่อนเอ่ยขึ้นคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้
อีกเรื่องหนึ่งครับ นายหัว ผมอยากจะให้เราช่วยกันจับตามองใครคนหนึ่งเอาไว้ให้ดี
คราวนี้คิ้วเข้มของโกฉัตรขมวดมุ่นด้วยความสงสัย ยอดธงหัวเราะหึหึในลำคอ
ก็ผู้กองคนใหม่นั่นแหละครับ ได้ข่าวว่าชอบมาป้วนเปี้ยนกับน้องสาวนายหัวอยู่ใช่ไหมครับ คนของผมเห็นว่าผู้กองพระแสงยังติดต่ออยู่กับผู้กองคนเก่าที่ถูกย้ายไปโคกโพธิ์เมื่อไม่กี่วันก่อนอยู่เลย
ไอ้ผู้กององอาจ?
ชิงฉัตรรู้สึกว่าเสียงหัวเราะของผู้อาวุโสกว่า คล้ายมีแววแห่งการรู้ทันแฝงอยู่ในนั้นมิใช่น้อย
ครับ... ผมเป็นห่วงนายหัว ในเมื่อเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ผมก็อยากให้ทั้งนายหัวและผม ไปถึงฝั่งพร้อมกัน ไม่ใช่ถูกเจาะเรือระหว่างทาง!!
อีกฝ่ายตบบ่าเขาเบาๆด้วยมาดของเสือเฒ่าเจนสังเวียน โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาให้จบ ยอดธงก็แสดงให้เขาเห็นด้วยตัวเองว่า รู้เท่ากับที่เขา รู้ แค่ไหน แต่นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ระดับนายหัวอย่างเขาก็มิได้แสดงท่าทางตื่นตระหนกใดๆให้ปรากฏ หรือแม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้าให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น ชิงฉัตรยังคงยิ้มเย็นๆตามแบบฉบับและเปล่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อกดปลายบุหรี่ทับลงบนจานรองแก้วชิ้นเดียวกัน... ตำแหน่งเดียวกัน กับของยอดธง
แน่นอนสิครับโกยอด คนอย่างนายหัวฉัตร ถ้าลงเรือไปแล้วไม่ถึงฝั่ง ก็จะขอเป็นฝ่ายจมเรือลำนั้นด้วยมือตัวเอง โดยไม่ต้องให้ใครมาเจาะ!!
********************** ย่านถนนคนเดินในเมืองกระบี่ยามหัวค่ำเริ่มจะคึกคักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อบรรดาพ่อค้าแม่ค้าจัดวางข้าวของ และตั้งแผงเรียงรายตลอดสองฝั่งถนน บางส่วนก็ลึกผ่านเข้าไปยังลานด้านในที่จัดเป็นเวทีดนตรี
สิชลมีท่าทีตื่นเต้นมากกว่าเพื่อน นัยน์ตาหญิงสาวเป็นประกายเมื่อมองเห็นร้านรวงประดับประดาด้วยแสงไฟและโคมไฟหลากสีสัน โดยเฉพาะร้านขายขนมขบเคี้ยวมากมายที่พากันส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ แถมบรรดาคนขายต่างก็ชี้ชวนให้หล่อนแวะชิมด้วยไมตรีจิตกันแทบทุกร้านจนหล่อนแทบไม่ต้องทานอาหารมื้อเย็นของวันนั้นไปเลย
ส่วนพี่ชายตัวดี... พระแสง ก็ให้เผอิญติดธุระจำเป็นอยู่ที่สถานีตำรวจเสียนี่ ชายหนุ่มนัดเวลาที่จะมารับสองสาว หลังจากพามาส่งที่หน้าห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นประจำจังหวัดและกำหนดนัดหมายกันเรียบร้อย เขาก็รีบบึ่งรถย้อนกลับไป หากก็ยังไม่วายกำชับกำชาด้วยสีหน้าขึงขังตามปกติ
แล้วอย่ามัวไปเถลไถลที่ไหนไกลล่ะยายสิ มาให้ตรงตามเวลานัดนะ
เจ้าค่ะ
สิชลแทบจะก้มลงถอนสายบัวรับคำสั่ง สายตาเข้มๆคู่นั้นยังไม่วายเลื่อนผ่านหล่อนไปยังเพื่อนสาวที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ เขาเป็นคนเสนอความคิดเองที่จะให้ยายสิพา คุณหนูป่าน ออกมาเดินเล่นเปิดหูเปิดตา แทนที่จะนั่งเฉยๆอุดอู้อยู่แต่ในบ้านพัก เมื่อเห็นว่าอาการของหล่อนดีขึ้นมากแล้ว
เหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายยังติดตรึงอยู่ในความคิดของชายหนุ่ม ทั้งด้วยความวิตกกังวลและพิศวง...
เขาไม่เคยเชื่อในเรื่องอำนาจจิตหรือสิ่งพิเศษเหนือปรากฏการณ์ธรรมชาติมาก่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กสาวคนนั้น เขาก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่การแสดงหรือ ลูกไม้ ใดๆทั้งสิ้น ศาปานต์กำลังเผชิญหน้ากับภาพบางอย่างที่คนอื่นไม่อาจสัมผัสได้
หล่อนเชื่อว่าเอกนรินทร์และป๊ะยีเสียชีวิตไปหมดแล้ว แต่ปรมา... อาจจะไม่!!
พี่ปออยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง แต่ป่านไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน? มันน่ากลัว ไม่มีผู้คน ไม่มีแสงไฟ นอกจากปีศาจพวกนั้น
ในอีกด้านหนึ่งของความดื้อรั้นเหมือนเด็กเกเรเอาแต่ใจ เขามองเห็นความเปราะบางและอ่อนโยนซ่อนภายในตัวเด็กสาวหน้าหวานคนนั้น และมันจู่โจมเข้าประทับใจโดยไม่ทันระวังตัว เมื่อรู้อีกครั้ง พระแสงก็รู้สึกว่าเขาทั้งเป็นห่วงและ... หวง หล่อนโดยไม่อาจห้ามความรู้สึกนั้นได้เสียแล้ว
น่าแปลกที่มันเกิดขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็วอย่างที่เขาไม่เคยเป็นกับสตรีผู้ใดมาก่อน ราวกับเป็นความคุ้นเคย ผูกพันที่พร้อมจะเชื่อมประสานความรู้สึกนั้นในทันทีที่โอกาสมาถึง
นายตำรวจหนุ่มรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป เหยียบคันเร่งพารถคู่ชีพเลี้ยวผ่านเส้นทางเข้าสู่สถานีตำรวจและหักพวงมาลัยเบนทิศทางไปยังอีกด้านหนึ่งโดยเจตนาชัดเจน เขามีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่จะต้องรีบกระทำอย่างเร่งด่วน โทรศัพท์ที่ติดต่อมาเป็นการส่วนตัวก่อนหน้าพร้อมด้วยรหัสลับทำให้ต้องรีบหาสาเหตุอ้างกับยายสิและออกมาพบ บุคคลสำคัญ ยังจุดนัดพบ
นี่ไม่ใช่การสะสางงานตามที่กล่าวอ้างไปตั้งแต่แรก
ไม่นานนักเมื่อรถของนายตำรวจหนุ่มแล่นออกจากเส้นทางราดยางอย่างดีเข้าสู่ถนนลูกรังขรุขระเข้าไปยังบริเวณสวนปาล์มแห่งหนึ่ง เขาดับเครื่องแล้วก้าวออกมายืนอยู่หน้ารถ ร่างของใครคนหนึ่งก็ก้าวพ้นออกมาจากเงามืดของแนวไม้รกชัฏรอบด้านเหมือนกับกำลังรอคอยอยู่แล้วเช่นกัน
ผู้กององอาจ... ***********************
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
31 มี.ค. 54 19:34:51
|
|
|
|