Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปพิษฐาน ตอนที่ 8-9 ติดต่อทีมงาน

สำหรับสาปพิษฐาน ตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10376930/W10376930.html

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมนะครับ

ขอตอบจากตอนที่แล้วก่อนนะครับ

คุณมน : เป็นภาพนางเอกในอดีตชาติครับ อาจจะบ่งถึงความรู้สึกเคียดแค้นพยาบาท สายตาเลยดูน่ากลัวไปหน่อยครับ

คุณ Regenbogen : มีตัวละครหลายตัวที่มีบทบาทในอดีตชาติ และกลับชาติมาเกิดในปัจจุบันครับ ลองติดตามต่อไปนะครับ เรื่องจะเริ่มผูกปมมากขึ้นเรื่อยๆอีกแล้วครับ

คุณเรียวรุ้ง : ขอบคุณมากครับ ของ ณ บ้านส่วนใหญ่จะให้นักเขียนเสนอไอเดียเข้าไปก่อนครับ แล้ว จะมีจิตรกรวาดตามขึ้นมาอีกที

คุณ kaburapat : ผมลองถามสำนักพิมพ์แล้วครับ วางแผงในงานสัปดาห์ หนังสือเรียบร้อยแล้วครับ เสียดายจังครับ พอดีเสาร์-อาทิตย์นี้ผมไม่ได้ไป ไปอีกครั้งก็วันที่ 6 เลยครับ มีโอกาสคงได้เจอกันนะครับ

anaconda_l : ถ้าไปตอน ม 3 ก็มีคนเดียวนี่แหละ ห้องเดียวกันด้วย... แต่เห็นนามแฝงตอนแรกแล้วเราเลยเดาไม่ถูกจริงๆพับผ่า! สบายดีนะเพื่อน ถ้างั้นก็จำได้น่ะสิว่าขากลับ พวกเรานั่ง "รถ บขส สีส้ม" กลับมาจากกรุงเทพฯพร้อมกัน ขอบคุณเพื่อนมากสำหรับกิฟท์ ฝากติดตามอ่านด้วยนะ
                              **************

สาปพิษฐาน ตอนที่ 8

“บุหรงปุระ”

      นายหัวชิงฉัตร ธารานพรัตน์ในห้วงเวลาปัจจุบัน พึมพำออกมาด้วยความพิศวง ยังจำความรู้สึกหวั่นเกรงแกมสงสัยของเด็กชาย ผู้ไม่เคยเกิดความรู้สึกเช่นนั้นมาก่อนในชีวิต ภาพของลูกเรือ บังรอน และบิดา ที่นอนก่ายเกยกันราวกับเป็นเพียงกองชิ้นเนื้อที่แดงเถือกไปด้วยคราบเลือด อวัยวะแต่ละชิ้นล้วนถูกฉีกกระจัดกระจายเป็นคนละส่วนอย่างน่าสยดสยอง

    คงจะไม่มีภาพใดที่น่าหวาดกลัวไปมากกว่านี้อีกแล้ว

     และในอีกด้านหนึ่งเหตุการณ์นั้นก็ทำให้เขาเข้มแข็งมากขึ้น เติบโตขึ้น รู้ดีว่าสิ่งใดควรจะพูดออกไปหรือไม่ควรจะเอ่ยออกไปให้คนเข้าใจว่าสติวิปลาส สิ่งเหล่านั้นคือประสบการณ์ที่หลอมรวมให้เขากลายเป็นนายหัวที่มีความแข็งแกร่งทางจิตใจจนทุกคนครั่นคร้าม เพราะไม่เคยมีใครได้เห็นสิ่งเหล่านั้นและรอดชีวิตมาเช่นตัวเขา

        ในขณะเดียวกันพลังของความอยากรู้อยากเห็นในอีกด้านหนึ่งก็เจริญงอกงามขึ้น คล้ายกับมันถูกปลุกให้ฟื้นตื่นขึ้นมาจากความหลับใหลอันยาวนาน เมื่อผ่านการกระตุ้นจากเหตุการณ์เดียวกัน โดยไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อน

      ...อันเป็นต้นเหตุมาจากกริชประหลาดด้ามนั้นนั่นเอง!

   มันเร่งเร้าความสนใจในความเป็นมาของชาติพันธุ์และต้นกำเนิด ความคลั่งไคล้ในโบราณวัตถุต่างๆจนต้องเพียรเสาะหามาสะสมและศึกษาให้รู้อย่างลึกซึ้งดื่มด่ำเพื่อดับความกระหายอยากของตนเอง ชิงฉัตรหลับนัยน์ตาลงเมื่อระลึกถึงถ้อยคำสุดท้ายที่เขาไม่เคยลืมเลือนไปจากสมอง เป็นเสียงร้องกู่ตะโกนของฝูงปีศาจเหล่านั้น

    ปะตาปา!!

     แน่นอน เขาเพิ่งมาเข้าใจูเอาภายหลัง ว่ามันมีความหมายในภาษาชวาว่านักบวช คำที่เขาเพิ่งแน่ใจว่าอสุรกายเหล่านั้นเปล่งเสียงร้องออกมาเมื่อพวกมันได้เห็นตัวเขาอย่างชัดเจน ทันทีที่แสงประกายวูบนั้นเจิดจ้าขึ้นในความมืดแห่งคูหานรก

    พวกมันเรียกเขาด้วยนามนั้น... ปะตาปา!

      นายหัวชื่อดังแห่งเมืองกระบี่ เบนสายตากลับมายังหนังสือประกอบรูปแผนที่โบราณแผ่นนั้นอีกครั้ง เขาพยายามเสาะหามาอย่างลำบากยากเย็นเพื่อนำมาประกอบในการไขรหัสกริชเนื้อโลหะที่ได้มาจากถ้ำนรกแห่งนั้น ในภาพวาดของเวิ้งน้ำเลือนรางด้วยเส้นหมึก ระหว่างลายเส้นของเกาะนกยูงหรือในนามบุหรงปุระนั้นเอง มีจุดเล็กๆจุดหนึ่ง คล้ายถูกแต้มลงไปด้วยหยดหมึกโดยผู้เขียนแผนที่มิได้เจตนา

     แต่เขารู้โดยสัมผัสเร้นลับยากหาคำตอบว่า นั่นคือจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วในแผนที่ตั้งแต่แรก มันอยู่เยื้องออกมาจากบุหรงปุระ หากไม่มีชื่อใดๆอธิบายเอาไว้ในแผนที่ดังกล่าว

     จุดที่เขามั่นใจว่านั่นคือบริเวณที่เกาะลึกลับนั้นเอง...

     ดังนั้น ถ้าทุกอย่างเริ่มต้นที่เกาะนกยูง ชื่อที่เขาเพียรเสาะหาด้วยความยากลำบากมาตลอดระยะเวลายาวนาน การย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นที่เกาะนรกแห่งนั้นอีกครั้ง ก็น่าจะมีความเป็นไปได้

      สังหรณ์บางอย่างบอกกับนายหัวหนุ่มใหญ่ว่า พวกมันแม้จะมีความอำมหิต โหด และหิวกระหายเพียงใด แต่พวกมันก็ยัง “กลัว” เขา!! แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกมัน “กลัว”คืออะไรก็ตาม แต่นั่นคือสิ่งที่เป็นต่อ...

      นายหัวฉัตรวางแผ่นเอกสารลงกับโต๊ะ แล้วจึงกดสลักคลายล็อคกล่องโลหะชิ้นสำคัญ ประกายวูบวับของด้ามกริชวาบขึ้นในทันทีเมื่อมันได้รับอิสระจากภายนอก

     ค่อยๆหยิบมันออกมาพิจารณา ทั้งด้วยความพิศวงและลุ่มหลงในรูปทรงอันสวยงามวิจิตรเกินพรรณนา นี่ย่อมมิใช่ “กริชกะยัง”หรือจะเป็นกริชทองคำ กริชฮุลูเกนจะนัญ... กริชด้ามทอง คดกริชบนใบมีลักษณะเป็นเหมือนลูกโซ่ที่เรียกกันว่า บีมาโกรดาหรือลายพิโรธแห่งองค์ภีมะ เนื่องจากลายคดของใบกริชที่พลิกพลิ้วประดุจระลอกคลื่นในมหาสมุทรหรือเสมือนอาการอันสั่นระริกแห่งอากัปกิริยากริ้วโกรธาแห่งเทพภีมะ

     นี่คือแบบอันหายากยิ่งของนักสะสมกริช โดยเฉพาะอย่างยิ่งลวดลายสลักเสลาบนใบกริชอย่างประณีต ปรากฏเป็นเชิงชั้นไม่ต่างกับยอดมหาพระสุเมรุตามความเชื่อของวัฒนธรรมชวาอย่างที่เรียกกันว่า “กุหนุงมัส” หรือสุวรรณบรรพต ยอดบนสุดคือลายรูปเทพเจ้าอันสลักเสลาอย่างวิจิตรบนด้ามกริช และ ณ ที่นั้นเองมีจุดสีแดงก่ำปรากฏเหนือยอดกุหนุงคล้ายจำหลักปัทมราชเอาไว้

         สายตาของนายหัวชิงฉัตรเลื่อนตวัดกลับมายังส่วนกลางของใบกริชอันมีรอยแตกทะลุเด่นชัด นี่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศิลปะมัชฌปาหิต อาณาจักรฮินดู-พุทธ ก่อนยุคมุสลิมจะเข้ามาแผ่แสนยานุภาพในคาบสมุทรมลายู นั่นย่อมแสดงถึงความเก่าแก่เนิ่นนานอันเป็นที่มาของกริชเล่มดังกล่าว

     ย้อนกลับไปเกือบพันปี ในสมัยปันหยี ต่อช่วงยุคแห่งราชอาณาจักรมัชฌปาหิตเมื่อปี พ.ศ. หนึ่งพันสี่ร้อยหกสิบหรืออาจจะ... มากไปกว่านั้น!

     สัมผัสลึกลับจากเนื้อโลหะแกร่งของกริชโบราณ บอกกับเขาว่ามันคือกริชแห่งสุวรรณบรรพตา อันมีนามว่า “ฆูนุง”หรือ กุหนุงมัส!!

     ด้วยสายตาเป็นประกาย โกฉัตรรู้สึกว่า กริชเล่มนี้และนามแห่งเกาะลึกลับที่ว่า ย่อมมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง ที่เขายังอธิบายกับตัวเองไม่ได้

     หากมีคำตอบที่กำลังรอคอยเพื่อให้เขากลับไปที่นั่นอีกครั้ง... และทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้สำเร็จก็เพราะผู้หญิงคนนั้น...

   ศาปานต์!!

                     *************************

       “เป็นไปได้ไงครับ ผมไม่เคยได้ยินชื่อเกาะนี้มาก่อนเลย?”

       ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเองก็ “เคย” ได้ยินมาก่อนก็จริง แต่นั่นก็มาจากปากของศาปานต์ โดยที่ทั้งเขาและหล่อนก็ไม่เคยเห็นชื่อเสียงเรียงนามของเกาะที่ว่าปรากฏในแผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดมาก่อนเช่นเดียวกัน

       มะแอนิ่งไปชั่วอึดใจ หญิงชรามีท่าทางลำบากใจอยู่ไม่น้อยระหว่างพยายามทบทวนความทรงจำ...

       “มีคนที่รู้เรื่องนี้กันไม่กี่คนหรอกจ้ะ... มันเป็นเกาะอาถรรพ์หรือเกาะลับแล รู้กันในหมู่ชาวเลบางคนเท่านั้น ป๊ะยีเคยพาพวกนายฝรั่งไปที่นั่นเมื่อเกือบจะสิบปีมาแล้ว เพราะคนพวกนั้นก็มาถามหาเกาะนี้อยู่เหมือนกัน แต่แล้วมันก็เกิดเหตุร้ายขึ้นจนได้ ตอนนั้นผู้กองคงไม่ทันได้รู้ข่าวที่ว่าฝรั่งคนหนึ่งหายตัวไป เพราะป๊ะยีถูกเจ้าของเรือสั่งให้ปิดข่าวไว้ ส่วนอีกคนก็กลับประเทศของเขาแล้วไม่เคยมาอีกเลย แล้วป๊ะก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับใครอีก”

         “เกาะลับแลหรือครับ?”

      พระแสงทวนคำของมะแอด้วยความงุนงง เขาเคยได้ยินแต่ชื่อของเมืองลับแลในนิทาน แต่ไม่คิดว่า จะมาได้ยินชื่อ “เกาะลับแล” จากที่นี่

       “ใช่จ้ะ เกาะลับแล ผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่าว่าคนที่จะไปถึงที่นั่นได้ ต้องมีคาถาอาคมขลังหรือมีอำนาจพิเศษสำหรับผ่านเข้าไปถึงได้ หรือนอกจากว่า... จะเป็นคนที่ชะตาขาดจริงๆ”

        เมื่อเล่าออกมาแล้ว มะแอก็พรั่งพรูคำพูดไหลรินออกมาไม่ขาดสายจากความทรงจำที่ยังพอปะติดปะต่อได้ในจังหวะเวลาอันเหมาะสม

       “ป๊ะยีเองก็พอมีความรู้เรื่องนี้จากพ่อปู่ของแกมาก่อนตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ก็นั่นแหละพอรู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกไปจนฝรั่งกลุ่มนั้นติดต่อมา มะรู้แต่ว่านั่นเป็นครั้งแรกที่แกเองก็อยากจะลองพิสูจน์ฝีมือ แต่หลังจากกลับมาครั้งนั้นแล้ว ป๊ะก็ไม่อยากพูดถึงมันอีก”

     นัยน์ตาฝ้าฟางของหญิงชราหล่อรื้นไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า

         “แกเองก็ไม่อยากจะกลับไปที่นั่นอีกสักเท่าไรหรอกจ้ะ เคยบอกกับมะว่าที่นั่นมีเจ้าที่แรง มันน่ากลัว แต่... หลังจากนั้นอีกไม่นาน นายหญิงคนนั้นก็มาถามหาป๊ะ มาตั้งหลายครั้งหลายหน ชวนแกคุยกันก็แต่เรื่องนี้นั่นแหละแต่มะก็ไม่รู้ว่าเขาตกลงกันยังไง กว่าป๊ะยีจะยอมพานายหญิงไป แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้”

         แกยกแขนเสื้อขึ้นซับหางตาเสียงสั่นเครือลง หญิงชราผู้นี้อยู่ในอาการขั้นต้นของอัลไซเมอร์ บางครั้งความทรงจำที่มีอยู่ก็ขาดหายไปเสียเฉยๆ แต่บางครั้งบางขณะเวลามันก็ปรากฏขึ้นมาอย่างแจ่มชัดและต่อเนื่อง โชคดี ครั้งนี้เป็นจังหวะที่เขามาในช่วงอาการนั้นยังไม่กำเริบขึ้นเสียก่อน

            “ปู่ย่าตายายของมะเคยบอกเล่ากันมา ว่านานมาแล้ว บริเวณแถบนี้เป็นที่ตั้งของเมืองเก่า เมืองที่เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติมหาศาล แต่แล้วมันก็ล่มสลายไปจนไม่เหลือซากเพราะถูกคำสาป จากนั้นก็ไม่เคยมีใครเห็นมันอีกเลยนอกจากคนที่มีสัมผัสพิเศษหรือพวกที่เล่นของที่ต้องการเสาะหาสมบัติ”

    “เมืองต้องคำสาป??”

      “ใช่แล้วจ้ะ เขาเล่าว่ามีเมืองโบราณที่จมลงไปเพราะคำสาปของเจ้าหญิงองค์หนึ่ง จนกว่านางจะกลับคืนมาแก้คำสาป”

     “เกาะนกยูงนี่หรือครับมะ?”

       “มะ-ไม่ มะไม่รู้แล้ว ไม่รู้อะไรอีกแล้ว”

       นัยน์ตามะแอเลื่อนลอยคล้ายกลับเข้าไปอยู่ในห้วงภวังค์อีกครั้ง เสียงของแกหวนกลับมาคร่ำครวญถึงผู้เป็นสามีที่บัดนี้ยังหาตัวไม่พบอย่างน่าเวทนา พระแสงจำต้องปล่อยให้หญิงชรากลับขึ้นเรือนไปทำธุระส่วนตัวของแกตามเดิม

       ดูเหมือนว่าการเดินทางมาในครั้งนี้จะทำให้เขาได้ข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นก็จริง หากมันก็ยังคงเป็นปริศนาที่หาคำตอบไม่ได้อีกเช่นเดิม ยิ่งสืบสวนสอบสวน การหายตัวไปของคนทั้งสาม คล้ายจะเแปรเปลี่ยนรูปคดีกลายเป็นเรื่องราวที่อยู่เหนือการพิสูจน์มากกว่าจะเป็นเรื่องของอุบัติเหตุหรือการลักพาตัวอย่างที่เข้าใจไปแต่แรกเสียแล้ว

             พระแสงกลับขึ้นรถอีกครั้ง พลางถอนลมหายใจยาวลึก ชื่อเกาะนกยูงที่ว่ากระตุ้นเร้าความสนใจอยู่ไม่น้อย เขาหยิบกระดาษยับยู่ยี่แผ่นนั้นติดมือมาด้วย พลางพับมันใส่กระเป๋าเสื้อด้วยใบหน้าครุ่นคิด

      หรือว่า จะต้องลองใช้วิธีการสืบสวนจากแม่สาวน้อยพลังจิต... “คุณหนูป่าน” คนนั้นเสียแล้วกระมัง??

     นึกแล้ว นายตำรวจหนุ่มก็ได้แต่หัวเราะเบาๆด้วยความขบขันในความคิดของตนเอง ก่อนจะขับรถแล่นผ่านแนวสวนยางร่มครึ้มออกไปสู่ถนนใหญ่ด้านนอก

       คล้อยหลังรถของพระแสงไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็ค่อยๆเคลื่อนตัวเลี้ยวผ่านแนวไม้รกทึบออกมาจากสวนยางด้านหลัง อันเป็นตำแหน่งเรือนใต้ถุนสูงของมะแอ คนขับในชุดสีน้ำเงินเข้มกลมกลืนไปทั้งเสื้อแจ็คเก็ตและกางเกง เจ้าตัวถอดหมวกกันน็อคออก เผยให้เห็นใบหน้ารกเรื้อไปด้วยหนวดเครา นัยน์ตาโปนกลมโตของมันเหลียวมองขึ้นไปบนเรือนไม้ที่มะแอกำลังง่วนกับการหุงหาอาหารอยู่โดยมิได้ติดใจสงสัยใดๆ ทุกถ้อยคำของการสนทนา มันแอบได้ยินจนหมดสิ้น

     คนขับรถนิรนาม หยิบโทรศัพท์มือถือ “ของ” ที่มันได้รับขึ้นมากดเบอร์และโทรออกตามคำสั่งที่ได้รับมา รออย่างใจเย็นจวบจนสัญญาณปลายสายถูกกดรับ มันจึงส่งเสียงตอบออกไปอย่างชัดเจน ระหว่างนึกถึงเงินจำนวนหนึ่งที่จะได้รับตอบแทนกลับมา

     “ได้เรื่องแล้วครับนาย มันมาคุยกับนางมะแอจริงๆ... และพูดถึงเรื่อง...”

                          ************************

         รถเก๋งคันงามของนายหัวฉัตรมาส่งสองสาวถึงบ้านพักผู้กองหนุ่มในย่านชุมชนแห่งหนึ่ง สิชลเอ่ยขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า และมองจนกระทั่งรถแล่นลับสายตาออกไปจึงขึ้นไปบนบ้านพักที่คล้องกุญแจเอาไว้อย่างง่ายๆ เด็กสาวบ่นเบาๆกับตัวเอง

      “พี่แสงนะพี่แสง บ้านช่องไม่เคยล็อคอะไรไว้เลย เกิดขโมยขึ้นบ้านคงจะไม่เหลืออะไรทิ้งเอาไว้สักชิ้นแน่ๆ”

     ศาปานต์หัวเราะขันๆ

     “แน่ใจหรือจ๊ะยายสิ บางทีขโมยมันอาจจะโทษตัวเองก็ได้นะ ว่าไม่น่ามาขึ้นบ้านหลังนี้เลย เพราะไม่มีอะไรให้ขโมยสักชิ้นเดียว!!”

     มันเป็นบ้านพักชั่วคราวที่พระแสงมาเช่าเอาไว้สำหรับอยู่อาศัยเองเพียงลำพังตามประสาชายโสด และเขาก็เพิ่งจัดเตรียมที่ทางเอาไว้ให้สองสาวก่อนหน้าเพียงไม่นาน สิชลผลักประตูบ้านพักเข้าไป แล้วก็ต้องหัวเราะร่วนออกมา เมื่อมองเห็นสภาพภายในเต็มสายตา

    คงจะเป็นจริงอย่างที่ศาปานต์ว่า เพราะบ้านพักของชายหนุ่มมีเพียงข้าวของไม่กี่ชิ้นวางกองเอาไว้มุมด้านหนึ่ง ส่วนที่เหลือคือห้องนอนด้านในที่เขาคงจะจัดเตรียมเอาไว้ให้น้องสาวและแขกคนพิเศษอย่างหล่อนได้มาพัก ส่วนที่เป็นตำแหน่งสำหรับหลับนอนจริงๆของผู้กองหนุ่มโสดจึงเป็นมุมห้องด้านนอก มีเสื่อกกผืนเก่าๆขาดๆปูทับด้วยผ้าขาวม้า หมอนขวานหนึ่งใบและมุ้งผ้าโปร่งที่เจ้าตัวพับเก็บเรียบร้อยเอาไว้บนหมอนใบเดียวกันนั่นเอง

     ศาปานต์เสียอีกที่เป็นฝ่ายนิ่งอึ้งไปอึดใจด้วยความรู้สึกละอายขึ้นมาเป็นครั้งแรก นี่เป็นความผิดพลาดของหล่อนหรือเปล่าที่ตัดสินใจมารบกวนชายหนุ่มผู้นี้ จนเขาต้องระเห็จออกมานอนลำบากอยู่ด้านนอกเพื่อให้น้องสาวและหล่อนได้เข้ามาพักอย่างสะดวกสบาย โดยไม่เอ่ยปริปากบ่นใดๆเลยสักคำเดียว?

    “ไม่ต้องกังวลหรอกป่าน ถึงฉันมาพักคนเดียว พี่แสงก็ต้องทำอย่างนี้แล้ว”

    ดูเหมือนสิชลจะละเอียดอ่อนเข้าใจความรู้สึกในขณะนั้นของเธอได้เป็นอย่างดี เด็กสาวเพื่อนสนิทจึงจับมือศาปานต์เอาไว้แนบแน่นเพื่อให้ความมั่นใจ หญิงสาวพยักหน้า แล้วก้มลงเก็บชายเสื่อที่เลื่อนออกมาให้พับกลับเข้าที่ตามเดิม

   หากทันทีเมื่อสัมผัสชายเสื่อปรากฏการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยศาปานต์ไม่ทันคาดคิด คล้ายกระแสไฟฟ้าพุ่งวาบผ่านปลายนิ้วที่สัมผัสแล้วเคลื่อนตัวขึ้นสู่จอตา ปรากฏเป็นภาพที่หล่อนสามารถมองเห็นเพียงผู้เดียว...

    มีคนสองคนในชุดรัดกุมกำลังก้าวขึ้นมารื้อค้นข้าวของของผู้กองหนุ่มโดยพลการ!! ภาพนั้นปรากฏเพียงแวบเดียว หากกลับยิ่งแจ่มชัดในมโนภาพจนหล่อนมองเห็นแม้แต่ท่าที กระหือรือเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง ใบหน้าที่หันเบนกลับมาเป็นใบหน้าทะมึน จนน่ากลัวราวกับว่าถ้าใครเข้ามาขัดขวางในเวลานั้น อาจจะต้องประสบอันตรายจากพวกมันทั้งคู่

    “ป่าน เป็นอะไรไป? ปวดหัวอีกหรือเปล่า หรือจะเป็นลม”

   ศาปานต์พบว่าตัวเองกำลังทรุดกายนั่งโงนเงนอยู่บนพื้น โดยมือข้างหนึ่งยังอยู่ในอุ้งมือของสิชล

   “มือของป่านทำไมเย้นเย็น... เย็นเฉียบเลยจ้ะ นั่งพักก่อนไหม เดี๋ยวเราไปหาน้ำมาให้ดื่มสักหน่อย”

     น้องสาวเจ้าของบ้านกุลีกุจอให้หล่อนนั่งแปะอยู่ตรงนั้นเอง ศาปานต์จะเอ่ยปฏิเสธก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงเห็นแต่หลังไวๆของสิชลเดินดุ่มเข้าไปในครัวด้านหลัง หญิงสาวได้แต่นั่งงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พลางยกมือของตัวเองขึ้นพิจารณาเหมือนกับเป็นสิ่งแปลกประหลาด

    นี่หล่อนเป็นอะไรไป? ภาพที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าการมาถึงของหล่อนแน่นอน ในเมื่อภาพสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะวูบดับลงไปก็คือพวกมันทั้งสองจัดเก็บข้าวของทุกอย่างในบ้านให้มีสภาพเหมือนเดิม นี่เองหรือคือซิกเซนส์? คือสัมผัสที่หก หรือเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ? แต่ทำไมมันถึงปรากฏขึ้นกับหล่อน ทั้งที่ไม่เคยเกิดมาก่อนหน้านี้?”

      วูบนั้นหญิงสาวรู้สึกหนาวขึ้นมาในฉับพลันจนต้องห่อไหล่กับตัวเองราวกับอากาศรอบด้านทวีความยะเยือกขึ้นกะทันหัน

        หรือคำพูดของยายสิจะกลายเป็นวาจาสิทธิ์เสียแล้ว หล่อนมีสัมผัสพิเศษจริงๆ แต่ทว่า มันเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า?

     ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผ่านเข้ามาอีกครั้ง เหมือนกับมันรอคอยจังหวะเวลาอันเหมาะสมอยู่แล้ว... คุณสิงหบดีเข้ามาเยี่ยมพร้อมกับช่อดอกไม้... ดอกการะบุหนิงหรือดอกแก้วที่หอมสดชื่นอย่างประหลาด กลิ่นเยือกเย็นอ่อนละมุนของมัน มีฤทธิ์กล่อมให้หล่อนหลับสนิทไปจนถึงรุ่งเช้า และจากนั้น...

     เรื่องประหลาดๆเช่นนี้ก็เกิดขึ้น... หรือจะเป็นเพราะเขาคนนั้น? คุณสิงหบดี?

    “คุณเป็นใครกันแน่ คุณสิงหบดี?”

    หล่อนถามตัวเองอยู่ในใจ ด้วยความฉงนฉงาย

    ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นเคยกับคุณมาก่อน... คุ้นเคยเหลือเกิน?

                      **************************

      “ไปบ้านโกยอด”

    นายหัวฉัตรสั่งบังรามหรือราม สารถีส่วนตัวให้เปลี่ยนเส้นทางเลี้ยวรถออกจากถนนสายเดิม ยกเลิกแผนการที่จะกลับคฤหาสน์ส่วนตัวทันทีที่พาหนะคันงามส่งสองสาวลงยังบ้านพักเรียบร้อยแล้ว  โกยอดหรือยอดธง เป็นหัวคะแนนคนสำคัญของจังหวัดที่เขากำลังติดต่อเจรจาด้วยในจังหวะเวลาของการเลือกตั้งซึ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ คนขับวัยฉกรรจ์ตอบรับอย่างสุภาพ เขาทำงานให้กับครอบครัวนายหัวมานานหลายปีจนคุ้นเคยกับว่าที่นักการเมืองหนุ่มใหญ่ผู้นี้มาเป็นอย่างดี ชินกับลักษณะการตัดสินใจที่รวดเร็วเด็ดขาดและอารมณ์อันร้อนแรง แตกต่างจากภาพลักษณ์ภายนอกของหนุ่มใหญ่ผู้สุขุมยิ้มง่ายโดยสิ้นเชิง

       หากก็น่าประหลาดที่คน “เก็บตัว”อย่างโกฉัตรจะลงทุนนั่งรถมาส่งเด็กสาวสองคน ตั้งแต่การไปรับตัวจากโรงพยาบาลจนมาส่งถึงบ้านพักซอมซ่อแห่งนี้ได้ เขาไม่เคยเห็นเหตุการณ์นี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ

      สารถีวัยฉกรรจ์นึกถึงเด็กสาววัยรุ่นทั้งสองด้วยความฉงนฉงาย คนแรกที่ช่างพูดช่างเจรจามาตลอดทาง นั่นคงไม่ใช่ “สเป็ก”นายของเขาอย่างแน่นอน แต่ผู้หญิงอีกคนนั่นต่างหาก... สารถีหนุ่มค่อนข้างแน่ใจว่านายหัวฉัตรจะต้องสนใจเจ้าหล่อนเกินขอบเขตทั่วไป และเป็นสาเหตุให้ตัดสินใจเดินทางมาส่งเจ้าหล่อนด้วยตัวเอง

      ผู้หญิงที่เจ้านายเรียกหล่อนอย่างอ่อนโยนว่า... คุณหนูป่าน!!

     เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในจังหวะที่รถเก๋งคันงามกำลังหักเลี้ยวจากถนนอิสราเข้าสู่ถนนอุตรกิจเส้นทางอันทอดขนานไปกับลำน้ำกระบี่ ทำให้เห็นทัศนียภาพสองฝั่งลำน้ำที่ยังเป็นธรรมชาติอันสวยงาม

     แต่นายหัวฉัตรดูเหมือนจะมิได้สนใจในสิ่งดังกล่าวรอบด้านนั้นเลย

     “ว่าไงนะ มันพูดถึงเกาะนกยูงหรือ?”

     คนขับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ด้วยความประหลาดใจ ปกติโกฉัตรจะคุยธุรกิจหรือรายละเอียดการเจรจาต่อรอง หรือไม่ก็เป็นเรื่องการหาเสียงเสียมากกว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอะไรสักอย่างแบบนี้

     และเขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเช่นกัน

     เสียงพูดคุยดังอยู่เพียงชั่วขณะ ก่อนที่นายหัวจะกดปิดโทรศัพท์ คราวนี้สายตาคมเหมือนเหล็กกล้าเบนกลับมาที่เขาอีกครั้ง

   “บังราม...”

   รามรีบตอบรับ จากกระจกหลังเขามองเห็นสายตาของนายหัวมองเขม็งมาแน่วแน่ด้วยความประสงค์บางอย่างแรงกล้าจนรับรู้ได้

     “ครับนายหัว”

     “แกลองไปสืบหาคนๆหนึ่งให้ฉันโดยเร็วที่สุด ฉันต้องการประวัติและข้อมูลของมันอย่างละเอียดที่สุด”

     “ใครครับ?”

     “มันชื่อว่า สิงหบดี ปกาพงศ์ เป็นนักธุรกิจท้องถิ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะนกยูง”
                      ************************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 54 19:26:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com