11 หรือคือเธอ?
อือ... อ้าโอ้ว... ซื้ด
คุณเคยเห็นโปสเตอร์หนังที่เป็นภาพพระเอกเอาน้ำแข็งถูหลังให้นางเอกกำลังนอนคว่ำหน้าโชว์แผ่นหลังเปลือยเปล่าหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขอยู่บนโซฟามั๊ยคะ? นั่นแหละค่ะ ฉากเซ็กซี่สุดคลาสสิคนั้นเลยที่กำลังเกิดขึ้นในห้องนอนฉันขณะนี้!
เหอๆ แต่เปลี่ยนพระเอกคนนั้นเป็นตาทัพพี และนางเอกสุดเซ็กซี่เป็นฉันเอง เพียงแต่ว่าฉันไม่ได้หลับตาพริ้มอย่างมีความสุขเลย ทำไมน่ะเหรอคะ
โอ๊ยๆ ซื้ด... คันๆๆๆ คันจะตายแล้ว โอวๆ ใช่ๆ ตรงนั้นล่ะ ตรงนั้น
ไปทำอะไรมาเนี่ยป้าจี้ หนังลอกซะขนาดนี้ เป็นแผ่นๆ เลย ...อย่างบอกนะว่าอาบแดดมา?
อย่าถามป้าได้มั๊ย ตาทัพพ์ รีบๆ ถูเข้า ป้าคันๆๆๆ ฉันหันไปแว๊ดๆ ใส่หลานชาย เพราะไม่รู้จะบอกเขายังไงดีว่าฉันทะลุมิติไปเป็นน้องบือเดินแบกแอกไถนามา แล้วพอดีไม่มีเสื้อผ้าหรือครีมกันแดดสำหรับควาย ปกติฉันในร่างเจ้าชมพูน้อยได้วิ่งเล่นกับปั้นเมฆบ้างก็จริง แต่ฉันเป็นควายพันธุ์อู้ ใช้เวลาส่วนมากหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีมากมายในที่นาของนายอาทิตย์ ไม่ได้ออกไปเดินรับแสงเต็มๆ เหมือนช่วงนี้ แล้วพอดี๊อีกนั่นแหละ ฉันเป็นพวกไม่ดูดซับแสงแดด ผิวขาวจัดมาแต่เกิด โดนแดดเท่าไหร่ก็ไม่ดำขึ้น แต่จะไหม้แดงและหนังลอกออกมาจนกว่าจะขาวจั๊วะดังเดิม ต้องทนทรมานทั้งแสบทั้งคันมานอนให้เขาทาครีมอาฟเตอร์ซันให้ แล้วมันยังไม่หายคันเลยขอให้เขาช่วยเอาน้ำแข็งประคบให้อยู่นี่ไง
ป้าจี้... เอ เรียกชื่อฉันเสียงซีเครียด แถมหรี่ตามองฉันอย่างสงสัย มันต้องมีอะไรแน่ๆ ...จำเมล็ดข้าวเปลือกที่ทัพพ์เก็บได้จากห้องป้าวันนั้นได้มั๊ย? ตายล่ะ! ตาทัพพีต้องหมายถึงเมล็ดข้าวที่ติดผมฉันมาจากมิติโน้นแน่ๆ เลย ทำไมถึงได้มาถามอะไรฉันเอาตอนนี้ เขาระแคะระคายอะไรหรือไงนะ
ป้าจี้เก็บมันมาจากไหนเหรอ? จะตอบยังไงล่ะเนี่ย คำถามนี้
เอ่อ... ไม่รู้สิ ป้าแก่แล้วความจำไม่ดี มีอะไรเร๊อะ? เรื่องแกล้งโง่นี่ อย่ามามีใครแย่งโล่กะฉันเลยเชียว
ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่แปลกใจว่า แถวๆ นี้ยังเหลือใครปลูกข้าวพันธุ์พื้นบ้านอีกเหรอ ป้าจี้ไปวิ่งเล่นที่ไหนมา?
เจี๊ยก!!! เจอคำถามนี้เข้าไป ฉันหายคันเป็นปลิดทิ้ง
อ่า... ข้าวพันธุ์นี้มันทำไมเหรอ? แล้วทัพพ์รู้ได้ไงว่าเป็นพันธุ์อะไร ในเมื่อตอบไม่ได้ก็ถามกลับละกันนะ เหอๆ
ทัพพ์กำลังสะสมข้อมูลทางพันธุกรรมของเมล็ดพันธุ์ข้าวเป็นงานอดิเรก โอ๊ย เวรกรรม ทำไมหลานชายฉันต้องมีงานอดิเรกฉลาดและประหลาดอย่างงี้ด้วย
ป้ารู้มั๊ยว่า พันธุ์ข้าวไทยของเรามีกี่พันธุ์ จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนแนวคำถามกระทันหัน ทำเอาฉันตั้งหลักไม่ถูกเลย ...อืมๆ... ก็มีหอมมะลิกับเสาไห้ ฉันนับนิ้วได้แค่ 2 นิ้ว ก็ฉันเคยได้ยินชื่อพันธุ์แค่นี้นี่นา (ไม่นับพันธุ์พวงแดงของนายอาทิตย์ ซึ่งฉันกำลังเสียวๆ อยู่ว่า มันจะเป็นต้นเหตุทำให้ตาทัพพีจะจับได้ว่าฉันทะลุมิติมา)
เออ ยังดีที่ป้าจี้ไม่ตอบเป็นชื่อยี่ห้อหน้าถุงข้าวที่เค้าขายตามซุปเปอร์มาเก็ต
แล้วตกลงมันมีกี่พันธุ์กันล่ะ
ทุกวันนี้ ธนาคารเมล็ดพันธุ์ของเราเก็บตัวอย่างพันธุ์ไว้ได้เพียงแค่สองหมื่นกว่าตัวอย่าง ส่วนที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เราไม่รู้หรอกว่ามีเท่าไหร่ คาดว่ามีหลายหมื่นพันธุ์
โห... หลายหมื่น? ทำไมมีมากขนาดนั้นล่ะ? นั่นคือคำถามของเด็กที่โตขึ้นมาด้วยการกินข้าวสีขาวๆ จากถุงพลาสติกพิมพ์ยี่ห้อ True Food เขียนข้างถุงว่า สะอาด ไม่ต้องซาว หุงขึ้นหม้อ และคิดว่า ข้าวก็คือข้าว ตักเข้าปาก รสชาติก็เหมือนๆ กัน
มีนักวิทยาศาสตร์เค้าวิจัยออกมาว่า ในโลกนี้มีศูนย์กลางพันธุ์พืชพื้นบ้านอยู่แค่สิบกว่าแห่งเท่านั้น โชคดีที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น ...เรามีทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ความหลากหลายทางชีวภาพ ในพื้นที่ 100 ตารางเมตรของแผ่นดินไทยของเรามีพันธุ์พืชผักผลไม้เฉลี่ยราวๆ 300 ชนิด
เล่ามาถึงตรงนี้ ทำให้ฉันนึกถึงเมนูอาหารของโรงเรียนชาวนา นักเรียนโรงเรียนนี้มาจากต่างภูมิภาค มักจะหอบหิ้วของฝากซึ่งส่วนมากเป็นผักผลไม้พื้นถิ่นมาแบ่งปันกันกิน มีการเข้าครัวแสดงฝีมือปรุงอาหารสนุกสนาน ดังนั้น เมนูจึงพิสดารมากสำหรับเด็กที่ถูกเลี้ยงโตด้วยอาหารยี่ห้อทรูฟู๊ตกับสินค้าในซุปเปอร์มาเก็ตโลตู๊ดอย่างฉัน ไม่ว่าจะเป็นแกง ยำ น้ำพริกล้วนแปลกประหลาด ยิ่งพวกผักนี่ถ้าฉันได้ยินแต่ชื่อ คงเดาไม่ออกว่ามันเป็นพืชหรืออะไรกันแน่ อย่างเช่น...
ตับเต่านา (แน่นอน ฉันคงคิดว่ามันคืออวัยวะภายในของสัตว์ครึ่งบกเครึ่งน้ำชนิดมีกระด่องที่อาศัยอยู่ในนา)
ท้าวยายม่อม (ไอ้ม่อมนี่มันกินอุ้งตีนยายเป็นยาชูกำลังรึยังไงนะ)
มันห้านาที (อุ๊ย พี่ขา ...แค่ห้านาที จะไปมันได้ยังไงเค๊อะ ไวอะกร้าสักโหลมั๊ยค้า)
พ่อค้าตีเมีย (ฉันเกือบจะไปฟ้องปวีณากับกรมธุรกิจการค้าแระ)
ฟักแม้ว.........(จ๊าก เสื้อแดงบุก)
...อะไรประมาณนี้ ซึ่งตาทัพพีเรียกด้วยความภูมิใจว่า อาหารคนรวยของแท้
เรามี 300 ชนิด แต่ของฝรั่งเค้ามีแค่ 3 ชนิด เราถือว่าร่ำรวยกว่าเขาร้อยเท่า ฝรั่งก็เลยกินผักเป็นอยู่แค่กระหล่ำ แครอท บล๊อคคอรี่ 555 เหมือนป้าจี้เลย
แล้วเราปลูกข้าวมาไม่รู้ตั้งกี่พันปี มีวิวัฒนการสะสมมาจนมีพันธุ์ข้าวมากมายส่งต่อๆ กันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า สมัยก่อนในนาของครอบครัวชาวนาหนึ่งๆ ปลูกข้าวตั้งหลายพันธุ์
จริงด้วย ตอนที่นายอาทิตย์สอนลูกชายหว่านข้าว ฉันเห็นเขาแยกเมล็ดสำหรับปลูกในนาแต่ละแปลงไว้คนละกระบุงไม่ให้ปะปนกัน เจ้าปั้นเมฆก็ขี้สงสัยตามประสา
ทำไมเราต้องปลูกข้าวหลายๆ พันธุ์ด้วยล่ะพ่อ?
ก็ถ้าปลูกพันธุ์เดียวกัน เวลาข้าวสุกก็สุกพร้อมๆ กันหมด แล้วพ่อมีสองมือ แม่เอ็งมีสองมือ เอ็งก็มีสองมือ รวมกันพ่อแม่ลูกหกมือ จะเกี่ยวทันมั๊ยล่ะ?
ไม่ทัน เพราะพ่อจน ไม่มีปัญญาจ้างลูกจ้าง อ้าวพ่ออย่าทำหน้าดุเมฆสิ... เมฆได้ยินตาพูดบ่อยๆ ว่าพ่อน่ะ จน แม่เลยต้องลำบากทำทุกอย่างเอง แล้วไอ้จ้อยก็ฟังพ่อมันบอกมาอีกทีเหมือนกันว่า บ้านเราจน ไม่มีลูกจ้างมาช่วยทำนาเหมือนบ้านอื่นเค้า
ก็เราทำเองได้จะไปเสียงเงินจ้างลูกจ้างทำไมวะ สมัยก่อนรุ่นปู่เอ็งทำนา ไม่เห็นมีใครเค้ามีลูกจ้าง มีแต่ระบบกูช่วยมึนมึนช่วยกู ก็อาศัยปลูกกันคนละพันธุ์ ข้าวสุกกันคนละวัน คนละเดือนกันนี่แหละ จะได้ลงแขกแลกแรงกันได้ ไม่เหมือนเพื่อนบ้านสมัยนี้ ไม่ช่วยกันแล้วยังดูถูกกันอีก วันหลังเอ็งไปบอกตาเอ็งนะ ว่าพ่อเอ็งจะเร่งปั้มลูกเยอะๆ มาช่วย 555
โถ พ่ออาทิตย์ คิดแต่จะลงแรงนะ ไม่ยอมลงทุนเลยว่างั้นเหอะ
กลับมาฉากถูน้ำแข็งสุดเซ็กซี่กับเรื่องที่ฉันคุยค้างอยู่กับตาทัพพี...
ชาวนาสมัยก่อนเค้าไม่ใส่ยา การที่เค้าปลูกข้าวหลายพันธุ์ ก็ช่วยป้องกันไม่ให้แมลงหรือโรคพืชระบาดโดยธรรมชาติ เพราะข้าวที่ต่างพันธุ์กัน ทนโรคทนแมลงไม่เหมือนกัน ถ้าปลูกอะไรพันธุ์เดียวในพื้นที่กว้างๆ เวลาแมลงมาหรือเกิดโรค มันจะลามไปทั่วทั้งทุ่ง ยิ่งถ้าทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบลแห่ปลูกอะไรตามๆ กัน ในพื้นที่ติดๆ กันนะ โห... หลอนระทึกเลยทีนี้!
งั้นชาวนาก็ต้องปลูกหลายๆ พันธุ์สิ เรารวยพันธุ์นี่
น่าเสียดายที่ หลังจากปฏิวัติเขียว เราก็ปลูกกันแต่ข้าวพันธุ์ส่งเสริมเพื่อขายป้อนเข้าตลาด พันธุ์ข้าวพื้นบ้านที่บรรพบุรุษเคยปลูกไม่เป็นที่ต้องการ เพราะไม่มีใครโฆษณาว่าได้ผลผลิตสูง ก็เลยค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่พันธุ์ข้าวพื้นบ้านเป็นสมบัติดั้งเดิม เหมาะกับสภาพดินน้ำและอากาศของแต่ละท้องถิ่นมากกว่า ทนโรคและแมลงมากกว่าเพราะเหมือนธรรมชาติช่วยพัฒนาพันธุ์มาเป็นพันๆ ปี เรามีสมบัติล้ำค่าที่หาอะไรมาทดแทนไม่ได้ แต่กว่าเราจะรู้ค่าความสำคัญ พันธุ์ข้าวพื้นบ้านของเราก็สูญพันธุ์ไปจนเหลือแค่นี้ ไม่ได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ด้วย
หมายความว่าไงอ่ะ ไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่
ก็ใครที่ควรเป็นเจ้าของพันธุ์ข้าวพื้นบ้านล่ะ
ชาวนา ฉันตอบโดยไม่ต้องคิด
ชาวบ้าน
เออ
แต่ตอนเนี้ย... ตัวอย่างพันธุ์ข้าวสองหมื่นกว่าตัวอย่างที่ว่านี่อยู่ในห้องเย็นของธนาคารเชื้อพันธุ์พืช
ธนาคารเชื้อพันธุ์พืช? ...ฟังดูไฮเทคจัง คืออะไรอ่ะ?
เป็นห้องเย็นอุณหภูมิห้าองศากับลบสิบองศา ใช้ความเย็นเพื่อเก็บตัวอย่างพันธุ์... ส่วนมากเป็นพวกพืชไร่ เพราะลดความชื้นแล้วไม่ตาย เก็บได้ประมาณ 20 ปี จริงๆ ก็เหมือนแช่แข็งนั่นแหละ อย่างที่ลุงสิบว่า เป็นห้องดับจิตพระแม่โพสพ!
ฉันล่ะสะดุ้งแทนเทพีแห่งข้าว หันซ้ายหันขวา ไม่รู้ว่าแอบฟังอยู่แถวนี้รึเปล่าหว่า เหอๆ เป็นห่วงว่าไม่ใครก็ใครจะโดนโป๊กหัว
...เราเสียพลังงาน เสียงบประมาณตรงนี้ไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่มันก็จำเป็น ดีกว่าปล่อยให้สูญพันธุ์ เพราะพันธุ์พืชพื้นบ้านสำคัญสำหรับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์มาก
ทัพพีอธิบายจนฉันเห็นภาพ
อย่างเช่น เรามีพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูงแต่ไม่ทน เราก็ต้องไปหาพันธุ์พื้นบ้านที่มีคุณสมบัติที่เราต้องการ อย่างบางพันธุ์ทนน้ำท่วม บางพันธุ์ทนเพลี้ย มาคัดเลือกแล้วก็ผสมเพื่อพัฒนาพันธุ์ของเราที่ให้ผลผลิตสูงให้ทนน้ำท่วมและทนเพลี้ยด้วย
ทำได้ด้วยเหรอ?
ทำได้ซี่ ทำกันมาแต่โบราณแล้ว วิธีผสมพันธุ์พืชน่ะ ชาวนาสมัยก่อนเค้าใช้วิธีตัดเกสรตัวผู้ของอีกต้นมาเขย่าใส่เกสรตัวเมียของอีกต้นเพื่อพัฒนาพันธุ์ ไม่ต้องจีเอ็มโอ แต่ต้องใช้ความพยายามและเวลานานหลายฤดู
ฉันหันไปมองลายเส้นภาพดอกข้าวที่ฝาผนังไม่ไกลจากที่ฉันนอนอยู่นี้ แล้วสงสัยว่า คนวาดวาดไว้เพื่อเก็บข้อมูลการพัฒนาพันธุ์ข้าวของเขารึเปล่าหนอ
ยิ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่า ก็ยิ่งมีโอกาสพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เพราะมีวัตถุดิบให้ใช้มากกว่า น่าเสียดายที่เกษตรกรยุคใหม่เน้นปลูกแต่พันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง ระยะเวลาเก็บเกี่ยวสั้น ทำให้พวกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตน้อย ใช้เวลาปลูกนาน ถึงจะมีคุณสมบัติดีด้านอื่นๆ อีกมากแต่ก็ถูกมองข้าม มันก็เลยสูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ พอเราต้องการมองหาพันธุ์ที่มีคุณสมบัติอื่นๆ มาใช้ปรับปรุงพันธุ์ เราก็จะไม่มีเหลือให้ใช้
เราก็เลยต้องเอาไปเก็บในห้องเย็น
ใช่ สมบัติล้ำค่าของชาติ ความจริงคนไทยเราน่าจะเป็นผู้นำด้านไบโอเทคโนโลยีนะ เพราะเราเป็นเจ้าของสมบัติที่แท้จริง น่าเสียดาย หลายสิบปีมานี้ เราโดนประเทศร่ำรวยที่ส่งออกสินค้าเกษตรอย่างอเมริกา เอาพันธุ์พืชพื้นบ้านนับมูลค่าไม่ได้จากเราออกไปพัฒนาแล้วกลับมาขายแข่ง เด็ดสุดคือเอาเมล็ดพันธุ์กลับมาขายเราอีกต่างหาก!
โอ๊ย ฉันฟังแล้วแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้
เอาไว้ทัพพ์จะพาป้าจี้ไปเที่ยวนะ อยู่ที่สถานีทดลองข้าวปทุมธานีนี่เอง
แล้วเค้าเปิดให้ประชาชนเข้าเหรอ?
ไปขอเมล็ดเค้ามาปลูกยังได้เลย ฟรี...เค้าจะให้คนละ 10 กรัม ประมาณ ร้อยกว่าเมล็ดต่อ 1 ตัวอย่างพันธุ์ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเป็นคนไทยนะ
ตายล่ะ ป้าชื่อฝรั่งนามสกุลจีนอ่ะ เค้าต้องไม่ให้นางสาว แองเจลล่า ลี แน่เลย
โธ่ป้า ขนาดปลูกถั่วงอกยังตายเลย อย่าไปขอเค้าเลย เสียดายของเปล่าๆ
หุหุ ฉันหัวเราะเพราะรู้ตัวค่ะว่า ไม่เอาไหน ...เออ สมบัติชาติ เก็บไว้ให้ชาวนาจริงๆ ไปขอดีกว่าเน๊อะ
ชาวบ้านตาสีตาสาไม่ค่อยมีใครรู้จักหรอก คนที่ไปขอพันธุ์ส่วนมากเป็นนักวิชาการ นักศึกษา ขอมาใช้เพื่อการศึกษาและวิจัย ทัพพ์ก็ไปขอเค้าประจำ ซี้กับพี่ที่ดูแลธนาคารตั้งแต่เรียนอยู่แล้ว เค้ารับฝากด้วยนะ ลุงสิบก็เอาพันธุ์ข้าวที่แกพัฒนาเองไปฝากไว้เยอะเหมือนกัน
อ้าว ลุงสิบ ว่าเค้าซะเสียหาย เป็นห้องดับจิต แต่ไหงไปใช้บริการล่ะ
ลุงสิบแกไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเทคโนโลยีหรอกนะ 555...คือ ลุงแกเห็นด้วยกับแนวคิดธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชนมากกว่า รณรงค์ให้ชาวบ้านปลูกพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่เคยอยู่แต่เดิม ให้เจ้าของที่แท้จริงเป็นคนเก็บสมบัติของตัวเอง ให้เมล็ดข้าวได้งอกเป็นต้นข้าวจริงๆ ในท้องถิ่นเดิม ไม่เปลืองงบ ไม่เปลืองพลังงาน ไม่ต้องกลัวเมล็ดที่เก็บไว้มีอัตราการงอกลดลงด้วย แต่โครงการก็ยังเพิ่งเริ่มๆ กว่าจะทุกชุมชนจะมีธนาคารเมล็ดพันธุ์เป็นของตัวเอง ไม่รู้อีกนานแค่ไหน ยังไงก็ต้องพึ่งห้องเย็นไปก่อนล่ะ
ดั่งเห็นแสงรำไรที่ปลายฟ้า... ฟังที่ตาทัพพีพูดแล้ว ฉันว่าฉันต้องทำอะไรสักอย่าง... อะไรสักอย่าง อุตส่าห์ได้พรวิเศษจากพระแม่โพสพให้ทะลุมิติกลับไปยังอดีตทั้งที หึหึ...
นี่... ตกลงบอกได้รึยัง ว่าป้าไปได้เมล็ดพันธุ์ข้าวสีแดงนั่นมาจากไหน? โอ๊ย... เอาแล้วไง จู่ๆ ก็วกกลับมาคำถามนี้อีกจนได้ ทำไมไม่ลืมๆ ไปซะมั่ง
อู๊ย... ทัพพี ฉันรีบโอดโอยเปี่ยงเบนความสนใจทันที
ทางขวาอีกหน่อยซิ โอวๆ ตรงนั้นแหละ อา...
ห้ามป้าจี้ถอดเสื้อผ้านอนอาบแดดแถวนี้อีกนะ ตาทัพพีสรุปเองเสร็จ เขาคงเห็นฉันบ้าๆ บอๆ ทำอะไรไม่ปกติอยู่แล้ว ...ถึงจะเป็นที่ดินเราก็เถอะ แต่มันก็เป็นบ้านนา รั้วก็ไม่ได้มิดชิดอะไร เกิดเดี๋ยวใครดวงตก มาเห็นเข้าจะทำยังไง หา?
ตาบ้าทัพพี พูดซะป้าเสียหายหมด ...โอวๆ ตรงนั้นแหละ ทับบี้ อย่างงั้นๆ อา... ฉันครางเสียงอ้อนต่อเนื่องเป็นชุด แต่ในหัวพยายามคิดหาทางเลี่ยงจากการโดนซักเรื่องเมล็ดข้าว ...ดีจังๆ... อย่างงั้นเลยทับบี้น้อย โอ้วๆ ซื้ด... อ้าว... เป็นไรไป หยุดทำไมล่ะทับบี้ ถูต่อซี่
ชักเอะใจ ว่าทำไมน้ำแข็งที่หลังไม่ยอมขยับเขยื้อนต่อ ก็เลยหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น อุ๊? เอ๊ะ? ทำไมตาทัพพีนิ่งค้างอย่างงั้น? ฉันรีบมองตามสายตาเขาไป ตึ๊ดๆๆๆ... อะจึ๋ย!
ยัยแม่มด!
จากคุณ |
:
Acciacatura
|
เขียนเมื่อ |
:
1 เม.ย. 54 12:56:22
|
|
|
|