Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มินทราลัยหัวใจแห่งนาง บทสามสิบห้า : พันผูกระคนผูกพัน ติดต่อทีมงาน

ความเดิม ของภาคแรก


พระ เจ้าศรีสุริยเทพ แต่เดิมสมัยยังเป็นองค์รัชทายาท ได้เสด็จมาที่เมืองของเจ้านางสองพี่น้อง คือเจ้านางอมราวตผู้พี่ และเจ้านางสิริสุภาผู้น้อง ต่อมาได้มีจิตประดิพัทธิ์ให้เจ้านางน้อง แต่มีกลการเมืองมาทำให้ต้องส่งเจ้านางอมราวตีมาแต่งงานแทน และส่งเจ้านางน้องสิริสุภาไปแต่งกับพระญาติ ซึ่งต่อมาได้กบถ ทางพระนคร จึงได้ส่งคนมาปราบ พระเจ้าศรีสุริยเทพเลยอาสามา เพราะมีความนัยนั่นเอง

เมื่อปราบแล้วก็กวาดต้อนและริบทุกอย่างส่งคืนพระนครอังกอร์ใหญ่ ยกเว้นพระชายาสิริสุภา(ซึ่งเป็นพระชายาของเจ้าเมืองคนก่อนและมีลูกติดท้องมา ด้วยคะ) เอากลับบ้านเมือง และทำให้เกิดเรื่องราวความหึงหวงตามมา จนถึงรุ่นลูกนะคะ

ภาคหนึ่งคำมั่น หมายถึงคำมั่นสัญญาที่เจ้าชายศรีสุริยเทพ ให้ไว้ต่อ เจ้านางสิริสุภา ในที่สุดพระองค์ก็ได้ทำตามสัญญาไปรับมาอยู่ด้วยกัน ท่ามกลางกลการเมือง และวิชาอาคมต่างๆทั้งเรื่องเลยค่ะ เป็นกลิ่นอายของพระนคร แบบอารยธรรมเขมรเต็มรูปแบบ ส่วนบุหงากาซะลองนี่จะเป็นเหตุการณ์ก่อนสมัยนี้ เป็นยุคแรกๆ ที่อาณาจักรฟูนันเริ่มเป็นปึกแผ่น  ตามท้องเร่ืองคืออาณาจักรสุริยันค่ะ มันจะต่อเนื่องมาจากภาคแรก คือเรื่องสุริยัน จันทรา


................................


บทสามสิบห้า : พันผูกระคนผูกพัน




หลายทิวาที่เจ้าชายชยยเกศวรติดสอยห้อยตามพระสหายมากชันษากว่าออกไปเที่ยวทรรศนาทัศนียภาพรายรอบมหินธราปุระนคราแลทุกคราที่ตามองค์รัชทายาทแม่ทัพใหญ่คู่พระทัยกรุงพนมพระองค์ใหม่ไปมักปรารมภ์ถึงเชษฐภคินีเสียดายที่มิได้ติดตามมา สำแดงให้คนสดับรับรู้ถึงสายสัมพันธ์ลึกซึ้งของทั้งสองพระองค์ได้เป็นอย่างดี ทรงเข้าพระทัยดีว่าเจ้านางต่างแคว้นจำต้องอยู่ในขนบประเพณีหาได้มีโอกาสเยี่ยงอนุชาที่หนีออกมาซุกซนตามประสาบุรุษได้ แต่ทุกคราที่เสด็จกลับเข้าที่พำนัก มักประทานถ้อยดำรัสเล่าเรื่องราวที่ประสบพบเจอมาให้พระพี่นางฟังอยู่เนืองๆ เฉกเช่นทิวานี้


“เสียดายที่ทรงเป็นสรี หาไม่เราคงได้ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันได้ แต่ไม่เป็นไรข้าจักเล่าให้ฟังเอง ทิวาวารข้าปะดาบกับเหล่าองครักษ์สหายสนิทของเจ้าพี่มหิยเกศวร เพิ่งมารู้ทิวานี้เองว่า เอ่อ ครานั้นทรงประลองกันหาได้ถูกกลุ้มรุมทำร้ายไม่ ทำเอาข้าหน้าม้านไปเลย ดีทว่าทรงอธิบายให้เข้าใจว่าเหตุการณ์บังเกิดขึ้นรวดเร็วสุดที่คาดคิดได้ แลซาบซึ้งในน้ำใจที่ข้าสอดมือเข้าไปช่วยเอาไว้อีกด้วย”


คนพูดภูมิใจตนเองเป็นที่สุด หาล่วงรู้เลยไม่ว่าทำเอาคนฟังร้อนหทัยถึงกับออกปากทักท้วงห้ามปรามทันใด


“ตายแล้ว ทำไมถึงได้เสี่ยงอันตรายเยี่ยงนั้นเล่า หากพลาดพลั้งไปจะทำเยี่ยงใดกัน”


สุรเสียงใสแหวใส่ผู้เป็นน้องชายได้ยินชัดเต็มสองข้างหูห่วงกังวลเป็นที่สุดแลพาลพาโลแอบเคืองไปถึงบุรุษตัวโตอีกคนโดยมิมีสาเหตุ มาตรว่าเจ้านางบุษบามินตราจักพระชนมายุน้อยเพียงสิบสี่ชันษาปลายเท่านั้น หากความคิดอ่านหาได้เยาว์เฉกเช่นอายุไม่ ทรงได้การศึกษาร่ำเรียนสรรพวิทยามากมายดุจเดียวกับพระอนุชา มิแผกที่ถ้อยวาจาที่ตรัสออกมาจะมากเกินวัย
นอกจากวิชาความรู้จากตำรับตำราแล้วสรรพวิชาอื่นใดหาสนใจไม่ จำเพาะศัสตราวุธทั้งหลายหาใฝ่หทัยไม่ แผกจากสรีสูงศักดิ์อีกนางที่พรักพร้อมไปทั้งรูปลักษณ์แลความรู้ จำเพาะเชิงธนุหามีผู้ใดเทียบเทียมได้


“เรื่องแค่นี่เอง พี่นางทำเป็นเอ็ดอึงไปได้ บุรุษย่อมเข้าใจในบุรุษ ดุจเดียวกับที่เจ้าพี่มหิยเตศวรเข้าใจในตัวข้า จักตระหนกตื่นไปไย”
สุรเสียงแปร่งพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดเคืองใจรำลึกในใจว่า


“สรีก็คือสรี ชอบตื่นตระหนกในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ขืนเล่าให้มากความไปมีหวังถูกเอ็ดไม่เลิกเป็นแน่”


ดำริพลางแย้มยิ้มกับองค์เองออกมา ครั้นรำลึกได้ว่าเพลานี้สหายตัวโตคงกำลังฝึกซ้อมศัสตราวุธอยู่ไม่ห่างออกไป จึงได้ชักชวนหว่านล้อมให้คนเคียงใกล้เสด็จไปทรรศนาจักได้มิคิดห้ามปรามมิให้คบหาสหายใหม่สืบไป แม้เชษฐภคินีมิได้เอ่ยถ้อยคำใดออกมาแต่ผู้เป็นอนุชาก็รับรู้ถึงความห่วงกังวลได้เป็นอย่างดี


แลทึกทักเอาเองว่าควรที่จะเร่งสานสัมพันธ์ให้สนิทชิดเชื้อให้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยพึงหทัยในอุปนิสัยของบุรุษตัวโตสูงใหญ่เป็นการส่วนพระองค์ หากได้สนิทชิดใกล้จึงจะล่วงรู้ได้ มิมีถ้อยพจนาหลุดออกมาจากริมโอษฐ์เรียวบางสีแดงจัด มีเพียงรอยแย้มสรวลอย่างรู้เท่าทันประทานให้มา พาให้คนที่ลอบมองอยู่แย้มยิ้มตามมาในบัดดล


“ไปด้วยกันเถิดพี่นาง ข้ามีบางสิ่งจักให้ยล”


คนพูดพลางยื้อข้อมือบางของคนที่ยังมิทันตั้งตัวเตรียมใจจำต้องเดินตามไปในที่สุดมิทันซักถามขืนขัดแต่อย่างใด ชั่วอึดใจใหญ่จึงลุสู่เขตราชฐานฝ่ายหน้า สุรเสียงเข้มร้องทักพระสหายต่างแคว้นดังขึ้นทันทีที่หันมาสบร่างของผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาสมทบ


“เจ้าชายชยยเกศวร เสด็จมาล่ามิทันได้ทอดเนตรการประลองอิษุเสียแล้ว น่าเสียดายยิ่งนัก แล้วนั่นทรงพาผู้ใดมาด้วย อ้อ...เจ้านางบุษบามินตรา”


เสียงเข้มระรัวพูดเอ่ยทักยาวเหยียดมิพักหายใจเสียบ้างเลย น้ำเสียงสนิทเคยคุ้นยิ่งนัก พาให้ร่างบางที่ติดตามมาฉงนสะกิดหทัย แต่หาได้สำแดงกิริยาใดออกไปให้คนตรัสเย้าได้รู้เท่าทัน พลางยอบกายถวายพระพรตามพระอนุชาที่น้อมเศียรให้คนตรงหน้าเกือบจักพร้อมเพรียงกัน


“จริงฤา เจ้าพี่ ก็ข้ามัวแต่.....รอบางคนอยู่เลยรุดมาสมทบมิทัน การน่าเสียดายยิ่งนัก”


เสียงอนุชาเอ่ยพูดขึ้นท้ายประโยคเว้นช่วงจังหวะเอาไว้อย่างจงใจมิอยากให้กระทบกระเทือนพาดพิงถึงสรีสูงศักดิ์ที่ติดตามอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ผู้ที่สดับยืนฟังอยู่มีฤาจักมิเข้าใจในความหมายนั้น ร่างสูงตระหง่านสมชาติอาชาไนยทอดเนตรตามร่างบางตรงหน้าอยู่ชั่วอึดใจแลมิได้ใส่ใจอีกเลย แต่กลับผินพักตร์เข้มดุดันมาสนทนากับสหายต่างวัยแทน


“ความจริงพวกเราเพิ่งจักเริ่มประลองยิงอิษุกัน ทรงจะเข้าร่วมเพลานี้ยังมิสายหากประสงค์หม่อมฉันจะเป็นผู้ตัดสินให้เอง เห็นร่ำลือกันว่าชาวศรีศนะจะปุระเก่งฉกาจเรื่องธนุหน้าไม้ เท็จจริงอย่างไรคงได้เห็นกัน”


เสียงทุ้มกังวานปลายหางเสียงเข้มจริงจังตรัสเย้าท้าทายอยู่ในที ยังผลให้โลหิตในกายของผู้สืบเชื้อสายมาจากบรรพกษัตริย์ขัตติยาฉีดพล่านไปทั่ววรกายอย่าได้หมายปรามาสดูถูกกัน


“เจ้าพี่ตรัสเยี่ยงนี้ มีฤาข้าจะยอมให้สบประมาทได้แต่ถ่ายเดียว เห็นทีต้องสำแดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์เสียแล้วกระมัง เจ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นส่งธนูมาให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้”


เสียงอนุชาที่ดำรัสตอบขึงขังด้วยถูกท้าทายแผดเรียกหาคันธนูในบัดดล ท่ามกลางสายตาของสรีสูงศักดิ์อีกนางที่ประทับทอดเนตรอยู่ไม่ห่างออกไป ทรงรู้เท่าทันความในหทัยของผู้เป็นน้องได้เป็นอย่างดี แลมิคิดจักห้ามปรามแต่อย่างใด ด้วยความหยิ่งทระนงในเชื้อสายเผ่าพงศ์ของตนมิได้น้อยไปกว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าเฉกเช่นกัน เข้าทำนองตามคำบุรุษที่ว่า “ฆ่าได้ แต่หาหยามได้ไม่”


พักตร์งามผุดผาดของดรุณีอ่อนชันษาที่กำลังจะเติบกล้าเป็นสรีงามงดอยู่อีกไม่เกินขวบปีผินมาทอดเนตรหน้าเข้มคมสันของบุรุษที่เพิ่งจะกล่าวท้าทายออกไปนิ่ง ทรงรู้เท่าทันแลล่วงรู้ถึงชั้นเชิงในถ้อยพจนาที่พูดออกมาท้าทายหมายหยั่งเชิงฝีมือองค์รัชทายาทแห่งศรีศนะจปุระเป็นอย่างดี พลางรำลึกในหทัยว่า


“มาตรว่าในความเป็นสหายก็ยังคงมีกลการเมืองแอบแฝงเร้นเอาไว้อย่างแยบยลสมเป็นแม่ทัพคู่พระทัยของกมรเตงแห่งยโศธรปุระอังกอร์ยิ่งนัก”


ดำริพลางผินพักตร์งามมาทอดเนตรร่างสูงสง่าโปร่งบางของเจ้าชายชยยเกศวรที่กำลังง้างคันศรปลดปล่อยลูกธนุออกจากแล่งแหวกอากาศแล่นไปปักกลางเป้าเชือกที่ขดเป็นวงเอาไว้ใหญ่เท่าโล่ราวจับวาง เรียกเสียงฮือฮาจากสหายแม่ทัพนายกองแลองครักษ์ที่ยืนจ้องจับตามไปได้ครืนใหญ่


ก่อนลูกดอกดอกที่สองจะถูกปล่อยตามไปปักเคียงกัน สำแดงถึงความแม่นจำแลฝีมือเชิงอิษุที่มิน้อยหน้าผู้ใด พักตร์เข้มของผู้ที่เพิ่งจะปล่อยสายธนูออกไปหันมาสบตาสรีสูงศักดิ์นิ่ง แววตาเปี่ยมความมาดมั่นภูมิใจในฝีตนอยู่มิใช่น้อยเลย




มีต่อค่ะ

จากคุณ : Setakan
เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 09:56:07




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com