ดอกกล้วยไม้...งดงาม สูงค่า หายากเช่นไร เธอก็เป็นเฉกนั้น!
เกเบรียล ดัสเลย์ รำพึงในอกเมื่อมองเห็นดวงหน้าหวานซึ้ง ดวงตากลมโตดังเม็ดนิลยามต้องแสงไฟ จมูกเล็กไม่โด่งมากเหมือนกับหญิงสาวชาติเดียวกับเขาประกอบเข้ากับริมฝีปากอิ่มเย้ายวนนั้นทำให้ความงามตรงหน้าดูล้ำค่า...งามสง่า และชวนใฝ่ฝันถึง
หากแต่หญิงที่งามดั่งกล้วยไม้นางนี้กลับมีความฉลาดประดุจหนามแหลมคมเหมือนกุหลาบป่า สมกับที่เป็นบุตรีคนเดียวของทูตจากต่างแดนที่ผู้เป็นบิดาไว้ใจถึงขนาดทิ้งให้หล่อนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว ในฐานะทูตานุทูตแห่งสยามประเทศ! (นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายอิงประวัติศาสตร์นะคะ เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น จึงไม่สามารถใช้อ้างอิงทางวิชาการใดๆ ได้)
....................
บทนำ
พ.ศ.2445 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ร่างเล็กประดุจตุ๊กตาจีนที่ประดับเฝ้าตรงประตูทางเข้าตำหนักของพระองค์หญิง ทรุดตัวลงคุกเข่าก่อนค่อยๆ คลานเข้ามาหาเจ้าของตำหนักที่ประทับนั่งอยู่บนตั่ง ซึ่งปูลาดด้วยพระสุจหนี่ วรองค์แบบบางประทับเอนๆ กับพระเขนยอิง สายพระเนตรที่จับอยู่บนร่างบางที่หมอบเฝ้าอยู่เบื้องหน้าเปี่ยมด้วยพระเมตตา
เจ้าจะมาลาข้ารึ เฟื่องแก้ว
เพคะ
เสียงเสนาะหูทูลตอบแฝงความหม่นหมอง ดวงหน้าที่ก้มต่ำเผยความไม่แน่ใจในชะตาต่อไปของตนเอง อาการสั่นสะท้านแผ่ออกมาจากทั่วร่างทั้งที่เจ้าตัวพยายามกักเก็บไว้มิดเม้น
เงยหน้าขึ้นหน่อยสิ
รับสั่งอ่อนโยนทำให้ดรุณีแรกรุ่นเงยหน้าขึ้น ก่อนจะยืดตัวขึ้นเล็กน้อย หม่อมฉันจะติดตามบิดาไปบริเตน เพคะ
สีพระพักตร์ของเจ้าของตำหนักเปลี่ยนทันควัน พระองค์หญิงขมวดพระขนง
ข้าสงสัยนัก เหตุใดเจ้าไม่รั้งอยู่ที่นี่ ไม่อยู่ที่ตำหนักข้า หรือมิเช่นนั้นพ่อเจ้าก็น่าจะส่งเจ้าไปอยู่ตำหนักลาว ก็ได้ หรือไม่ก็เลือกให้เจ้าออกเรือนไปเสียกับหลวงฤทธิ์ซะ จะอย่างไรพวกเจ้าก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว...
มิได้หรอกเพคะ ฝ่าพระบาทก็ทรงทราบว่าคุณแม่ของหม่อมฉันเพิ่งเสีย เรื่องแต่งงานคงต้องระงับไว้ก่อน...
ข้าเข้าใจ เพียงแต่ไม่อยากให้เจ้าไปต่างบ้านต่างเมือง เจ้าก็รู้...หลานข้าทั้งคน จะไม่ให้ข้าห่วงได้เช่นไรกัน พ่อเจ้าก็เหลือเกิน ยืนยันหนักหนาว่าจะเอาเจ้าไปด้วย
หญิงสาวแย้มยิ้มเพียงนิดเมื่อนึกถึงผู้เป็นบิดา ก่อนทูลพระองค์หญิง ผู้เป็นพระปิตุฉา ด้วยน้ำเสียงสดใสขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้เจ้าคุณพ่อจะทัดทานไม่ให้หม่อมฉันตามไป แต่หม่อมฉันก็จะไปเพคะ เสด็จป้าควรรู้จักนิสัยของหม่อมฉันดีกว่าใครๆ ที่สุด
พระองค์หญิงยิ่งขมวดพระขนงมากขึ้น วรกายแบบบางหยัดขึ้นอยู่ในท่าประทับนั่ง ก่อนสายพระเนตรเฉียบคมจะจดจ้องผู้มีศักดิ์เป็นหลานสาวด้วยแววเนตรเข้มงวดปนห่วงกังวลในพระหทัย
เหตุใดหนอ...บรรพบุรุษขององค์ท่านจึงได้คิดเลี้ยงดูบุตรหลานที่เป็นสตรีเยี่ยงนี้ ทรงสงสัยในพระหทัยแล้วก็แย้มสรวลออกมาอย่างเนือยๆ แม้แต่องค์เองก็ทรงยอมรับว่าตั้งแต่ที่ทรงเติบโตมาในตระกูลขุนนาง ท่านเจ้าคุณ...พ่อของพระองค์เองก็ได้สั่งสอนศาสตร์ต่างๆ มากกว่าที่ชายทั่วไปในสยามจะได้เรียนรู้เสียอีก เมื่อพระองค์เข้าวัง ไม่นานก็ได้รู้ข่าวดีว่าน้องชายที่รับราชการเป็นขุนนางและสมรสกับนางพระกำนัลคนโปรดในพระราชชายา เจ้าดารารัศมีได้ให้กำเนิดบุตรีที่น่ารักเป็นหนักหนา แล้วนพ...น้องชายขององค์เองก็ดำเนินรอยตามเจ้าคุณพ่อโดยการสอนสั่งความรู้ทุกอย่างให้กับผู้เป็นบุตรี ทั้งสิ่งใดที่ลูกน้อยร่ำร้องอยากเรียนรู้ ผู้เป็นบิดาจะขวนขวายหามาให้จนได้ ทั้งการขอให้ครูแหม่มที่มาสอนหนังสือในวังมาสอนภาษาให้สาวน้อยคนนี้จนช่ำชองทั้งของบริเตนแลฝรั่งเศส ไหนจะสอนเรื่องทางการเมือง การทหาร การทูต ทั้งสถานการณ์บ้านเมืองต่างๆ ก็ล้วนแต่ถ่ายทอดให้ลูกฟังเสียทั้งสิ้น ยังดีที่พระองค์หญิงเรียกเข้ามาอบรมกิริยามารยาทในวังเสียบ้างบางครา กิริยาจึงแลสมเป็นกุลสตรี อีกทั้งมารดาชาวเชียงใหม่ได้ถ่ายทอดความอ่อนหวานให้ หลานสาวคนนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของบรรดาชายหนุ่มอนาคตไกลทั้งหลาย มีผู้มาทาบทามสู่ขอก็มาก แต่ผู้เป็นบิดากลับเลือกสรรจนได้ลูกชายของเพื่อนสนิทมาเป็นว่าที่เขยขวัญ แต่เฟื่องแก้วคงจะแต่งงานเสียในเร็ววันนี้ หากบัวตองผู้เป็นมารดาไม่สิ้นลงเสียก่อน
พระองค์หญิงประทับนิ่งอยู่ชั่วครู่ พยักพักตร์ให้หลานสาวคลานเข่าไปใกล้ๆ แล้วทรงโน้มองค์ลงสวมกอดหลานสาวเพียงคนเดียวแน่น รับสั่งแผ่วเบา
สัญญากับป้า ว่าจะกลับมาหาป้า แล้วอีกอย่าง...อย่าตกลงปลงใจกับพวกฝรั่งนะ ป้าไม่ชอบ!
.....................................................
ค.ศ. 1902 รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งเกรทบริเตน
ยังไม่มาอีกหรือ
เรือเอ็สเพรสจะเข้าเทียบท่าในอีก 1 ชั่วโมง ข้าว่าท่านไปนั่งรอในสโมสรก่อนก็ได้มั้ง
ไม่ ฉันจะรออยู่ที่นี่
อย่างนั้นฉันขอไปร้านไวน์แถวนี้ก่อนก็แล้วกัน
ร่างสูงสง่ายืนกอดอก ดวงตาสีไพลินทอดไกลไปยังทะเลกว้างเบื้องหน้า ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเรือหลายลำเข้ามาเทียบท่าตรงหน้าพวกเขา ท่าทางนั้นบ่งบอกว่าเอิร์ลแห่งเลสเตอร์ไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลยแม้แต่นิดเดียว เท่านั้นก็เพียงพอที่เขา...คริสโตเฟอร์ เบลาซีย์จะล่าถอยไปนั่งร้านไวน์อย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายออกปากอนุญาต
เมื่อหนุ่มรุ่นน้องเดินไปทางโรงแรมที่มีอยู่ประปรายเพื่อไปหาไวน์ดีๆ ซักแก้วดื่ม เขากลับต้องมายืนรออยู่ที่ท่าเรือพร้อมกองทหารเกียรติยศเพื่อต้อนรับคณะทูตจากสยาม...แคว้นที่น่าพิศวง ทรัพยากรธรรมชาติมีไม่น้อยไปกว่าอินเดีย ท่ามกลางมรสุมของการแข่งกันตัดแบ่งเค้กซึ่งหมายถึงเขตแดนลุ่มน้ำโขงและด้านคาบสมุทรอินโดจีนระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสที่มีมานาน แคว้นที่อยู่ใกล้เคียงกับสยามล้วนถูกชาติของเขาหรือไม่ก็ฝรั่งเศสกลืนกิน เว้นแต่สยามเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสงครามการล่าอาณานิคมระหว่างพวกเขาโดยที่ไม่ตกเป็นของใครเลย
กาเบรียลนึกสงสัย แคว้นนี้รู้จักการดึงเอามหาอำนาจเข้ามาคานเพื่อสร้างสมดุลและความปลอดภัยให้กับตนเอง ถึงแม้จะเสียดินแดนให้กับอังกฤษและฝรั่งเศสไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงความเป็นเอกราชไว้ได้ ในขณะที่รอบด้านกลายเป็นอาณานิคมไปทั้งหมด
เมื่อเขาหาข้อมูลเกี่ยวกับสยาม ถึงได้รู้ว่าแคว้นเล็กๆ นี้รู้จักการต่อรองแสนยานุภาพทางทหารด้วยการทูตที่เฉียบคม และหนึ่งในคณะทูตที่กำลังจะมาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิ์อังกฤษที่ยิ่งใหญ่กับแคว้นเล็กๆ แคว้นนั้นคือหนึ่งในผู้ที่เป็นคนเสนอแนวทางการทูตที่ทำให้สยามรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกาครั้งนั้นในที่สุด
เพราะบรรพบุรุษของชายหนุ่มเป็นนักการทูตมาโดยตลอด เมื่อยอดสาลิกาจากต่างแดน คนที่ทำให้เขาใคร่เรียนรู้ถึงความปราดเปรื่องทั้งหมดที่มี กาเบรียลจึงขันอาสามาเป็นผู้ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของคณะทูต ที่ทั้งหมดจะมาประจำอยู่อังกฤษเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแว่นแคว้นทั้งสองต่อไป แต่ตอนนี้เขาได้แต่ยืนรออย่างเบื่อหน่ายอย่างเดียวเท่านั้น...
และตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นเรือเอ็กเพรสเครื่อนตัวเข้ามาเพื่อเทียบท่าอย่างรวดเร็ว
ทหาร รีบวิ่งไปบอกลอร์ดเบลาซีย์ว่าเรือท่านทูตมาถึงแล้ว ให้เขามาสั่งการโดยเร็ว ชายหนุ่มก้าวยาวๆ จนประชิดตัวนายทหารที่ยืนระเบียบพักตรงหน้าสุด นายทหารชิดเท้าโดยไม่พูดไม่จา ก่อนจะออกวิ่งไปอย่างรวดเร็วเพื่อตามตัวผู้บังคับบัญชาที่ป่านนี้จะไปนั่งดื่มไวน์ที่ไหนไม่รู้
และเมื่อลอร์ดเบลาซีกลับมาด้วยอาการหอบหายใจไม่ทัน เรือเอ็กเพรสก็ใกล้เทียบท่าแล้ว จนเมื่อเรือเทียบท่าเรียบร้อย กองทหารเกียรติยศก็พร้อมที่จะบรรเลงเพลงและชูกระบี่ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ตัวแทนแห่งสยาม
เสียงสลุตปืนใหญ่ดังก้อง พร้อมๆ กับพิธีการอันทรงเกียรติดำเนินต่อไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง กาเบรียลสังเกตเห็นว่าราชทูตและครอบครัวแต่งกายด้วยชุดตามแบบสยาม ซึ่งไม่สามารถกันความหนาวเย็นของอังกฤษได้เลย โชคดีที่ท่านทูตมาถึงตอนหน้าร้อนนะ...ชายหนุ่มคิดพลางยิ้มนิดๆ
ท่านนี้คือ... จู่ๆ เสียงของคริสโตเฟอร์ก็ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ แย่จริงที่ช่วงนี้เขามีเรื่องให้คิดมากจนบ่อยครั้งก็กลายเป็นเหม่อลอย ...ลอร์ดกาเบรียล ดัสเลย์ เอิร์ลแห่งเลสเตอร์ ซึ่งจะเป็นผู้รับรองท่านตลอดการอยู่ประจำที่อังกฤษนี้
ขอต้อนรับท่านราชทูต... เอาล่ะสิ เมื่อกี้ท่านบอกว่าตนเองชื่ออะไรนะ ภาษาอะไรออกเสียงยากขนาดนั้น เอ่อ...
พระยาศรีสัตยานุรักษ์ ท่านทูตบอกยิ้มๆ แววตาไม่ถือสาหาความอันใด ชายหนุ่มมองร่างทูตชาวสยามอย่างรวดเร็ว รูปร่างสูงใหญ่ที่เกือบสูงเท่าเขา ผิวสีทองแดงดูสุขภาพดีอยู่ใต้เสื้อแขนยาวสีขาวสะอาด คอตั้ง กระดุมที่เรียงแถวอยู่บนเสื้อตัวนั้นส่องประกายวาววับของทองคำแท้ออกมา ส่วน กางเกง พองๆ ที่ทำจากไหมสีม่วงเข้มนั้นกลับดูเข้ากันกับเสื้อ ส่งให้บุคลิกของชายรูปงามคนนี้ดูขรึม สง่า และ คมในฝัก!
กระผมขออภัยเป็นอย่างสูง พระยาศรีสัตยานุรักษ์ คราวนี้กาเบรียลจำได้แม่นยำ กระผมได้จัดเตรียมบ้านพักไว้ให้ท่านและครอบครัวแล้ว และกระผมจะคอยอำนวยความสะดวกให้กับท่านตลอดช่วงระยะเวลาที่ท่านอยู่ที่อังกฤษนี้
ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ท่านทูตยิ้มกว้าง ยื่นมือมาสอดจับเข้ากับมือของเขาที่ออกมารออยู่ก่อนแล้ว ผมคิดว่าการอยู่ที่อังกฤษคงเป็นความสุขสบายอย่างหาที่เปรียบมิได้ โดยเฉพาะเมื่อมีคุณดูแลให้
คารมไม่เบา สมแล้วที่เป็นทูตชั้นหนึ่ง!
ร่างสูงกระแอม ตาคมกวาดไปทั่วเพื่อมองหา ครอบครัว ของท่านทูต แต่ไม่เจอเลยเอ่ยปาก เอ่อ...แล้วครอบครัวคนอื่นๆ ของท่านละครับ
ท่านทูตหันไปข้างๆ นี่ไงลูก...อ้าว...เฟื่องแก้ว...เฟื่อง...
กาเบรียลทันเห็นร่างเล็กแบบบางของสตรีเพียงแวบเดียว ก่อนที่ร่างบางนั้นจะถลาไปประคองคนใช้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำท่าเหมือนกำลังจะเป็นลม พลางสังเกตเสียงเสนาะที่ร้องเรียกคนใช้คนอื่นให้มาช่วยกันพยาบาลหญิงผู้นั้น แล้วร่างบางก็เดินย้อนกลับมาด้วยกิริยาเรียบร้อย
แต่ถึงแม้จะหันหน้ามาทางเขาแล้วก็ตาม ชายหนุ่มก็ไม่ได้เห็นว่าเธอมีหน้าตาอย่างไรเพราะหญิงสาวใช้ผ้าเนื้อบางผืนยาวตวัดคลุมศีรษะจรดเอว เห็นเพียงดวงตาวาววามและ กระโปรง ยาวแคบๆ ที่ทอเป็นลวดลายงดงามเท่านั้น ท่านทูตถอนหายใจน้อยๆ ก่อนเอ่ยปากกับสตรีตรงหน้าเหมือนเอือมระอาเต็มที เฟื่องแก้ว รักษากิริยาด้วย ปลดผ้าคลุมออกได้แล้ว
เอิร์ลแห่งเลสเตอร์ เคยถือตัวว่าเป็นชายที่เห็นหญิงงามมาแล้วมากมาย แต่เมื่อมือเรียวขาวปลดผ้าคลุมออกจากตัว ก็เหมือนดั่งมีประกายเจิดจรัสเปล่งออกมาจากร่างอันแสนงดงาม...เรือนร่างระเหิดระหงที่ห่มผ้าเฉียงสีครีมอ่อนละเอียด ปล่อยชายยาวปลิวไสว ดวงหน้ารูปไข่เฉิดฉันด้วยดวงตากลมโตดั่งนิลเนื้อดียามต้องแสงไฟ รับกับขนตางอนเป็นแพหนาเหมือนปีกผีเสื้อ จมูกเล็กปลายรั้นบอกนิสัยดื้อดึงของเจ้าของ รวมทั้งเรียวปากอิ่มแลดูชุ่มชื้น ส่งให้ความงามตรงหน้าดูล้ำค่า งามสง่า และชวนใฝ่ฝันเป็นที่สุด
นี่ลูกหญิงคนเดียวของผม เฟื่องแก้ว
..................
สวัสดีค่ะ
เรื่อง 'เพียงหทัยใฝ่รัก' นี่เป็นเรื่องที่เขียนสนองตัณหาของตัวเอง ที่คิดมาตั้งแต่เด็กว่าทำไมผู้หญิงถึงไม่ได้ทำงานเท่าเทียมกับผู้ชาย ยิ่งเมื่อก่อนแล้วด้วย ผู้หญิงดูจะเป็นเพศที่ 'เกือบ' ไม่เคยได้รับรู้ความเป็นไปในโลก ถูกปิดหูปิดตาด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ นาๆ ในขณะที่ผู้ชายได้รับโอกาสมากมาย
ตอนเด็กๆ ก็เลยคิดว่า จะเป็นยังไงหากผู้หญิงได้รับการยอมรับจากสังคมปิตาธิปไตยอย่างเช่นสยามในอดีต เมื่อเรียนมากขึ้นเลยคิดอยากสนองความต้องการของตัวเองด้วยการเขียนนิยายที่ให้ผู้หญิงเราเป็นตัวเอก ทำเรื่องสำคัญๆ อย่างเช่นการเจรจาความเมืองเสียบ้าง
ดังเช่นที่ได้พูดมาตั้งแต่ตอนต้น ดังนั้นนิยายเรื่องนี้จึงหาอะไรไปเทียบเคียงประวัติศาสตร์ไม่ได้เลย ส้มเพียงแต่เอาช่วงเวลา ตัวละคร และบุคคลที่พอจะอ้างอิงได้น่าเชื่อถือมาเขียนไว้เท่านั้น เพื่อที่จะให้มีความสมจริงมากขึ้น นิยายเรื่องนี้ไม่ได้มุ่งนำเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่ก็จะพยายามรักษาแก่นของประวัติศาสตร์เอาไว้ และพยายามถ่ายทอดเอาแง่มุมทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ (และที่จำได้) มาให้ได้ดีที่สุด
ส้มไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์ อาศัยว่าชอบอ่านและเคยค้นคว้ามาบ้าง เลยหาญกล้าลงมือเขียนนิยายแบบนี้ แต่นิยายเรื่องนี้จะสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ถ้าผู้อ่านที่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ (หลง) เข้ามาอ่านและติชม ให้คำแนะนำส้ม เพื่อที่ส้มจะได้ทำความฝันสมัยเด็กให้ลุล่วงต่อไป
ขอบคุณมากค่ะ
ปณัชญา
จากคุณ |
:
ส้มเช้งเองจ้า
|
เขียนเมื่อ |
:
3 เม.ย. 54 15:42:26
|
|
|
|