บทที่ 12 ปรารถนาที่ไม่สิ้นสุด
ว่ากันว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกเสมอ
ในยามนี้เจิ้งเยี่ยอิงได้ประสบแล้วว่าคำกล่าวนั้นไม่ได้ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย วันเวลาที่มีเพียงเขาและนางดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันคืนอันหวานชื่นที่นอกจากจะทำให้อากาศที่หนาวเหน็บอุ่นร้อนได้แล้ว ยังทำเอาเหล่าผู้คนในจวนแม่ทัพของเขาพลอยแช่มชื่นสุขใจไปด้วย กับคู่แต่งงานที่พวกเขาต่างลงความเห็นว่ามีความสุขที่สุด
เวลาที่ว่าในสายตาของเจิ้งเยี่ยอิงในยามนี้ ไหลผ่านไปราวกับสายน้ำที่ไม่อาจรั้งรออยู่กับที่ใดที่หนึ่งได้นานนัก
โดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวเวลาหนึ่งเดือนก็ได้คืบคลานผ่านไปอย่างเงียบ ๆ และในวันที่อากาศในเมืองเฟิงอู่ยังค่อนข้างจะหนาวเย็นดังเช่นเคย ก็ได้มีเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้ผู้คนภายในจวนแม่ทัพต่างก็ดูเคร่งขรึมลงไปหลายส่วน แม้กระทั่งตัวหยางเฟยเยี่ยเองก็พลอยเงียบขรึมไปด้วย
เจิ้งเยี่ยอิงไม่ได้เอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่เก็บความสงสัยนั้นไว้อย่างเงียบเชียบ ทำราวกับว่านางมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ จากพวกเขา นางรู้ดีว่าอีกไม่นานเขาคงจะอธิบายให้นางฟัง เพียงแต่ในตอนนี้หากเขายังไม่ต้องการจะบอกนาง นางก็ไม่คิดจะถามหาเหตุผลแต่อย่างใด
แม้ในยามค่ำคืน บทรักของเขาจะเร่าร้อนรุนแรงยิ่งกว่าเคย แต่นางก็เพียงแค่ตอบสนองต่อความเร่าร้อนดุจเดียวกันเท่านั้น ตราบจนทั้งเขาและนางต่างผล็อยหลับลงไปในอ้อมแขนของกันและกันอย่างไม่มีที่ท่าจะคลายออกจนกระทั่งรุ่งสาง
และแล้วคำตอบของสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึงในเช้าวันต่อมานั่นเอง ในช่วงเวลาอาหารเช้าที่นางและเขาร่วมทานมื้อเช้าด้วยกันดังเคย หยางเฟยเยี่ยก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า
“ในวันพรุ่งนี้พวกเราจะเตรียมตัวออกเดินทางกลับเมืองหลวง” น้ำเสียงของเขาดูเรียบเรื่อย ราวกับเจ้าตัวมองว่าไม่ได้สำคัญเท่าใดนัก
“ท่านว่าอะไรนะ กลับเมืองหลวงหรือ หมายความว่าอย่างไรกัน”
นางเอ่ยถามด้วยความตกใจ มือเรียวบางถึงกับต้องวางตะเกียบลงเพราะมันสั่นเกินกว่าที่จะจับไว้ได้มั่นคงพอ
เจิ้งเยี่ยอิงเข้าใจว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กันจนแก่เฒ่าเสียอีก ก็ในเมื่อที่นี่คือบ้านของเขา หรือมิใช่กันนะ? ในตอนนี้นางไม่รู้จริง ๆ ว่าเรื่องที่ตนไม่เคยตั้งคำถามนั้นมีความสำคัญเพียงใด ตลอดเวลาเขาไม่เคยพูดเรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวเองก่อนที่ทั้งสองจะแต่งงานให้นางฟังเลย แม้จะได้รู้จากเสี่ยวปี้มาบ้างแต่ก็เป็นเพียงเรื่องนิสัยใจคอ ความชอบของเขาเสียมากกว่า ทั้งพอช่วงหลัง ๆ ที่นางเข้าใจจิตใจของตัวเองแล้ว เจิ้งเยี่ยอิงก็ไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่เด็กสาวพูดอีกเลย
ส่วนเวลานับตั้งแต่หยางเฟยเยี่ยและนางใกล้ชิดดังเช่นในช่วงหนึ่งเดือนมานี้ เด็กรับใช้ผู้นั้นก็ดูจะพูดน้อยลง เพราะเวลาที่มีส่วนใหญ่เจิ้งเยี่ยอิงใช้ไปกับการอยู่ตามลำพังสองต่อสองกับชายตรงหน้านั่นเอง
“ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการเรียกตัวข้ากลับไป”
เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ริมฝีปากบางประดับรอยยิ้มบางเบา
หลังจากใกล้ชิดกับเขามาหลายเดือนก็รับรู้ได้ว่าแม้นำเสียงจะเรียบเรื่อย ทว่ารอยยิ้มนั้นของเขากลับขัดตานักในความรู้สึกของนาง
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นราชโองการ” นางได้แต่เอ่ยรับออกไปโดยที่ไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้ เมื่อสังเกตเห็นท่าทีผิดไปจากปกติของเขานางก็อดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ ทำไมในชีวิตของเขาถึงได้มีราชโองการมากมายนักนะ จะแต่งงานครั้งหนึ่งก็ต้องเป็นไปตามราชโองการ จะเดินทางกลับเมืองหลวงก็ยังคงเพราะมีราชโองการเรียกตัวกลับไปอีก
แม้จะคิดถึงเหล่าผู้คนที่นางคุ้นเคยมานานในบ้านสกุลเจิ้งมากมายเพียงใด แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกดีใจเลยกับการเดินทางกลับเมืองหลวงในครั้งนี้ ไม่ใช่ว่านางยังคงโกรธเคืองในเรื่องที่พวกเขาล่อหลอกให้นางมาแต่งงานกับบุรุษตรงหน้า นางคิดตกมานานแล้วว่าพวกเขาย่อมจะมีเหตุจำเป็นที่ต้องทำเรื่องเช่นนี้ลงไปอย่างแน่นอน สาเหตุที่ทำให้นางไม่สบายใจและไม่รู้สึกดีใจกับการได้กลับไปยังสถานที่ ๆ จากมา เป็นเพราะท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขาต่างหาก
เป็นเพราะนางรับรู้อยู่เสมอว่าความสัมพันธ์ระหว่างหยางเฟยเยี่ยและนางเปราะบางมากเพียงใด หากการที่เพียงได้ทราบว่าต้องกลับไปยังเมืองหลวงนั้น ก็ทำให้เกิดความตึงเครียดถึงเพียงนี้ เกรงว่าในยามที่ไปถึงที่หมายนั้นอาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดมาทำให้ความสัมพันธ์ที่เรียบเรื่อยสุขสงบเหล่านี้ของทั้งสองต้องพังทลายลงก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นนางก็ต้องการที่จะอยู่ในที่แห่งนี้มากกว่า แต่ในเมื่อไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องราว นางก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความเป็นไปเท่านั้น
“เจ้าไม่ดีใจหรือ? ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้เงียบไปเล่า” ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อเห็นภรรยาตกอยู่ในอาการเหม่อลอย
เขาเองก็ไม่ได้นึกอยากกลับไปนักหรอก ก็เพราะว่ายังไม่ลืมที่นางบอกว่าไม่สามารถรักเขาได้น่ะสิ ดูเหมือนเรื่องนั้นจะกลายเป็นฝันร้ายของเขาไปเสียแล้วนับจากได้รับราชโองการขององค์จักรพรรดิฉบับล่าสุดมา ยังไม่แน่ว่านางอาจมียอดดวงใจรอการกลับไปของนางอยู่ที่เมืองหลวงก็เป็นได้ ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิดใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าและน้ำเสียงที่กล่าวออกไปแม้แต่น้อย
“ข้าดีใจแน่นอน จะได้กลับไปเยี่ยมท่านลุงท่านป้าและชิงจื่อด้วย” นางเอ่ยรับด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน
“ไปเยี่ยมพวกเขาหรือ เจ้ามิได้โกรธพวกเขาหรอกหรือ” ยิ่งมองสีหน้าของนางความไม่สบายใจของเขาก็ดูอาการจะเพียบหนักยิ่งกว่าเดิม นี่นางคงไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจมากกว่ากระมัง เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านางตอบเพื่อเอาใจเขาเท่านั้น
“จะโกรธได้อย่างไรเล่า พวกเขาต่างมีบุญคุณต่อข้า การที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็ย่อมจะมีเหตุผล”
นางอธิบาย แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าเขาว่า “อีกทั้งการแต่งงานครั้งนี้นับได้ว่าไม่เลวเลย และข้าก็มีความสุขดีมาก แม้ในตอนแรกออกจะขลุกขลักอยู่บ้างก็ตามที”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเอ่ยคำพูดที่เฉียดเข้าใกล้กับเรื่องราวที่พวกเขาแสร้งทำเป็นลืมไม่พูดถึงนับตั้งแต่ที่ได้รู้ใจตนเอง นางจึงอดที่จะลอบสังเกตปฏิกิริยาของเขาไม่ได้
หยางเฟยเยี่ยเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มออกมา แล้วเอ่ยคำพูดที่ทำให้หญิงสาวตรงหน้ารู้สึกผิดคาด
“อืม...ใช่แล้วนับได้ว่าไม่เลวเลย พวกเขาเลือกเจ้าสาวมาได้ถูกอกถูกใจข้ายิ่งนัก”
กล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมาหานาง แล้วก้มลงอุ้มร่างนางเข้าสู่อ้อมแขนแกร่งกำยำของตนโดยไม่บอกกล่าว
ก่อนที่นางจะเดาออกถึงจุดประสงค์ของเขา ร่างของนางก็ถูกเขานำไปวางลงบนเตียงเสียแล้ว และเมื่อเขาโถมกายลงทาบทับนั้น นางก็อาศัยมือบางยันอกเขาเอาไว้เบา ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่แดงก่ำออกไปว่า
“ท่านบอกว่าพวกเราต้องออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้มิใช่หรือ ดังนั้นเวลาเช่นนี้ควรจะใช้ในการเตรียมการออกเดินทางกระมัง ถ้าพวกเราไม่รีบออกไปเกรงว่าผู้คนคงจะต้องสงสัยว่าพวกเรากำลังทำอะไรอยู่แน่ ๆ เลย”
“ให้พวกเขาคิดไปเถอะ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่เห็นสำคัญแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “เรื่องเตรียมตัวออกเดินทางก็ให้เสี่ยวปี้และพ่อบ้านจัดการกันเอาเองก็แล้วกัน วันนี้ข้าว่างทั้งวัน สู้เรามาใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์จะดีกว่า”
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นเจิ้งเยี่ยอิงก็ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยจุมพิตละมุนละไมของบุรุษผู้ซึ่งยังคงกกกอดนางไว้แนบแน่น สิ่งแรกที่เห็นเมื่อยามลืมตาตื่นก็คือใบหน้างดงามของเขาที่ฉาบฉายรอยยิ้มอันเต็มไปด้วยความอิ่มเอมพึงพอใจ นัยน์ตาที่มองสบมานั้นหวานซึ้งถึงขั้นทำให้นางตาพร่าด้วยความงุนงงสับสนเล็กน้อย
“นอนหลับสบายดีหรือไม่”
คำถามนั้นของเขาทำให้นางใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที ได้แต่ซุกใบหน้าเข้ากับอกแกร่งกำยำอย่างจนด้วยคำพูดอย่างสิ้นเชิง แม้ดูเหมือนคำถามนั้นจะดูสามัญธรรมดาอย่างยิ่ง แต่เมื่อเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มที่สื่อความหมายบางอย่างเช่นนั้นภาพความใกล้ชิดสนิทแนบ ที่เขาเพิ่งจะนำนางผ่านมาก็อดที่จะไหววูบเข้ามารบกวนอยู่ภายในสมองไม่ได้
“วันนี้เราจะต้องเริ่มออกเดินทางกลับเมืองหลวงกันแล้ว ข้าว่าเราควรจะรีบลุกไปเตรียมตัวอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนออกเดินทางได้แล้วกระมัง เมื่อวานพวกเราแค่ล้างตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
แม้จะเอ่ยออกมาเช่นนั้น แต่จมูกโด่งที่เป่าลมหายใจอุ่นร้อนกลับก้มลงซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่นขาวผุดผ่องของนางด้วยความหลงใหล ราวกับมีจุดมุ่งหมายแอบแฝงอยู่ในการกระทำนั้น
สิ่งที่เขากระทำต่อนางมาตั้งแต่เมื่อวานแทบจะทำให้นางลืมเลือนเรื่องที่จะต้องเดินทางกลับเมืองหลวงในวันนี้ไปแล้ว แม้ร่างกายจะอ่อนระทวยไปด้วยความวาบหวามแต่มือน้อย ๆ ก็ยังคงแข็งขืนผลักอกเขาให้ถอยห่างจากร่าง
“เอ่อ พวกเรารีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยกันเถอะ อีกเดี๋ยวเสี่ยวปี้ต้องนำอาหารมาให้แน่ ถ้าพวกเรายังจะ... ยังจะทำเช่นนี้ เกิดนางเข้ามาเห็นเข้าจะทำเช่นไรเล่า” นางเอ่ยขอร้องเขาก่อนที่ความตั้งใจอันดีจะถูกเบี่ยงเบนไปอีกครั้ง
“หืม...ก็ได้” ชายหนุ่มรับคำเสียงแหบพร่า แม้จะรู้สึกอยากอยู่บนเตียงต่ออีกสักนิด แต่เมื่อนึกถึงร่างกายบอบบางที่แทบจะไม่ได้พักผ่อนเลยตลอดคืน ด้วยความสงสารเห็นใจเขาจึงรับคำนางแต่โดยดี ได้แต่สะกดกลั้นความต้องการของตนไปอีกสักพักเท่านั้น
หยางเฟยเยี่ยคลายอ้อมแขนที่กอดรัดนางไว้ก่อนจะลุกขึ้นมาหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาคลุมร่างอย่างคล่องแคล่ว และก่อนที่เจิ้งเยี่ยอิงจะได้ลุกขึ้นมาหาเสื้อคลุมของนางบ้าง มือแกร่งก็ยื่นมาช้อนอุ้มร่างบางขึ้นจากเตียงเข้าสู่อ้อมแขนของเขาเสียแล้ว
“แบบนี้ดีกว่า พวกเราไปอาบน้ำด้วยกันเถอะนะ”
จบคำเขาก็ก้าวเดินตรงไปยังห้องที่มีการกั้นฉากไว้สำหรับเป็นห้องอาบน้ำทันที โดยไม่ได้รอให้นางตอบรับข้อเสนอหรือปฏิเสธเขาทั้งสิ้นอีกตามเคย
การอาบน้ำพร้อมกันสองคนนั้นออกจะเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจอยู่บ้าง แต่นับว่าสามารถสำเร็จเสร็จสิ้นลงจนได้ในที่สุด ราวกับว่าเขาถือเป็นเพียงการหยอกเย้าเล่นดังปกติเท่านั้น ขอเพียงได้กลั่นแกล้งนางจนหน้าแดงก่ำ นั้นก็นับได้ว่าประสบความสำเร็จและจะทำให้จิตใจของเขาเบิกบานไปตลอดวันที่เหลือได้แล้ว
ดูเหมือนข่าวการที่ต้องกลับเมืองหลวงนั้นจะได้กระตุ้นให้เขาแสดงอารมณ์และความปรารถนาออกมามากกว่าปกติ แม้หญิงสาวจะเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้เขาเป็นผู้ชักนำ ขับลำนำแห่งรักและหยอกล้อเติมเต็มความสุขให้แก่กันและกันราวกับวันพรุ่งนี้จะไม่มาถึงสำหรับพวกเขาทั้งสองก็ไม่ปาน
นับว่าคนในจวนแม่ทัพของเขาทำงานได้มีประสิทธิภาพอย่างดีเยี่ยม เมื่อถึงเวลาออกเดินทางพวกเขามีหน้าที่เพียงแค่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวออกเดินทางเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง
แม้ว่าเวลาที่เริ่มออกเดินทางจะเป็นเวลาบ่ายคล้อยไปมากแล้ว และราวกับทุกคนในที่นี้ไม่ว่าเจ้านายหรือข้ารับใช้ล้วนต่างมิได้ใส่ใจกับเรื่องเวลามากนัก ราวกับแท้จริงแล้วพวกเขามิได้สนใจในราชโองการเรียกตัวกลับด่วนที่องค์จักรพรรดิได้ถ่ายทอดคำสั่งลงมากระนั้น
หากจะกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเวลาในการเริ่มออกเดินทาง ทั้งยังนับได้ว่าไร้ความกระตือรือร้นและปราศจากความเร่งรีบแล้วละก็ นับได้ว่าเวลาที่ใช้ไปกับการเดินทางนั้นกลับน่าอเนจอนาถใจมากกว่าหลายเท่านัก หากจะเรียกว่าเป็นความใส่ใจในความไม่ใส่ใจนั้นก็คงจะไม่ผิดนัก
เพราะแม้คณะเดินทางในครานี้จะมิได้ใส่ใจในเวลาก็จริงอยู่ ทว่าความเอาใจใส่ของพวกเขานั้นกลับถูกใช้ไปจนถึงขั้นเต็มเปี่ยมกับสถานที่ต่าง ๆ ที่ต้องผ่านระหว่างทางแทบทั้งสิ้น
การเข้าไปเที่ยวชมเทศกาลดอกไม้ของเมืองลู่หมิงที่อยู่ติดกับเมืองเฟิงอู่นั้น เป็นการใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองเป็นสิ่งแรกเพราะกว่าที่พวกเขาจะเที่ยวชมจนทั่วทั้งงาน ก็ค่ำมืดจนในคืนนั้นจำเป็นต้องเปิดห้องพักกันในโรงเตี๊ยมเสียแล้ว
หยางเฟยเยี่ยเพียงเปรยออกมาอย่างไม่ใส่ใจกับคณะผู้ติดตาม ที่ถูกส่งมาจากราชสำนักเพื่อนำราชโองการมาถ่ายทอด และขอเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมกันที่บ้างก็เริ่มจะหน้าซีดขาว ส่วนขุนนางผู้เฒ่าคนที่อาวุโสหน่อยสีหน้าก็เริ่มออกจะเขียวคล้ำอย่างไม่ทราบสาเหตุอยู่เล็กน้อย
“ต้องขออภัยพวกท่านทั้งหลายด้วย ช่วงนี้ภรรยาข้าสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นหากการเดินทางในครั้งนี้ออกจะล่าช้าไปสักเล็กน้อย พวกท่านก็โปรดอย่าได้ใส่ใจเลย เมื่อไปถึงเมืองหลวงข้าจะเป็นผู้กราบทูลต่อองค์จักรพรรดิ ถึงสาเหตุที่ทำให้พวกเราไปถึงเมืองหลวงช้าไปสักหน่อยด้วยตัวเอง แบบนี้พวกท่านว่าดีหรือไม่”
แม้ถ้อยคำของเขาจะเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ ทว่าสีหน้าแววตาและท่าทางในยามที่เอ่ยออกมานั้นกลับเต็มไปด้วยความเฉียบขาด อย่างที่ผู้ฟังจะทำได้เพียงแค่รับคำ ไม่กล้าที่จะเสนอความคิดเห็นเป็นอื่นใดไปได้แม้แต่น้อย
หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาอย่างเอ้อระเหยลอยชายอย่างแท้จริง เป็นที่แน่นอนว่าผู้คนที่ติดตามมาจากจวนแม่ทัพของเขาต่างไม่มีใครอนาทรร้อนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างไร เพราะหากเจ้านายของพวกตนใจเย็นต่อให้พวกเขาร้อนใจไปก็ไร้ค่า จึงได้เพียงทำตัวลอยตามน้ำไปอย่างสงบและรื่นเริงกับการเดินทางครั้งนี้ไปเท่านั้น
ส่วนเหล่าคณะผู้ติดตามนั้นแม้จะร้อนใจเพียงใดก็ได้แต่สุมฟืนอยู่ในใจตนเท่านั้นโดยไม่อาจระบายออกได้เลย เพราะในเมื่อผู้ที่เป็นถึงจอมทัพเอ่ยออกมาเช่นนั้นแล้ว พวกเขายังจะโต้แย้งอะไรออกไปได้อีกเล่า แต่จะอย่างไรหากฝ่าบาททรงกริ้วขึ้นมา ผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่พวกเขาล่ะนะ เมื่อคิดได้ดังนี้ทั้งคณะเดินทางก็นับได้ว่ารื่นเริงขึ้นมาได้อีกหลายส่วน
เจิ้งเยี่ยอิงได้แต่ตกตะลึงไปกับความกล้าบ้าบิ่นของผู้เป็นสามีอย่างเงียบ ๆ ที่แม้การกระทำในครั้งนี้ของเขาจะไม่นับว่าขัดต่อราชโองการ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นไปด้วยความตั้งใจปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเสียทีเดียว
แม้ก่อนออกเดินทางเขาจะได้บอกกับนางแล้ว ว่าการเดินทางกลับเมืองหลวงครั้งนี้เขาจะพานางแวะเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ระหว่างทางไปด้วย เพราะเมื่อกลับไปถึงเมืองหลวงเขาอาจจะไม่มีเวลาอยู่กับนางมากดังเช่นที่ยังพักอยู่ในเฟิงอู่ ดังนั้นจึงจะใช้เวลาในระหว่างเดินทางกลับนี้ให้คุ้มค่าที่สุด
แล้วยังเหตุผลที่เขาบอกกับเหล่าขุนนางที่มาถ่ายทอดราชโองการนั้นอีกเล่า ออกจะฟังไม่ขึ้นอยู่หลายส่วนกระมัง แม้ก่อนหน้านี้นางจะป่วยอยู่ก็จริง แต่นับว่าทั้งอาหารและยาบำรุงร่างกายที่เขาสรรหามาบำรุงนั้น ก็ได้เสริมกำลังกายของนางให้แข็งแรงขึ้นมาก อาจจะมากกว่าก่อนหน้าที่นางจะป่วยเสียด้วยซ้ำ
เกรงว่าแม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็ยังสามารถบอกได้ว่ายามนี้สุขภาพร่างกายของนางแข็งแรงมากเพียงใด แล้วประสาอะไรกับผู้อาวุโสที่มีสายตาแหลมคมเหล่านั้นกัน
ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในศีรษะนางอย่างสลัดไม่หลุด จนในวันที่เดินทางมาได้เกือบจะถึงครึ่งทางนั้นก็ได้หลุดปากถามเขาออกไปอย่างอดใจไม่อยู่ แต่คำตอบที่ได้รับนั้นกลับทำเอานางถึงกับหน้าแดงก่ำ เมื่อชายหนุ่มกระซิบตอบด้วยเสียงแหบพร่าว่า
“หากเร่งรีบเดินทางไปเกิดเจ้าเป็นอะไรไปอีก เหมือนครั้งก่อนที่เดินทางมาแต่งงานจากเมืองหลวง แล้ว ข้าจะทำอย่างไรเล่า”
จบคำก็ได้เริ่มแสดงถึงความปรารถนาที่ดูจะไร้ก้นบึ้งของเขาอีกครั้ง นำพาวิหคคู่ขับลำนำแห่งรักจนสุดปลายทางลอยละล่องสู่ปลายฟ้าดุจดังเช่นโบราณกาล
ด้วยคำตอบเช่นนั้นของเขา เจิ้งเยี่ยอิงจึงได้แต่สงบปากคำดังเดิม ถือเสียว่าในเมื่อเขาได้ตัดสินใจทำเช่นนั้นไปแล้วนางก็ได้แต่ดื่มด่ำรื่นเริงไปกับการเดินทางในครั้งนี้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ เช่นกัน
===เหตุผลหลาย ๆ อย่างของตัวละครยังอ่อนอยู่มากจริง ๆ หากอ่านแล้วขัดใจยังไงก็ต้องขออภัยไว้ก่อนนะคะ ยังไงพร้อมรับคำชี้แนะเสมอคะ===
จากคุณ |
:
Black Chip (siMiSma)
|
เขียนเมื่อ |
:
4 เม.ย. 54 14:59:06
|
|
|
|