Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทที่ 10 การบุกค่ายแห่งมอร์เซล ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 9 หมู่บ้านสยอง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10397013/W10397013.html

<10>

การบุกค่ายแห่งมอร์เซล


โมไดยืนเพ่งสายตามองฝ่าฝุ่นดินที่กำลังปลิวฟุ้งกระจายไปตามสายลมเพื่อดูหลังคาบ้านกลุ่มหนึ่ง แสงแดดที่ร้อนแรงเมื่อยามเที่ยงอ่อนกำลังลง มันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลดระดับลงต่ำ อาบไล้หมู่บ้านขนาดเล็กตรงหน้าให้เป็นสีแดงดังเลือดดุจเป็นลางบอกเหตุ โซลย์ดึงฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะเพื่อป้องกันฝุ่นผงดินที่มาตามลมซึ่งเริ่มแรงขึ้นก่อนหันไปทางฟอร์เซ็ตติซึ่งกำลังจ้องมองหมู่บ้านตรงหน้าราวกับพิจารณา

“เราจะเจอมนุษย์ผีดิบเหมือนเมื่อคืนหรือเปล่า”

โมไดถามขึ้นเมื่อเห็นทุกคนเงียบอยู่นาน โซลย์ส่ายหน้า

“ข้าคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นหมู่บ้านร้างมากกว่า” เขาพยักเพยิดไปทางด้านประตูทางเข้าซึ่งเปิดอ้าค้างไว้ “ที่นี่คงถูกผีดิบบุกเข้ามาทำลายเรียบร้อยไปแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็น่าจะเลยผ่านไปนะ” โมไดรีบแนะ “ใกล้ค่ำแล้วด้วยข้ายังไม่อยากออกกำลังกายหนักๆสองคืนติดต่อกัน”

“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ฟอร์เซ็ตติพูดขึ้นมาบ้าง “พวกเรารีบเดินทางต่อกันดีกว่า”

ทั้งสามเริ่มต้นออกเดินทางต่อท่ามกลางลมพายุที่ดูเหมือนจะพัดรุนแรงขึ้นทุกขณะ ผงฝุ่นดินละเอียดปลิวฟุ้งบดบังแสงจากดวงอาทิตย์จนมืดมัว โมไดสำลักไอเสียงดังแล้วร้อง

“พายุแรงแบบนี้พวกเราไปกันต่อไม่ไหวแน่ๆ”

“หรือว่าเราจะหยุดพักที่หมู่บ้านร้างนั่นและรอจนกว่าลมจะสงบลง” โซลย์ตะโกนถามแข่งกับเสียงพายุที่กำลังอื้ออึง ทั้งสามคนเหลียวไปมองหมู่บ้านที่เห็นอยู่รางๆท่ามกลางหมอกอันเกิดจากฝุ่น

“คงจะต้องลองเสี่ยงดู” ฟอร์เซ็ตติพูด โซลย์หันไปทางโมไดคล้ายจะถาม เด็กหนุ่มยักไหล่

“ว่าไงว่าตามกัน”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะเข้าไปหลบพักกันที่หมู่บ้านนั่น เอาแค่ตรงบ้านที่อยู่ใกล้ทางเข้าออกที่สุด ห้ามเดินแตกกลุ่มตามอำเภอใจเป็นอันขาด”

คำพูดสุดท้ายดูเหมือนจะเจาะจงไปที่โมไดโดยเฉพาะ เขาเบ้หน้าพร้อมกับบ่นขณะที่ก้าวเท้าตามหลังแม่ทัพแห่งมอร์เซลโดยมีฟอร์เซ็ตติเดินท้ายสุด ทั้งหมดหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าของหมู่บ้าน โซลย์มองเลยไปด้านในและทำท่าจะเดินเข้าไปแต่จอมเวทหนุ่มรีบดึงไหล่เขาเอาไว้

“มีอะไรหรือ”

“ดูนี่ก่อน” ฟอร์เซ็ตติตอบพลางยกไม้เท้าของเขาขึ้น คริสตัลสีฟ้าตรงยอดส่องแสงสว่างเรืองรองขับไล่ความมืดจนแลเห็นสิ่งรอบตัวได้อย่างเลือนราง

“ไม่เห็นมีอะไรเลย” โมไดบ่นแต่โซลย์กลับชะงักพร้อมกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“กองกระดูกมนุษย์!”

เด็กหนุ่มก้มลงมองดูพื้นทันที ก้อนหินสีขาวหม่นซึ่งกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดไปทั่วที่เขาเห็นในครั้งแรกแท้จริงแล้วคือเศษซากชิ้นส่วนกระดูกของมนุษย์ โมไดรีบยกเท้าของเขาขึ้นเมื่อพบว่ากำลังยืนอยู่บนกระดูกท่อนขาข้างหนึ่ง

“แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ” โซลย์พึมพำ “สงสัยคงต้องเปลี่ยนแผนกันเสียแล้วล่ะท่านจอมเวท”

“ข้าคิดว่าคงไม่ทันแล้ว” อีกฝ่ายพูดขึ้น สายตาของเขามองตรงเข้าไปในหมู่บ้าน เงารางๆของคนหลายคนกำลังเดินโงนเงนเข้ามาหา

“ผีดิบอีกแล้วเรอะ” โมไดบ่นขณะที่ดึงรันนิ่งออกมาจากซองข้างเอวแต่จอมเวทหนุ่มยกมือห้ามไว้

“เดี๋ยวก่อน พวกนี้ไม่ใช่ผีดิบ”

“แล้วมันเป็นตัวอะไรกัน” เด็กหนุ่มถาม ดวงตายังคงจับจ้องมองตรงไปที่กลุ่มคนข้างหน้า พวกเขาเริ่มยกมือขึ้นไขว่คว้าไปมาในอากาศคล้ายกำลังควานหาอะไรบางอย่าง

“พวกมันเป็นเพียงแค่เปลือก” ฟอร์เซ็ตติตอบไม้เท้าในมือถูกยื่นออกไปด้านหน้า “ตัวจริงของมันอยู่ใต้พื้นที่พวกเรากำลังยืนอยู่นี่”

“หา!”

ทั้งโซลย์และโมไดร้องออกมาพร้อมกัน พวกเขาก้มหน้ามองดูพื้นดินที่กำลังยืนอยู่แล้วถอยหลังออกไปสองสามก้าวด้วยความรู้สึกหวาดระแวง จอมเวทหนุ่มประสานมือทั้งสองข้างไว้บนไม้เท้าของเขาพร้อมกับร่ายเวทออกมา

“ซอนเนน”

แสงสีขาวเจิดจ้าสว่างวาบออกมาจากคริสตัล มันแผ่กระจายเป็นวงออกไปโดยรอบคล้ายคลื่น วิ่งไปกระทบกับร่างที่กำลังใกล้เข้ามา พวกมันกรีดร้องเสียงแหลมบาดหูและสั่นเทิ้มระรัว ผิวหนังเริ่มปริแตกออก หนอนสีขาวจำนวนมากพุ่งทะลักร่วงลงมาและดิ้นพราดอยู่บนพื้นคล้ายถูกเผาด้วยไฟ มันงอหงิกแน่นิ่งไปในที่สุด โมไดยิ้มกว้าง

“คราวนี้ไม่ต้องเหนื่อยแฮะ”

“อย่าเพิ่งดีใจไป เจ้าหนู” ฟอร์เซ็ตติเตือน “ตัวจริงกำลังจะมาแล้ว รีบถอยออกไปจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด!”

โดยไม่ต้องร้องบอกเป็นครั้งที่สอง ทั้งสามรีบออกจากบริเวณหน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันทีที่พวกเขาพ้นจากแถวนั้น พื้นดินที่เคยยืนอยู่เมื่อครู่ก็ระเบิดกระจายขึ้น หนอนกินซากยักษ์สีขาวขุ่นโผขึ้นมาจากใต้ดิน มันกรีดร้องเสียงดังด้วยความโกรธที่ปล่อยให้เหยื่อหลุดรอดไปได้ โมไดยกรันนิ่งของเขาขึ้น

“บลาสต์!”

รันนิ่งหมุนคว้างออกจากมือและพุ่งเข้าตัดลำตัวของเจ้าหนอนตัวนั้นจนขาดเป็นสองท่อน ของเหลวสีขาวไหลทะลักออกมาจากร่างสยองนองท่วมพื้นส่งกลิ่นเน่าคละคลุ้ง โซลย์ยกมือขึ้นปิดจมูกตัวเองพร้อมกับบ่น

“เหม็นอย่างกับศพสักร้อยศพ”

เขาเพ่งสายตามองฝ่าละอองฝุ่นที่จางลง ลมพายุรุนแรงเมื่อครู่อ่อนกำลังและกลายเป็นสายลมร้อนพัดเอื่อยๆ แม่ทัพหนุ่มเดินตรงไปที่ซากของหนอนยักษ์อย่างรวดเร็วและก้มลงเก็บวัตถุบางอย่างที่ไหลออกมาจากตัวของมัน

“มีดสั้น”

โมไดพูดขึ้น โซลย์หันมาทางเขาหลังจากสะบัดของเหลวเหม็นๆออกไปจนหมดแล้วและมองมีดสั้นในมืออย่างพิจารณา

“นี่เป็นมีดประจำตัวของนายกองเบรฟ” เขาพูด “หรือว่า.....”

แม่ทัพหนุ่มหันกลับไปมองดูซากหนอนยักษ์อีกครั้ง

“พวกเขาคงถูกเจ้านี่กินไปแล้ว” โมไดพูดกับโซลย์หลังจากที่ถูรันนิ่งลงไปบนพื้นเพื่อเช็ดคราบของเหลวออกและเก็บมันกลับลงไปในซอง แม่ทัพหนุ่มผงกศีรษะด้วยท่าทางเศร้าสลด

“เบรฟเป็นทหารที่กล้าหาญมาก ข้าเสียดายเหลือเกินที่เขา.....”

“เก็บความเสียใจของท่านเอาไว้ก่อนดีกว่าท่านแม่ทัพ พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้ว”

“ข้าจัดการเจ้าหนอนกินซากเน่าตัวนี้ไปแล้ว เจ้ายังกังวลอะไรอยู่อีก เจ้าจอมเวท”

โมไดพูดขึ้นด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นท่าทางเย็นชาของจอมเวทหนุ่ม อีกฝ่ายหันมาจ้องหน้าและกล่าวเสียงขรึม

“เจ้าคิดว่าที่นี่มีหนอนยักษ์เพียงตัวเดียวอย่างนั้นหรือ”

*/*/*/*/*

ทหารรักษากำแพงค่ายชายแดนแห่งมอร์เซลเดินจุดคบเพลิงที่แขวนไว้รอบกำแพงอย่างระมัดระวัง เสียงสายลมยามค่ำคืนที่พัดหวีดหวิวสร้างความหวาดระแวงจนเขาต้องหันหน้ามองออกไปด้านนอก เขาเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเงาร่างคนสามร่างกำลังเคลื่อนไหวท่ามกลางความมืดอยู่ไกลๆ คบไฟในมือถูกยื่นออกไปข้างหน้าพร้อมกับเขม้นมอง

“มีใครบางคนอยู่ข้างนอกนั่น”

ทหารผู้นั้นร้องตะโกนขึ้น เสียงฝีเท้าวิ่งขึ้นมาบนกำแพงดังระรัว ทหารหลายคนเพ่งสายตามองตามมือของคนแรก

“ข้าไม่เห็นมีใครสักคน” ทหารอีกคนพูด “เจ้าตาฝาดไปหรือเปล่า”

“ข้ามองจนแน่ใจแล้วจึงได้เรียกพวกเจ้า” ทหารคนแรกกล่าวเสียงฉุน เพื่อนของเขาสั่นหน้าคล้ายไม่เชื่อถือ

“ใครจะมาเดินข้างนอกในเวลาค่ำคืนแบบนี้นอกจากพวกผีดิบหรือกลุ่มโจร”

เพื่อนทหารอีกคนหนึ่งยกมือขึ้นป้องใบหน้า เขาอุทานออกมาคำหนึ่งพร้อมกับยกมือชี้ออกไปนอกค่าย

“นั่นคนนี่ มีคนอยู่ข้างนอกนั่นจริงๆด้วย”

“ไหน”

เหล่าทหารพากันวิ่งไปยืนดูที่ขอบกำแพงค่ายในขณะที่บางคนง้างธนูเตรียมพร้อมที่จะยิงทันทีหากผู้มาเยือนมีท่าทางไม่น่าไว้วางใจ พวกเขามองดูจนกระทั่งคนทั้งสามมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูค่าย

“เปิดประตูด้วย”

“เจ้าเป็นใครกัน” นายทหารคนหนึ่งร้องถาม โซลย์เงยหน้าขึ้นและร้องตอบ

“ข้าชื่อโซลย์ สองคนนี่คือเพื่อนของข้า พวกเราเดินทางออกมาจากเมืองหลวงระหว่างทางเจอพวกผีดิบจึงได้หนีมาจนถึงที่นี่”

“เจ้าว่าเจ้าชื่อโซลย์อย่างนั้นหรือ” ทหารคนเดิมถาม แม่ทัพแห่งมอร์เซลรู้สึกโมโหในความมากเรื่องของคนในค่ายแต่ก็ยังตอบ

“ใช่ เปิดประตูให้พวกข้าเข้าไปด้วย พวกเราถูกสัตว์ร้ายไล่ตามมา”

เหล่าทหารบนกำแพงค่ายหันหน้าปรึกษากัน ใครคนหนึ่งจึงแนะขึ้น

“รีบไปเชิญท่านบรุคมาดีกว่า”

ทหารคนหนึ่งวิ่งลงไปยังด้านล่าง เพียงชั่วอึดใจนายทหารระดับสูงก็เดินขึ้นมายืนบนเชิงเทิน เขาก้มลงมองดูโซลย์ซึ่งกำลังยืนกระวนกระวายอยู่

“นั่นมัน ท่านโซลย์แม่ทัพแห่งมอร์เซลไม่ใช่รึ รีบเปิดประตูค่ายเร็ว”

บรุคร้องสั่งเสียงดัง โซลย์ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงดาลประตูลั่นขึ้นพร้อมกับบานประตูไม้อันหนาหนักเปิดออก เขาหันไปยิ้มอย่างโล่งอกให้กับโมไดและฟอร์เซ็ตติก่อนเดินนำหน้าเข้าไปในค่าย ผู้บัญชาการประจำผู้มีนามว่าบรุครีบเดินเข้ามาหา

“ท่านโซลย์ ท่านมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน”

“ข้าได้รับคำสั่งจากองค์ราชาให้เดินทางข้ามไปยังมาร์วัลลัสเพื่อทำกิจธุระสำคัญบางประการ” โซลย์ตอบและหันไปทางเพื่อนทั้งสอง

“นี่เป็นเพื่อนร่วมทางของข้า ฟอร์เซ็ตติและโมได”

บรุคก้มศีรษะลงราวกับทักทาย

“ข้าเป็นผู้บัญชาการประจำค่ายแห่งนี้มีนามว่าบรุค ยินดีที่ได้รู้จักท่านทั้งสอง จริงสิพวกท่านเดินทางมาไกลคงจะเหน็ดเหนื่อยและหิวโหยกันมาก ไปพักผ่อนและสนทนากันในที่พักของข้าจะดีกว่า”

ผู้บัญชาการค่ายกล่าวเชื้อเชิญ เขาหันไปสั่งทหารที่ยืนระวังอยู่ข้างๆก่อนเดินนำหน้าโซลย์ไปยังที่พักของเขา ผู้คนที่อาศัยอยู่ในค่ายพากันออกมายืนมองดูอาคันตุกะทั้งสามด้วยความสนอกสนใจ หลายคนหันไปกระซิบกระซาบต่อกันเมื่อฟอร์เซ็ตติเดินผ่าน

“นั่นมันคนของมาร์วัลลัสไม่ใช่หรือ”

“จะใช่ได้ยังไงกัน พวกนั้นไม่มีทางข้ามมาฝั่งเราหรอก” อีกคนหนึ่งค้าน ทั้งคู่หุบปากนิ่งเงียบแทบจะทันทีเมื่อจอมเวทหนุ่มหันไปมอง

“คนจากมาร์วัลลัสแน่ๆ สวยขนาดนั้น” ทั้งคู่เริ่มวิจารณ์ต่อเมื่อเห็นว่าแขกทั้งสามหายเข้าไปในที่พักของผู้บัญชาการค่าย

*/*/*/*/*

โซลย์รับถ้วยชาร้อนที่บรุครินส่งให้มาวางไว้บนโต๊ะต่างกับโมไดที่ยกขึ้นดื่มทันทีด้วยคามกระหาย ผู้บัญชาการค่ายชะงักเล็กน้อยเมื่อยื่นถ้วยให้กับฟอร์เซ็ตติ

“ดูเหมือนท่านจะไม่ใช่คนของมอร์เซล”

เขาพูดขึ้นหลังจากที่หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว จอมเวทหนุ่มเหลือบสายตาไปทางโซลย์ แม่ทัพหนุ่มจึงรีบตอบแทน

“เขาเป็นผู้นำทาง”

“ผู้นำทาง” บรุคพูดทวนอย่างสงสัย “นำทางไปไหนกัน”

“ข้ามชายแดนไปยังมาร์วัลลัส”

“หากจะข้ามชายแดนไป ทำไมไม่ใช้เส้นทางด้านช่องแคบพูล ทางของที่นั่นไปง่ายกว่าด้านเหนือนี่มาก”

“ตอนนี้ช่องแคบพูลเต็มไปด้วยสัตว์กลายพันธุ์ ไม่ปลอดภัยต่อการเดินทาง” จอมเวทหนุ่มเอ่ยขึ้นมาเบาๆ บรุคมองหน้าเขา

“ข้าเพิ่งรู้ว่าพวกจอมเวทก็เป็นนักเดินทาง”

“ข้าไม่ค่อยเหมือนกับคนอื่น”

ฟอร์เซ็ตติตอบอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยแต่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง โซลย์เอนตัวมาข้างหน้าและเอ่ยถาม

“ข้าได้ยินมาว่าเบรฟมาประจำการอยู่ที่นี่”

“ท่านเข้าใจได้ถูกต้องแล้วท่านแม่ทัพ”

“แล้วเขาไปไหน” โซลย์ถามขณะที่ภาวนาในใจ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปกุมมีดสั้นที่เก็บได้ระหว่างทางและบีบเบาๆ

“เขาออกไปลาดตระเวณรอบๆ แต่หายไปได้สองสามวันแล้ว ข้ากำลังนึกเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน”

“เขาไปลาดตระเวณแถบไหน”

“ด้านใต้ของค่าย พวกเราได้ข่าวมาว่าหมู่บ้านแถบนั้นถูกกองโจรรังควานอย่างหนักจึงเร่งออกไปพร้อมทหารราวยี่สิบคน”

บรุคอธิบาย เขามองหน้าโซลย์ด้วยความรู้สึกสงสัยจึงเอ่ยถาม

“เหตุใดท่านจึงถามถึงเบรฟ ท่านพบกับพวกเขาระหว่างทางอย่างนั้นหรือ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” แม่ทัพหนุ่มตอบ เขาดึงมีดสั้นประจำตัวของเบรฟออกมาจากเข็มขัดและวางลงบนโต๊ะตรงหน้าผู้บัญชาการ เขามีสีหน้าตระหนก

“นี่มันมีดสั้นประจำตัวของเบรฟ ท่านเก็บมันได้จากที่ใด”

“ที่หมู่บ้านร้างทางด้านใต้ของค่ายแห่งนี้ จากท้องของหนอนกินซากยักษ์”

โซลย์ตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บรุคถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ

“ถ้าอย่างนั้นเบรฟก็คงจะ........” บรุคมีสีหน้าที่เศร้าสลดลง “เขาเป็นนักรบที่กล้าหาญและเก่งกาจ ไม่น่าที่จะต้องมาตายแบบนี้เลย” ผู้บัญชาการหนุ่มพูดขณะที่รับมีดสั้นของเบรฟมาถือไว้ในมือ

“จริงสิแล้วพวกท่านจะเดินทางเข้าไปในมาร์วัลลัสทำไมกัน คงไม่ใช่คิดจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากที่นั่นใช่หรือไม่”

บรุคเงยหน้าขึ้นถาม โซลย์สั่นศีรษะก่อนจะตอบ

“ข้ามีกิจธุระสำคัญที่ไม่อาจจะแจ้งให้ท่านทราบเนื่องจากเป็นราชโองการลับขององค์เหนือหัวแห่งมอร์เซล”

แม่ทัพหนุ่มตอบ ผู้บัญชาการค่ายอ้าปากคล้ายจะถามต่อแต่ต้องชะงักเมื่อทหารผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับทำความเคารพ

“อาหารจัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านบรุค”

“ขอบใจ”

เขาพูดสั้นๆและหันไปทางโซลย์

“พวกท่านเดินทางมาไกลคงจะหิว อาหารที่ค่ายแห่งนี้แม้จะไม่ดีนักเพราะความแห้งแล้งแต่ก็คงจะช่วยให้พวกท่านอิ่มท้องได้”

ผู้บัญชาการหนุ่มยืนขึ้นและหันไปสั่งทหารของเขา

“นำท่านแม่ทัพและเพื่อนร่วมทางของท่านไปยังห้องอาหาร จงมอบการเอาใจใส่อย่างดีอย่าให้ขาดตกบกพร่องจากนั้นให้นำพวกท่านทั้งสามไปพักผ่อนยังห้องรับรองและอย่าให้ผู้ใดรบกวนเป็นอันขาด”

ทหารผู้นั้นรับคำสั่งอย่างแข็งขัน บรุคก้มศีรษะให้กับโซลย์เป็นการเชื้อเชิญ แม่ทัพหนุ่มจึงทำอาการแบบเดียวกันพร้อมกับกล่าว

“ขอบคุณ”

ระหว่างการเดินไปยังห้องอาหารโซลย์สังเกตเห็นว่าเหล่าทหารและผู้คนที่อาศัยอยู่ในค่ายแห่งนี้ล้วนมีขวัญและกำลังใจที่ดีเยี่ยม สีหน้าของทุกคนล้วนแจ่มใสแม้จะไม่ถึงกับร่าเริง แม่ทัพหนุ่มจึงเอ่ยปากสนทนากับทหารที่กำลังนำทาง

“ดูพวกเจ้าไม่วิตกกังวลกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเท่าใดเลย หรือว่าที่นี่ไม่เคยถูกฝูงผีดิบและกองโจรบุกมาจู่โจม”

“พวกมันยกกำลังมาโจมตีค่ายแห่งนี้หลายครั้งแต่ด้วยไหวพริบและความสามารถของท่านบรุคทำให้พวกมันไม่อาจทำการได้สำเร็จ”

“ดูท่าพวกเจ้าจะไม่เคยเจอกับฝูงหนอนกินซากเลยสินะ”

โมไดพูดขึ้น ทหารผู้นั้นขมวดคิ้วและย้อนถาม

“อะไรนะ”

“หนอน” โมไดตอบเน้นเสียง “พวกข้าถูกพวกมันจู่โจมที่หมู่บ้านทางด้านใต้ไม่ไกลจากที่นี่นัก”

“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหนอนก็สามารถทำร้ายคนได้” ทหารนายนั้นกล่าวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะจนเด็กหนุ่มรู้สึกฉุน

“ข้าไม่ได้พูดเล่นนะ”

“ข้าก็ไม่ได้ว่าเจ้าพูดจาล้อเล่น เจ้าหนู พวกเราผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน คงไม่ลำบากนักหากต้องเผชิญหน้ากับฝูงหนอนตัวเล็กๆ”

“ข้าคิดว่าเจ้าคงกำลังจะได้พิสูจน์คำพูดนี้”

ฟอร์เซ็ตติเอ่ยขึ้น โซลย์ชะงักทันทีเมื่อเห็นสีหน้าที่ฉายแวววิตกกังวลของเขา

“หรือว่า....”

“พวกมันตามเรามาแล้ว”

จอมเวทหนุ่มเอ่ยขรึมๆ โมไดมีสีหน้าโกรธขึ้นมาแทบจะทันที

“จะรอให้ข้ากินจนอิ่มท้องก่อนไม่ได้หรือยังไงกันนะ”

“นี่ใช่เวลามาพูดเล่นนะโมได” โซลย์ดุ เขาหันไปทางทหารที่กำลังทำสีหน้างุงงงอยู่ “พาพวกข้าไปที่กำแพงโดยเร็ว นี่เป็นคำสั่ง!”

นายทหารผู้นั้นรีบเดินนำคนทั้งสามไปที่กำแพงค่ายทันทีทั้งที่ยังรู้สึกงงงันในคำพูดของพวกเขา โซลย์ยืนเพ่งสายตามองฝ่าความมืดออกไปโดยมีเหล่าทหารรักษากำแพงจ้องตาม ทหารที่เดินนำพวกเขามาพูดขึ้น

“ข้าไม่เห็นมีอะไรเลย”

สิ้นคำพื้นดินบริเวณด้านหน้าประตูค่ายก็ระเบิดขึ้น ร่างของหนอนยักษ์โผล่ออกมาพร้อมกับฝุ่นดินที่ฟุ้งกระจายมันกางเขี้ยวออกและกรีดร้องเสียงแหลม ทหารรักษาค่ายต่างพากันยืนตะลึง

“นี่มันตัวอะไรกัน”

“หนอนไงเล่า”

โมไดตอบทันควัน เขาดึงรันนิ่งออกมาจากซองหนังและทำท่าจะปล่อยมันออกไปแต่ฟอร์เซ็ตติกลับร้องห้ามเขา

“เดี๋ยว”

“ทำไมอีก”

เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยความรู้สึกรำคาญ จอมเวทชี้นิ้วไปยังร่างของหนอนตัวนั้น

“มันไม่เหมือนกับหนอนตัวที่เจ้าจัดการไปเมื่อตอนเย็น ดูผิวของมันให้ดีสิโมได”

โมไดเขม้นตามองไปยังหนอนยักษ์ซึ่งบิดตัวไปมา ผิวของมันสั่นเทิ้มเป็นลอนคลื่นและปริแยกออกจากกันเป็นทางยาวปล่อยให้หนอนสีขาวจำนวนมหาศาลไหลทะลักพรั่งพรูออกมา มันเริ่มไต่คืบคลานมาตามกำแพงอย่างรวดเร็ว

“กองทัพหนอน!”

ทหารคนหนึ่งร้องขึ้น อีกหลายคนทำหน้าขยะแขยง พวกเขาพยายามใช้ปลายดาบปัดหนอนที่เริ่มคืบคลานโผล่พ้นขอบกำแพงขึ้นมา ในขณะที่ด้านนอก เงาสีขาวหม่นหลายเงากำลังเคลื่อนตรงมายังค่าย

“พวกมันตามมาถึงนี่เลยเรอะ”

โมไดพูดพร้อมกับยกมีดบินของเขาโดยไม่สนใจกับคำเตือนของฟอร์เซ็ตติ

“บลาสต์”

รันนิ่งพุ่งปราดออกไปทันทีมันหมุนเร็วราวกับพายุหมุนวิ่งเข้าไปตัดร่างยักษ์สีขาวตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดจนขาดเป็นชิ้นๆ ของเหลวขุ่นข้นไหลทะลักพุ่งพรวดออกมาพร้อมกับฝูงหนอนอีกจำนวนมหาศาล พวกมันคลานยุ่บยั่บอยู่ในกองของเหลว กลิ่นเหม็นคาวเน่าชวนคลื่นเหียนลอยมาตามลมที่พัดผ่านเข้ามาในค่าย ทหารหลายคนถึงกับก้มหน้าลงและอาเจียนออกมาด้วยความรู้สึกสุดจะกลั้น ฟอร์เซ็ตติคว้าไหล่ของ โมไดและพูดขึ้นด้วยความโกรธ

“ข้าบอกว่าอย่าเพิ่ง ทำไมไม่รู้จักฟังกันบ้าง”

“แล้วจะรอให้พวกมันคลานเข้ามาออกลูกตรงหน้าประตูค่ายหรือยังไงกัน”

เด็กหนุ่มเถียง โซลย์มองดูฝูงหนอนปิศาจที่กำลังไต่คืบคลานเคลื่อนเข้ามาหา เขานิ่วหน้าเมื่อเจ้าตัวน่ารังเกียจชุดแรกเริ่มคลานขึ้นมาบนกำแพงในขณะที่อีกหลายตัวอาศัยช่องว่างระหว่างขอนไม้แทรกตัวไหลทะลักพรั่งพรูผ่านเข้ามา

“เกิดอะไรขึ้น”

บรุคซึ่งเดินขึ้นมาบนกำแพงร้องถาม แม่ทัพแห่งมอร์เซลชี้มือไปข้างหน้าแทนคำตอบ สีหน้าของผู้บัญชาการค่ายเคร่งเครียดขึ้นในทันที

“หนอนนั่นมาจากไหน”

“พวกมันตามข้ามาจากหมู่บ้านที่พบมีดของเบรฟ”  

ทหารบนกำแพงเริ่มไล่เหยียบกลุ่มหนอนผีที่ทะลักเข้ามาไม่ขาดสาย หลายคนร้องอุทานด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกสัตว์ตัวเล็กๆเหล่านั้นฝังเขี้ยวของมันลงไปในเนื้อ

“แบบนี้ไม่ไหวแน่” บรุคร้องขึ้น “รีบเอาน้ำมันร้อนๆราดลงไปโดยเร็ว”

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 16:33:23




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com