รูอาร์คประหลาดใจ เมื่อแผ่นหลังของชายวัยกลางคนที่ตนเห็นอยู่ชัดๆ บนท้องถนนแถวตลาดกลางเมืองอันตรธานหายไปท่ามกลางฝูงชน
เมื่อครู่เขายังมองอีกฝ่ายอยู่แท้ๆ แต่เผลอไปแค่แวบเดียวก็คลาดไปเสียแล้ว
ใช่ว่าชายหนุ่มผมแดงไม่ได้คาดหมายไว้ว่าอีกฝ่ายย่อมมีฝีมือขนาดไม่ปล่อยให้สะกดรอยตามได้โดยง่าย อีกทั้งการเลือกเส้นทางที่ผู้คนพลุกพล่านยิ่งเสนอแนะว่า ‘ครอม’ ต้องการสลัดหลุดจากใครก็ตามที่ติดตามมา แต่รูอาร์คก็ยังคิดว่าเขาต้องมีขีดจำกัดของมนุษย์อยู่บ้าง
ทันทีที่คิดเช่นนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาประชิดตัวจากข้างหลัง เขาตั้งท่าจะหมุนตัวกลับ พร้อมเอื้อมหามีดสั้นที่ข้างเอว...แต่ไม่ทันปลายแหลมของบางสิ่งสะกิดหลัง
มือควานพบเพียงซองหนังว่างเปล่า
มีดสั้นที่ข้างเอวของรูอาร์คอยู่ในมือของผู้โจมตีเรียบร้อย
“ง...เงินข้าอยู่ในถุงเงินที่เข็มขัด เอาไปแล้วอย่าทำร้ายข้าได้ไหม” ชายผมแดงพูดตะกุกตะกัก
“เสียใจด้วย ไอ้หนู ข้าไม่ใช่โจร” เสียงที่ดังจากข้างหลังนั้นคุ้นเคย...ตามความคาดหมาย “เจ้าสะกดรอยตามข้ามาทำไม”
“ธ...โธ่! ท่านครอมนี่เอง ตกใจหมด” รูอาร์คแสร้งหัวเราะอย่างโล่งอก “ข้าอยากคุยกับท่านมากกว่านี้สักหน่อยน่ะขอรับ พอเลิกทดสอบ ท่านก็จ้ำอ้าวออกมาไม่รอใครเลย”
“จะคุยทำไมไม่ร้องเรียก แต่เดินตามข้ามาจนถึงนี่”
“เอ้อ นั่นสิ” ชายหนุ่มหัวเราะเฝื่อนๆ “ข้าเห็นมันไกล...แล้วข้าติดนิสัยตะโกนลั่นทุ่ง เลยกลัวคนจะแตกตื่น คือข้า...ข้าเป็นพวกชอบเดินตามคนอื่นไปหาที่คุยเหมาะๆ น่ะขอรับ”
“งั้นก็ดี” ครอมเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมกับคว้าข้อมือขวาของรูอาร์คไปบิดไพล่หลัง และรุนให้เดินไปทางหนึ่ง “ตรงนั้นมีตรอกเงียบๆ แบบที่เจ้าน่าจะชอบพอดี”
ชายผมแดงได้แต่ยิ้มแหยๆ และเดินไปตามการนำของคนที่นำมีดจี้หลังตนอยู่แต่โดยดี
ที่ในตรอกเล็กๆ นั้น ชายวัยกลางคนปล่อยมือจากชายหนุ่ม และบอกให้เขาหันหน้ากลับมา แต่ยังคงยึดมีดสั้นของอีกฝ่ายไว้ และจรดคมของมันที่ลำคอของคนหนุ่มร่างสูงกว่า
ครอม...ไม่สิ...ฟีอาคราแห่ง ‘ปีกสีนิล’ ใช้มือซ้ายถือมีด แสดงว่าครั้งนี้เอาจริง
“พ่อเจ้าใช้ให้มาใช่ไหม”
รูอาร์คแสร้งทำหน้างง แม้จะนึกไว้บ้างว่าอีกฝ่ายอาจรู้ตัวจริงของเขา
“ท่านรู้ได้อย่างไรกัน”
ชายวัยกลางคนเงียบอยู่ นัยน์ตาสีฟ้าเทาจ้องตรงมาราวกับจะทะลุทะลวงยิ่งกว่าคมมีด
ชายหนุ่มยักไหล่ และตัดสินใจจะเล่นต่อไปอีกสักหน่อย
“ใช่ขอรับ พ่อข้าสั่งให้มาทดสอบ เขาเบื่อที่ข้าเดินเตะฝุ่นอยู่นานเป็นเดือน เลยไล่มาเป็นทหารเดนตายซะอย่างนั้น แล้วพ่อก็บอกว่า...ถ้าเจอใครในกองที่ดูเก่งดี ให้หาทางฝากตัวเป็นศิษย์เสียด้วยเลย ข้าถึงได้เดินตามท่านมานี่ล่ะ”
“ข้าไม่รับศิษย์ทอแหล”
รูอาร์คอ้าปากค้าง...กับคำหยาบไม่คาดฝันจากปากคนตรงหน้า ก่อนจะโอดครวญ
“ทอแหลเลยหรือ...”
“แต่ที่พ่อเจ้าสั่งมานั้นสมควรแล้ว” ฟีอาครายังพูดต่อไปอย่างเรียบเฉย “ต่อให้เป็นคนตอหลดทอแหล ก็ควรใช้ความทอแหลให้เป็นประโยชน์ ถึงอย่างนั้น สิ่งใดมีคุณอนันต์ สิ่งนั้นก็—”
“มีโทษมหันต์ ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องย้ำหรอกขอรับ” ชายหนุ่มยกสองมือขึ้น แบหราไว้ตรงหน้าอย่างจำนน “ไอ้ ‘โทษมหันต์’ ของท่านทำข้ากลัวหัวหดแล้ว ข้าพูดความจริงก็ได้”
หัวหน้าหน่วยเรเวนไม่ตอบว่าอะไร และเพียงแต่มองต่อไป จนกระทั่งรูอาร์คพูดขึ้น
“พ่อข้าสั่งให้มาสอดแนมนายของท่าน กับพวกเรเวนทั้งหมดที่มาด้วยกัน แต่ข้าไม่ได้ทำคนเดียว ป่านนี้พวกของข้าคงสะกดรอยตามคนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว ท่านเตือนใครไม่ทันหรอก”
“ไม่จำเป็นต้องเตือน เพราะงานของพวกเราไม่ใช่ความลับ” ฟีอาคราตอบ “ต่อให้รู้ว่าในฝูงมีเรเวนกี่ตัว ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเรเวนทุกตัวพร้อมปกป้องนายด้วยชีวิต และทำได้ทุกสิ่งที่นายบัญชา”
“ขอรับ ข้าเชื่อสนิทใจ” ชายผมแดงถอนใจเฮือก “ก็ออกมาจากปากของจ่าฝูงปีกสีนิลแท้ๆ นี่”
คิ้วเรียวของชายผมดำเพียงเลิกขึ้นข้างหนึ่ง
“สมกับเป็นลูกมังกรน้ำ”
“ที่รู้ว่าท่านเป็นใครน่ะหรือ” รูอาร์คทำหน้าละเหี่ยใจ “ให้ตาย...ข้าอุตส่าห์ตั้งใจจะบอกว่าชื่นชมท่านมานานแค่ไหนเชียวนะ”
“เจ้าไม่เคยพบข้า แล้วจะชื่นชมข้ามานานได้อย่างไร”
“ก็ท่านเป็นผู้ชนะในงานประลองยุทธ์ใหญ่ตั้งห้าสมัย ครั้งที่สองที่ท่านชนะ เป็นปีที่ข้าเกิดพอดี” ชายผมแดงตอบตามตรง “พ่อข้าชื่นชอบท่านมาก ถึงขั้นเขียนบทละครให้มีพระเอกควงดาบต้านน้ำได้ตามกระบวนท่า ‘ปีกสีนิล’ ของท่านเลยทีเดียว แล้วยังอุตส่าห์พาข้าเข้าไปดูท่านประลองครั้งที่ห้าจนได้ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านเข้าประลองด้วยใช่ไหมล่ะ”
ตำนานเล่าขานถึง “ฟีอาคราแห่งปีกสีนิล” เป็นส่วนหนึ่งที่น่าจดจำในชีวิตของเด็กชายที่รูอาร์คเคยเป็น
เสน่ห์ของละครคือการแสดงอันน่าตื่นตา พ่อแท้ๆ ของเขา ซึ่งเป็นนักเขียนบทละครและนักแสดง จึงได้ชอบดูการต่อสู้เป็นแรงบันดาลใจ และหาทางเบียดเสียดผู้คนเข้าไปชมการประลองยุทธ์ครั้งใหญ่ในเทศกาลลูคนาซัธ ซึ่งจัดขึ้นที่สนามประลองของพระราชวังทุกสามปี
ฟีอาครา ตัวแทนจากมณฑลอุลทูร์เป็นหนึ่งในผู้ชนะที่มีเสียงโจษจันมากที่สุด ในฐานะผู้ชนะถึงห้าสมัยซ้อน พ่อเล่าว่าฟีอาคราวัยยี่สิบสามปีได้ชัยชนะตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงประลอง โดยใช้ดาบมือซ้าย แตกต่างจากผู้เข้าประลองทั้งหมด
คงเป็นความแตกต่างนี้เอง ที่สร้างเสียงค่อนขอดว่านักรบเรเวนชนะขาดลอยเพราะได้เปรียบเป็นทุนเดิม เนื่องจากนักรบส่วนมากไม่ถนัดรับมือคู่ต่อสู้ที่ถนัดซ้าย ซึ่งหาได้ยากยิ่ง สามปีต่อมา ฟีอาคราจึงกลับลงสนามประลองด้วยดาบเดี่ยวในมือขวา และไขว่คว้าชัยชนะมาได้อีกครั้งโดยไร้ข้อกังขา
ทว่าเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ครั้งที่สามที่ฟีอาคราลงประลอง เขาพัฒนาการใช้ดาบสองมืออย่างพวกโจรสลัดจนถึงขั้นเอกอุ รวมถึงการแสดงพิเศษซึ่งแฟคท์นาทูลเสนอต่อหน้าพระที่นั่งอย่างภูมิใจ
นั่นคือกระบวนท่า ‘ปีกสีนิล’
เป็นกระบวนท่าที่ไม่มีสิ่งใดซับซ้อนยุ่งยาก ทว่าน่าตื่นตาในความเรียบง่ายถึงที่สุด ฟีอาคราควงดาบทั้งสองมือรวดเร็วปานกังหันต้องพายุ หรือนกกระพือปีก ปัดป้องน้ำซึ่งถูกสาดเข้าใส่ตนเองเป็นถังๆ ได้โดยไม่เปียกเลยแม้แต่นิดเดียว
ชายหนุ่มยังคงลงประลองต่อมาอีกสองครั้ง โดยใช้ดาบมือซ้ายบ้าง มือขวาบ้าง หรือทั้งสองมือตามแต่อัธยาศัย ก่อนจะถอนตัวไม่ลงประลองเป็นครั้งที่หก ในปีที่ตนมีอายุสามสิบแปดถ้วน ซึ่งยังเป็นปีสุดท้ายที่มีการประลองยุทธ์ครั้งใหญ่ชองธีร์ดีเร ก่อนที่การลอบปลงพระชนม์ในอีกสองปีต่อมาจะทำให้งานสมโภชทั้งมวลถูกยกเลิกไปโดยไม่มีกำหนด
“เจ้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเจ้ามณฑล?” เสียงถามของหัวหน้าหน่วยเรเวนดึงความคิดของรูอาร์คกลับขึ้นจากความหลัง
“โห...หน้าตาข้าหล่อกว่าลุงมังกรตะไคร่เกาะตั้งเยอะ ท่านน่าจะมองออกตั้งนานแล้วนา” ชายผมแดงทำหน้าซังกะตาย เมื่อสีหน้าของอีกฝ่ายยังไม่แปรเปลี่ยน “...ท่านนี่ไม่รับมุกเอาเสียเลย”
ฟีอาคราจ้องมองรูอาร์คอยู่อีกครู่หนึ่ง จึงได้เอ่ยเรียบๆ
“เจ้าพูดความจริง”
“ใครเขาโกหกเรื่องนี้กันบ้างเล่า” ชายหนุ่มอุทธรณ์ “ท่านปฏิเสธได้หรือว่าข้าไม่หล่อ—เอ่อ ข้าจะเอาจริงแล้วขอรับ”
มีดในมือของจ่าฝูงเรเวนซึ่งกดเข้ามาใกล้เพราะคำยวนถอยออกห่าง ให้กระรอกแดงได้หายใจคล่องคอขึ้นบ้าง
“แม่ข้าเป็นน้องสาวของมังกรน้ำ ส่วนพ่อแท้ๆ ข้าชื่อคริสเตอร์ ถ้าไม่โดนนักเลงแทงตายในร้านเหล้า ป่านนี้คงเป็นนักแต่งบทละครชื่อดังก้องธีร์ดีเร อย่างอิเลียมแห่งโรงละครเถระดำไปแล้ว ตอนพ่อแม่ข้าตาย ข้ายังคิดจะเดินเท้าเปล่าไปจนถึงอุลทูร์ เพื่อขอเข้าหน่วยเรเวนเป็นศิษย์ท่านเลย ...ถ้าไม่โดนไอ้พวกขโมยมันดึงตัวไว้ แล้วลุงข้าก็เก็บกลับมาชุบตัวเสียก่อน”
รูอาร์คพูดออกไปตามตรง เพราะไม่คิดว่าคนอย่างฟีอาคราจะนำความจริงนี้ไปบอกต่อคนอื่นเพื่อเล่นงานตนแต่อย่างใด และอีกฝ่ายก็ดูจะไม่ใส่ใจ...ว่าหากชายหนุ่มซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทายาทที่เหลืออยู่คนเดียวของเจ้ามณฑลยาร์ลาธถูกเปิดโปงชาติกำเนิดว่าเป็นเด็กนอกชนชั้น ผลจะออกมาเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายของนายตนอย่างไร
“ข้าไม่มีเวลาเล่นหัวกับเจ้า” ชายวัยกลางคนพูดขึ้น ก่อนจะพยักพเยิดไปทางปากตรอก และขว้างมีดของรูอาร์คไปทางนั้น มันร่วงบนพื้นห่างออกไปราววาหนึ่ง “ไปเสีย และอย่าได้ตามมาอีก”
ชายหนุ่มไม่คิดจะฝ่าฝืน ทั้งเพราะไม่ได้ต้องการล้วงข้อมูลจากอีกฝ่ายมากไปกว่านี้ และยังคงห่วงสวัสดิภาพในชีวิตอยู่ จึงได้เดินไปเก็บมีดของตน กระนั้นยังไม่วายเหลียวกลับไป
และพบว่าไม่มีใครอยู่ที่ในตรอกนั้นอีกแล้ว
อีกาผีรึไงนั่น... รูอาร์คนึกอยู่ในใจ
* * * * *
เมื่อดูลัสตื่นขึ้น เขาก็เห็นฟ้านอกหน้าต่างกลายเป็นสีม่วงส้ม ชายหนุ่มสบถก่นด่าตนเองอยู่ในใจขนานใหญ่ รวมถึงลามไปตำหนิเกอร์มอนซึ่งนั่งเฝ้าตนอยู่หน้าประตูห้องมาโดยตลอด และรีบลุกขึ้นยืนมารับคำสั่ง
“ข้าหลับไปนานเท่าไร”
“หนึ่งคืนกับหนึ่งวันเต็มๆ ขอรับ”
“แล้วทำไมไม่ปลุก เกิดพวกศัตรูมันลงมือทำอะไรขึ้นมาจะเป็นอย่างไร”
“ท่านหัวหน้าสั่งงานให้พวกเราทุกคนแยกย้ายไปจับตามองแล้วขอรับ และให้ข้าอารักขาท่าน ท่านหัวหน้าบอกว่าไม่ต้องปลุก แต่รอให้ท่านตื่นขึ้นมาเอง”
ดูลัสตั้งท่าจะพูดต่อไปว่าหากเกอร์มอนเฝ้าอยู่เพียงคนเดียว แล้วพวกศัตรูยกพลมาจับกุมหรือลอบสังหารเขาจะเป็นอย่างไร แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่ามังกรน้ำย่อมไม่ทำอะไรเอิกเกริกเช่นนั้น
หากว่าพระคู่หมั้นดูลัสถึงแก่ความตายหรือหายสาบสูญไปในยาร์ลาธ เจ้ามณฑลเบเรคจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อีก และชาวอุลทูร์ทั้งมวลก็จะเห็นคนยาร์ลาธเป็นศัตรูในทันที
กระนั้น ดูลัสก็เกลียดความรู้สึกเช่นนี้ ...ความรู้สึกที่ว่ามีเรื่องที่ตนไม่รู้ หรือมีสิ่งที่ตนพลาดไปกับเวลาที่ล่วงเลย ...เวลาซึ่งเขาควรตื่นอยู่ และจัดการทุกสิ่งให้เรียบร้อยด้วยตนเอง
ครั้นเห็นเขาเงียบอยู่ เกอร์มอนก็ถามว่าจะให้สั่งอาหารหรือไม่ ชายหนุ่มไม่รู้สึกหิว แต่ก็รู้ว่าควรเตรียมร่างกายให้พร้อมรับทุกสถานการณ์ จึงได้ตอบรับ
แล้วคนสนิทจึงได้ออกไปจากห้อง แต่เปิดทางให้ใครอีกคนเข้ามาเฝ้าแทน
“อาจารย์” ดูลัสทักชายคนนั้น
“สีหน้าของท่านยังไม่สู้ดี” ฟีอาครานั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งเกอร์มอนเคยนั่ง และเอ่ยเสียงเรียบเช่นเคย “เมื่อกินอิ่มแล้วก็รีบนอนพักอีกสักคืนเถอะ”
“ข้าว่าข้านอนมากเกินไปแล้ว”
“ไม่มีคำว่า ‘มากเกินไป’ สำหรับกายและใจที่อ่อนล้า”
คำคมอีกแล้ว... มีหลายครั้งที่ดูลัสนึกทึ่งกับวาจาของครูดาบตน แต่เวลานี้เขาต้องห้ามความรำคาญ
“ข้าไม่เหนื่อย หรือต่อให้เหนื่อย ก็ไม่ควรจะหลับจนเสียเวลาไปวันเต็มๆ อย่างนี้” ชายหนุ่มพูดไปแล้วก็ฉุกคิดได้...ว่าตนไม่ควรจะหลับยาวนานขนาดนี้ได้ด้วยตนเอง “ท่าน...วางยาข้าหรือ”
ฟีอาคราเพียงพยักหน้าเรียบๆ แต่กลับยังให้คนหนุ่มเกิดโทสะขึ้นมา และต้องข่มมันไว้อย่างยากเย็น
“หากท่านไม่ได้กลิ่นไหม้ของใบยาในอาหาร ประสาทรับรู้ย่อมล้าจนสมควรพักผ่อนยิ่งแล้ว ต่อให้ตื่นเร็วกว่านี้ ก็อาจไม่มีประโยชน์อะไร คนเหนื่อยอ่อนว้าวุ่น โอกาสตัดสินใจผิดพลาดย่อมมากเป็นเท่าทวี” ชายวัยกลางคนอธิบาย “ทั้งพระมหาเถระ และครอบครัวคนทรายที่ท่านอยากพบย่อมไม่เร่งหนีหายไปไหน และข้าเห็นด้วยกับเจ้ามณฑลยาร์ลาธ หากเจ้าหญิงเสด็จมาที่นี่จริง ย่อมหาทางติดต่อท่านผู้สำเร็จราชการโดยเร็ว เมื่อทรงทราบว่าท่านมาถึงที่นี่ มีหรือจะไม่ให้เข้าเฝ้า”
หัวหน้าหน่วยเรเวนสรุปให้เสร็จสรรพ กระทั่งดูลัสได้แต่ถอนใจอย่างจำนน
“ท่านเฝ้าอยู่ข้างนอกตลอดหรือ” ชายหนุ่มตั้งคำถาม
“เปล่า เมื่อเช้าข้าไปพบพ่อของเด็กคนทรายนั่นมา”
นัยน์ตาของผู้ฟังเบิกกว้างขึ้นทันที ขณะที่ฟีอาคราเล่าต่อไปอย่างเรียบเฉย ถึงเรื่องการคัดเลือกสมาชิกหน่วยย่อย และการประลอง
“ที่เกอร์มอนพูดไว้นั้นไม่ผิด เขาอาจเอาชนะข้าได้”
“นั่นเพราะท่านใช้ดาบแค่มือขวาไม่ใช่หรือ” ดูลัสรีบแย้ง
“เขาเองก็ไม่ได้ใช้ดาบที่ถนัด”
“แต่ถ้าเป็นเพลงดาบปีกสีนิล...” ชายหนุ่มนึกภาพอาจารย์ของตนควงดาบทั้งสองมือรวดเร็วปานจักรผัน กระทั่งไม่อาจมีสิ่งใดเล็ดลอดผ่านเข้าไปได้ แม้แต่น้ำสักหยด
“แม้เพลงดาบปีกสีนิลก็มีช่องว่างสำคัญ แต่เอาเถิด นั่นคือสิ่งที่ท่านควรรู้เมื่อฝึกฝนไปถึงขั้นนั้น” ฟีอาคราเปลี่ยนเรื่องในทันใด “พรุ่งนี้ ท่านคิดว่าจะทำอะไร นอกจากพบพระมหาเถระลูเธียน”
เมื่อวาน เขาประชุมกับอาจารย์แล้ว และมอบหมายให้นักรบหน่วยเรเวนคนหนึ่งเดินสารไปยังอารามใกล้หมู่บ้านอาแดร์ เพื่อขอนัดหมายเข้าพบพระมหาเถระในวันรุ่งขึ้น แต่นอกจากนั้นก็ยังไม่มีเป้าหมายใด
“ท่านมีอะไรจะเสนออย่างนั้นหรือ”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า
“หลังการประลอง ข้าได้พูดคุยกับซิอ์บุลเล็กน้อย และบอกว่าพรุ่งนี้เราจะแวะไป ‘ดื่มน้ำชา’ ที่บ้านของเขา”
ดูลัสเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เขาตะลึงงันจนแทบไม่ได้ยินคำพูดต่อมา
“เขาบอกว่าพรุ่งนี้เด็กคนทรายนั่นยังต้องไปทำงานที่ศาลาเมือง คงจะไม่ได้อยู่พบท่าน แต่ท่านก็ไม่ได้อยากพบมันอยู่แล้วสินะ”
* * * * *
คนเขียนขอคุย
การต่อสู้ของซิอ์บุลกับฟีอาคราเป็นเรื่องนึกยากในทีแรก ว่าจะทำยังไงถึงแสดงความเทพของทั้งสองคนออกมาได้ ...เลยให้รูอาร์คที่เป็นคนมองเห็นว่า “ร...เร็ว” แล้วก็จบแบบค้างคา เรียกไม่ได้ว่าใครแพ้ใครชนะจริงๆ ไปซะงั้นเลย ^^a
ส่วนตัวผมได้แรงบันดาลใจมาจากเกมตระกูล Gensou Suikoden หรือร้อยแปดผู้กล้าเขาเหลียงซานฉบับแฟนตาซี ซึ่งในฝ่ายศัตรูก็มักจะมีคนที่ไม่ได้เลวร้าย แต่ต้องมาอยู่ตรงข้ามกันตามหน้าที่อยู่ด้วย เช่นในภาคสองก็มีเรื่องเล่าว่าพ่อบุญธรรมของพระเอกกับแม่ทัพศัตรูเป็นเพื่อนกัน ถึงขั้นช่วงพักรบยังมานั่งก๊งเหล้ากันที่เขตกึ่งกลางเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกของซิอ์บุลกับฟีอาคราคงเป็นเสียดายเหมือนกัน ที่ต้องมายืนฝ่ายตรงข้ามกันอย่างนี้
ด้านของอาเมียร์กับแอชก็เริ่มอธิบายเรื่องเวทมนตร์มากขึ้น แต่เรื่องวิญญาณรับใช้ของมาดายนั้นก็คงจะต้องรอดูต่อไป ว่าที่จริงแกเก็บใครหรืออะไรไว้บ้าง คิดอยู่ว่าถ้าไม่บอกแล้วมาเจอน่าจะช็อคดี แต่อาเมียร์คงไม่อยากให้แอชต้องช็อคไปกว่านี้แน่ๆ ถึงได้คิดว่าควรพูดไว้ก่อน
ฉากฟีอาครากับรูอาร์คก็มีไว้แสดงความเมพของลุง (???) อีกแล้ว =w= เผยเรื่องเบื้องหลังของฟีอาคราอย่างค่อนข้างละเอียด แล้วก็เฉลยชื่อพ่อของรูอาร์ค นักเขียนบทละครคริสเตอร์ (Criostoir) ผู้ถูกแทงตายในร้านเหล้า ได้ชื่อมาจากชื่อสำเนียงไอริชของคริสโตเฟอร์ และต้นแบบของเขาก็คือ Christopher Marlowe นักแต่งบทละครร่วมสมัยกับเช็คสเปียร์ มาร์โลว์เป็นคนแต่งเรื่อง Doctor Faustus ว่าด้วยปีศาจเมฟิสโตเฟเลส กับเฟาส์ตัส ผู้ทำสัญญากับปีศาจ (นับว่าเป็นต้นแบบของเรื่อง Faust ของเกอเธ่ ซึ่งสาวน้อยเวทมนตร์มาโดกะนำมาใช้จนลึกซึ้งกันไปถึงตับและเซ่งจี๊กันเลยทีเดียว) กล่าวกันว่าถ้ามาร์โลว์ไม่อายุสั้นละก็ คงจะเป็นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกับเช็คสเปียร์อย่างน่าดูชมเลยทีเดียว
และอีเลียม (Uilliam) แห่งโรงละครเถระดำ ก็มาจากวิลเลียม เช็คสเปียร์คนดัง กับโรงละคร The Black Friars ซึ่งอยู่ในสังกัดหุ้นส่วนโรงละครของเช็คสเปียร์ในสมัยหลังๆ นี่เองครับ
ท้ายที่สุดของตอนนี้ ทั้งดูลัสกับเคียราพร้อมใจกันนอนทั้งวันโดยไม่ได้นัดหมายเลยแฮะ (ฮา)
แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 14:09:41
แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 54 16:59:28
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
วันจักรี 54 01:16:38
|
|
|
|