สวัสดีวันจักรีครับ ก่อนไปงานสัปดาห์หนังสือเลยแวะเข้ามาจัดการตอนที่ 10 ให้เรียบร้อย เลยขอโพสต์ตอนเดียวไปก่อนนะครับ แล้ววันจันทร์นี้ผมจะลงต่อไปเลย 2 ตอนรวดครับ
สำหรับ สาปพิษฐานตอนที่ 8-9 ครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10402864/W10402864.html
ในแสงไฟระยิบระยับของถนนคนเดิน เสียงเพลงกระหึ่มไปทั่วบริเวณ ศาปานต์หยุดยืนอยู่หน้าร้านขายกระเป๋าสานเรียงรายอยู่บนแผงโดยที่สิชลกำลังง่วนกับการเลือกซื้อและต่อราคาสินค้านานาชนิดอย่างสนุกสนาน
หล่อนเหลือบมองเห็นใครคนหนึ่งในท่ามกลางผู้คนมากมายเหล่านั้น ทันทีที่สายตารับภาพได้เต็มที่ ศาปานต์ถึงกับตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป
พี่ปอ!!
ปรมายิ้มน้อยๆ เรือนผมยาวสลวยเป็นมันขลับรับกับแสงไฟหลายร้อยพันดวงรอบด้าน เพียงเสี้ยวหน้าที่ผินกลับไปแทบจะทำให้หัวใจของหล่อนหล่นวูบ ปรมากำลังจะเดินจากไป...
เดี๋ยว...
มือของหล่อนถูกจับเอาไว้พอดี สิชลทำหน้าสงสัย คราวนี้หล่อนรู้แล้วว่าจะพูดอย่างไรมิให้เกิดพิรุธ
ป่านจะไปห้องน้ำหน่อยน่ะ เดี๋ยวมา แล้วเราค่อยเจอกัน
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยต่อ ศาปานต์เร่งฝีเท้าตามร่างที่มองเห็นเพียงชั่วคล้อยหลังไปอย่างรวดเร็ว หล่อนเบียดตามฝูงชนที่คับคั่งตลอดเส้นทางเดินเล็กๆที่จัดเป็นเทศกาลแห่งนี้ตรงไปยังฝั่งถนนด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว และเมื่อข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งก็มองเห็นปรมาเดินลิ่วผ่านเนินขึ้นไปยังวัดด้านบน
พี่ปอ... รอป่านด้วย
ร่างเพรียวระหงของปรมาคล้ายลอยเลื่อนพลิ้วไหวไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงแผ่นหลังตรงค่อยๆก้าวขึ้นไปเรื่อยๆสู่ปลายเนินด้านบนโดยที่หล่อนเป็นฝ่ายหอบหายใจหนักหน่วงจากการวิ่งตามสุดชีวิต สังหรณ์บอกศาปานต์ว่าปรมาต้องการจะมาบอกอะไรบางอย่าง... แทนที่จะเกิดความหวั่นกลัว มันกลับเติมพลังให้หญิงสาวเร่งฝีเท้ามากขึ้นไปอีก
พี่ปอ...
ลานวัดแห่งนั้นเงียบสงัด มีเพียงแสงไฟจากโบสถ์ส่องมาเพียงสลัวๆและอาคารอีกหลังหนึ่งที่สร้างเยื้องกันอยู่ออกไป หล่อนเดินกวาดสายตามองหาอย่างน้อยก็รู้สึกว่าบริเวณนั้นหาได้เปลี่ยวเกินไปไม่ เมื่อมองจากยอดเนินลงไปยังเห็นกลุ่มคนพลุกพล่านบนถนนสายเบื้องล่าง
โดยไม่รู้ตัวศาปานต์ทอดฝีเท้ามาหยุดลงที่หน้าอาคารหลังหนึ่งที่มีเพียงแสงไฟส่องวาววามออกมา ประตูที่เปิดกว้างคล้ายเชื้อเชิญอาคันตุกะสาวให้ก้าวเข้าไปด้านใน เมื่อนั้นเองเด็กสาวจึงมองเห็นว่าภายในอาคารแห่งนั้นจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขนาดย่อม เรียงรายด้วยวัตถุโบราณต่างๆมากมาย ทั้งถ้วยชามกระเบื้องเคลือบในยุคสมัยก่อน ลูกปัดโบราณ รวมถึงเครื่องประดับข้าวของมีค่าหลากหลายชนิดตั้งแสดงและบรรจุในตู้กระจกตลอดแนวทางเดินอันยาวเหยียดเหมือนกับไม่มีที่สิ้นสุด ศาปานต์หันมองรอบกาย
และพบว่ามีเพียงหล่อนเท่านั้นที่กำลังเดินอยู่ภายในอาคารหลังนี้!! หากยังไม่ทันคิดอะไรต่อไป ประกายแสงเจิดจ้าจากมุมด้านในสุดของอาคารหลังนั้นก็เปล่งแสงวูบวับจนนัยน์ตาพร่าพราย สิ่งนั้นเองที่เป็นเสมือนพลังดึงดูดมหาศาลเหนี่ยวรั้งให้หล่อนจำต้องเดินตรงไปยังเบื้องหน้าโดยมิอาจถอยกลับ ศาปานต์ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ทีละก้าว...
******************** พี่อาจ ร้อยตำรวจเอกองอาจ สหายรุ่นพี่ที่ถูกส่งไปประจำการยังพื้นที่สามจังหวัดชายแดนก้าวออกมาจากดงไม้ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ผิดแผกไปจากองอาจ นายตำรวจหนุ่มที่ร่าเริงเป็นปกติวิสัยอย่างที่เขาคุ้นเคย การนัดพบกันในวันนี้ไม่ใช่เรื่องผิดคาดหมายสำหรับพระแสง เพียงแต่ไม่นึกว่าจะเป็นสถานที่ห่างไกลชุมชนและลับตาผู้คนถึงขนาดนี้เท่านั้น อั๊วมาตามสัญญา
องอาจเอ่ยเสียงเคร่งเครียดจริงจัง มือต่อมือกระชับกันแนบแน่นนัยน์ตานายตำรวจรุ่นพี่ทอประกายเจิดจ้าแข่งกับแสงดาวดารดาษบนฟากฟ้า เขามองเห็นความเจ็บปวดปรากฏอยู่กลางดาวในดวงตาคู่นั้น แน่นอน มันเป็นความเจ็บปวดจากการถูกสั่งย้ายอย่างไม่เป็นธรรมและเต็มไปด้วยข้อครหาจากผู้ที่ไม่รู้ความจริง นั่นเป็นเพราะเขาไว้วางใจคนบางคนมากเกินไป และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขาแทบสูญเสียอนาคตทั้งชีวิต ความหวังทั้งหมดจึงฝากอยู่ที่พระแสง เพื่อนรุ่นน้องที่มารับช่วงต่อโดยบังเอิญที่สุด พระแสงเป็นนายตำรวจดีเด่นที่มีประวัติและชื่อเสียงไม่เคยด่างพร้อยใดๆ จุดนี้เองที่ทำให้เขามั่นใจในตัวชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น เขาติดต่อกับพระแสงมาสักระยะแล้ว เพื่อพยายามเก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของโกสุ่นจนทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ และกำลังจะส่งมอบให้กับผู้ที่เขาไว้ใจมากที่สุด หวังแต่ว่าชายหนุ่มจะช่วยล้างมลทินและทำให้ศักดิ์ศรีนายตำรวจมือสะอาดอย่างผู้กององอาจได้กลับคืนมาอีกครั้ง... องอาจล้วงมือลงไปในกระเป๋าแจ็คเก็ตอย่างมั่นใจแล้วยื่นมันส่งออกมาให้เพื่อนนายตำรวจ แววตาคู่นั้นเปล่งประกายเรืองรองด้วยความหวัง ข้อมูลทุกอย่าง เก็บเอาไว้ภายในนี้หมดแล้ว อั๊วไม่กล้าพูดกับลื้อตรงๆทางโทรศัพท์หรือส่งให้ลื้อทางไฟล์อีเมล์ ระดับความปลอดภัยยังต่ำมากในกรณีที่ถูกแฮ็คจากฝ่ายตรงข้าม แฟลชไดรฟ์ (Flash drive) ในมือพระแสงเย็นเฉียบราวกับแช่ด้วยน้ำแข็ง ชายหนุ่มคลึงมันเล่นอยู่ในกำมือและพยักหน้ารับ เขาเห็นสีหน้านายตำรวจรุ่นพี่หมองคล้ำแตกต่างจากที่คุ้นเคยราวกับเป็นคนละคน ใจหนึ่งอยากจะถามถึง ผู้อยู่เบื้องหลังที่องอาจเก็บข้อมูลเอาไว้ในแฟลชไดรฟ์ผู้นั้นให้กระจ่างแจ้งไปในบัดนี้ แต่ท่าทางอีกฝ่ายคล้ายต้องการจะปิดปากเงียบโดยไม่พูดรายละเอียดใดๆออกมาเสียมากกว่า องอาจตอบเบาๆราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในใจของเขาแล้ว ไม่ต้องถามอะไรทั้งสิ้นพระแสง ทุกอย่างอั๊วบันทึกทุกอย่างเอาไว้ในนี้หมดแล้ว ยิ่งพูดออกไปเรายิ่งไม่รู้ว่ามันจะเล็ดลอดออกไปถึงหูพวกมันมากน้อยแค่ไหน และนั่นก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อลื้อมากขึ้นเท่านั้น ขอเพียงเปิดจากแฟลชไดรฟ์ที่อั๊วให้ไป ทดสอบความถูกต้องอีกครั้ง มันจะเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดสำหรับการมัดตัวไอ้คนชั่วพวกนั้นให้ดิ้นไม่หลุด พระแสง ลื้อเป็นคนเดียวเท่านั้นที่อั๊วเชื่อใจ!
ความรู้สึกตื้นตันใจแล่นตื้อขึ้นมาจุกแน่นที่ลำคอจนนายตำรวจหนุ่มแทบจะเอ่ยคำออกมาไม่ได้
โอเคครับ ผมจะทำเต็มที่เพื่อช่วยพี่ให้ได้ ผมเชื่อว่าพี่อาจไม่ได้เป็นอย่างข้อกล่าวหาเลวๆพรรค์นั้น นัยน์ตาผู้กองจากโคกโพธิ์หล่อรื้นด้วยน้ำใสๆขังคลอเบ้าตา เขาขบกรามจนแน่นเพื่อระงับความสะเทือนใจแล้วตบบ่านายตำรวจรุ่นน้องเบาๆเป็นเชิงขอบใจ ถ้างั้น อั๊วต้องไปก่อนล่ะแสง จากนี่ลงไปปัตตานีอีกไกลเหลือเกิน นี่อั๊วก็ต้องลางานมาเพื่อมาพบลื้อโดยเฉพาะ ขอบใจมากว่ะน้องรัก จะไม่มีวันลืมน้ำใจของลื้อไปเลยชั่วชีวิต! ยังไม่ทันที่ผู้กององอาจจะหันกลับไป เสียงหนึ่งก็ดังแหวกอากาศขึ้นในความเงียบเพียงครั้งเดียว หากก็ด้วยสัญชาตญาณทำให้พระแสงร้องตะโกนออกไปสุดเสียง พี่อาจ ระวัง แต่ช้าไปเสียแล้ว เมื่อเสียงกัมปนาทนั้นพุ่งเป้ามายังร้อยตำรวจเอกองอาจโดยเฉพาะ และมันก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีโดยไม่พลาดเป้า เปรี้ยง!!
****************************** สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้า ประทับสายตาเด็กสาวจนทำให้ศาปานต์ถึงกับยืนตะลึงงันด้วยความพิศวง แสงรัศมีสีเงินยวงส่องประกายเรืองรองแท้จริงแล้วมันเปล่งผ่านแก้วผลึกที่เจียระไนเป็นรูปเรือนหลังน้อย ประดิษฐานเด่นสง่าอยู่บนตั่งทองรองรับอันล้ำค่า และเป็นสิ่งซึ่งคุ้นตาคุ้นใจราวกับเคยพานพบมาก่อนในห้วงอดีตเวลาอันยาวนานแสนนานเกินความทรงจำจักจารจารึก ติกาหลังปัตรา!! มิรู้ว่าเปล่งคำนั้นออกไปได้อย่างไร สำเนียงรัวลิ้นในตอนท้ายเป็นจังหวะจะโคนอย่างเคยคุ้น เหมือนกับมันถูกฝังตรึงอยู่ในอนุสติส่วนลึกสุดของชีวิต ด้วยมืออันสั่นเทา ศาปานต์เผลอเอื้อมมือออกไปเพื่อสัมผัสเรือนแก้วผลึกเบื้องหน้าราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ ศาปานต์... เสียงเรียกจากเบื้องหลังทำให้หล่อนสะดุ้งสุดตัวจนต้องหันกลับมา มองเห็นเงาตระหง่านเงื้อมของใครคนหนึ่งยืนทะมึนอยู่แล้ว เขาก้าวผ่านแสงโคมไฟสีเหลืองนวลเข้ามาจนใกล้ ใกล้พอที่หล่อนจะมองเห็นได้ชัดเจน ศาปานต์อุทานอย่างมิคาดฝัน คุณสิงหบดี ใบหน้าคมสันได้รูปราวสลักขึ้นด้วยฝีมือประติมากรเอกจนหาที่ติมิได้เบิกรอยยิ้มขึ้นคล้ายการทักทาย เขายืนห่างในระยะพอเหมาะด้วยท่าทางสุภาพสำรวม ขอต้อนรับสู่พิพิธภัณฑ์วัดแก้วครับ วัดแก้ว? ที่คุณป่านขึ้นมา เป็นพิพิธภัณฑ์ของวัดแก้วโกรวารามครับ เป็นโชคดีเหลือเกินที่มีโอกาสได้พบกับคุณป่านอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลของเขาชวนฟังราวกับกำลังเพลินกับเสียงสูงๆต่ำๆของเครื่องดนตรีที่ประสานจังหวะกันได้อย่างพอเหมาะ แล้วนี่... หล่อนถามขึ้นด้วยความสงสัย เรือนแก้วผลึกหลังน้อยคล้ายจะราแสงหม่นลงเล็กน้อยเมื่อมีบุคคลที่สองเข้ามาร่วมด้วย นัยน์ตาของอีกฝ่ายวาววับขึ้นอย่างที่หล่อนอ่านไม่ออก คุณก็รู้จักสิ่งนี้ดีอยู่แล้วนี่ครับ เรือนแก้วติกาหลังปัตรา ทำไมคุณสิงห์พูดอย่างนั้นล่ะคะ? ป่านเพิ่งเคยเห็นเรือนแก้วหลังนี้เป็นครั้งแรก มันสวยมากเหลือเกิน เมื่อครู่ผมได้ยินคุณเอ่ยถึงชื่อนี้ออกไป ศาปานต์... คุณแน่ใจว่าไม่เคยเห็นติกาหลังมาก่อนเลยหรือ?
น้ำเสียงนั้นคล้ายมีแววตัดพ้ออยู่ในที ศาปานต์สั่นศีรษะพยายามปฏิเสธอารมณ์ความรู้สึกเมื่อครู่ว่ามันคงเป็นความเพ้อฝันของหล่อนไปเองเสียมากกว่า คุณรู้จักเรือนแก้วติกาหลังปัตรานี่ด้วยหรือคะ? จู่ๆหล่อนก็ถามเขาออกไป รู้สึกเหมือนคำตอบหลายอย่างที่สงสัยกำลังจะปรากฏออกมาจากชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ น่าแปลกในบรรยากาศอันเงียบสงัดราวปราศจากผู้คนใดๆทั้งสิ้น เด็กสาวกลับมิรู้สึกตื่นกลัวหวาดหวั่น ศาปานต์กลับมั่นใจในตัวบุรุษหนุ่มปริศนาเบื้องหน้านี้โดยไม่มีข้อกังขาทุกประการ สิงหบดีพยักหน้าน้อยๆมองเห็นไรเคราเขียวจางบนสันคางคมสันได้รูป ถูกต้องแล้วครับนี่คือ ติกาหลังปัตรา... ติกาหลังคือเรือนแก้ว ปัตราคือความหมายแห่งความมหัศจรรย์ล้ำค่าสมดังฉายานามที่เรียกขาน นี่คือของคู่บุญบารมีอันวิเศษของเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งแห่งอาณาจักรอันยาวนานแสนนานจากห้วงอดีตกาล... อดีตที่ถูกลบเลือนไปด้วยกาลเวลา จาก เจ้าหญิงผู้ทรงมีนามว่า ระเด่นติกาหลังหนึ่งหรัด!!
*********************
เปรี้ยง!! โดยไม่รอให้เสียงกระสุนนัดที่สองดังขึ้น พระแสงชักปืนพกออกมาแล้วเหนี่ยวไกออกไปตามสัญชาตญาณในทิศทางของเสียงปืนแรกทันที แสงเพลิงวาบขึ้นจากปลายกระบอกปืนพร้อมกัมปนาทของมัน ทำให้เกิดเสียงเคลื่อนไหวจากพุ่มไม้ด้านนั้นดังคาด นายตำรวจหนุ่มรีบพุ่งตัวตรงไปยังตำแหน่งที่สังเกตเห็นอย่างรวดเร็วโดยไม่พรั่นพรึงภยันตรายข้างหน้าแม้แต่น้อย เฮ้ย! หยุด เดี๋ยวนี้ เขาร้องตะโกนออกไปในความเงียบสงัดได้ยินแต่เสียงลมพัดไหวรอบด้าน เงาดำทะมึนเงาหนึ่งกำลังพยายามพุ่งตัวเบี่ยงหลบอย่างรวดเร็วและชำนาญเส้นทางไปตามแนวป่าหญ้าที่รกทึบด้วยอาการร้อนรน เห็นเพียงพงลำต้นสูงเพรียวส่ายไหวไปตามระยะทางที่มันเคลื่อนตัวเท่านั้น เสียงปืนดังสวนมาห่างๆ บอกให้รู้ว่ามันเองก็ยิงสะเปะสะปะออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้เขาติดตาม แต่มันก็ประเมินความตั้งใจของเขาผิดไป พระแสงไม่เคยยอมแพ้หรือพรั่นพรึงต่ออาวุธสังหารเบื้องหน้า ในชีวิตการทำงานในสถานการณ์เสี่ยงอันตราย เขาเคยเผชิญหน้ากับความตายชนิดเฉียดฉิวมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง จนสิ่งเหล่านี้มิใช่อุปสรรคต่อการทำงานของเขาอีกต่อไป
ผู้กองหนุ่มเดนตายตัดสินใจวิ่งลุยตรงไปตามแนวคันดินด้านข้าง ผ่านแนวต้นปาล์มขนาดสูงละลิ่วแล้วกระโจนพรวดลงไปสู่ลานดินเฉอะแฉะ มองเห็นพงหญ้าถูกแหวกเป็นทางและรอยเท้าบนพื้นโคลน หากยังไม่ทันจะไปถึงเสียงสตาร์ทรถก็ดังขึ้น และแสงไฟจากหน้ารถมอเตอร์ไซค์บนเนินดินฝั่งถัดไปก็สว่างจ้าจนนัยน์ตาพร่าไปชั่วขณะ วาบเดียวเมื่อเครื่องยนต์ถูกเร่งสปีดสุดแรงและวิ่งตะบึงไปตามคันดิน ชายหนุ่มตามขึ้นมาทันเห็นร่างของมือปืนกระโดดขึ้นไปซ้อนด้านหลังคนขับที่เตรียมรออยู่แล้วอย่างรู้งาน เขายกปืนขึ้นอีกครั้งเพื่อเตรียมเล็ง แต่ระยะทางที่อยู่ห่างออกไปเกินกว่าความแม่นยำ ทำให้ต้องลดไกลงด้วยความเสียดายสุดแสน เห็นแต่เพียงดวงไฟท้ายรถกระพริบวูบและค่อยๆทิ้งห่างออกไปจนลับดงไม้ไปในที่สุด ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสียที่ปล่อยให้ตัวการสำคัญพลาดมือไปอย่างหวุดหวิด และเมื่อนั้นเอง เขาจึงรีบย้อนกลับไปหาผู้กององอาจที่บาดเจ็บอยู่ พี่อาจนอนพิงต้นปาล์มขนาดใหญ่ มือข้างหนึ่งกุมตำแหน่งทรวงอกเอาไว้ พยายามสูดลมหายใจแห่งชีวิตเข้าไปอย่างเหนื่อยอ่อนรวยริน ในแสงสลัวแห่งรัตติกาลเขามองเห็นบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยดวงเลือดสีคล้ำและมันก็กำลังแผ่ขยายกว้างออกเรื่อยๆเหมือนกับไม่มีที่สิ้นสุด องอาจยกมือข้างที่เหลือขึ้นห้าม เมื่อเขาพยายามจะพยุงร่างไปที่รถ ไม่ต้อง... แสง อั๊วรู้สภาพตัวเองดี ด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น ผู้กองหน่มใหญ่แห่งโคกโพธิ์พยายามเปล่งออกมาอย่างเชื่องช้าเต็มทน แสงจันทร์ซีดจางส่องใบหน้านั้นผ่านใบปาล์มลงมา ปรากฏสีขาวโพลน และนัยน์ตาที่เริ่มพร่าลงจนมองเห็นละไอแห่งมรณะปรากฏอยู่ภายในนั้น อั๊วคงจะ... ไม่รอดแล้ว ต้องขอร้องลื้อ เพียงอย่างเดียว... สัญญาได้ไหมวะ พระแสง ชายหนุ่มรีบประคองช้อนร่างนั้นที่เริ่มสั่นกระตุกน้อยๆ ริมฝีปากเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดแต่ผู้กององอาจก็ยังพยายามจะฝืนพูดออกมา เขามองเห็นหัวใจเหล็กเพชรของอีกฝ่ายที่กระจ่างชัดเจนเหนือยิ่งกว่าครั้งใดๆ พี่บอกผมมาได้เลย ผมรับปาก พระแสงรู้ดีว่า ไม่มีประโยชน์จะไปฝืนความประสงค์ของเพื่อนรุ่นพี่ผู้นี้ องอาจเด็ดขาดและทระนงในตัวเอง เช่นเดียวกับเขา ด้วยเหตุนี้... ผู้กองจากโคกโพธิ์จึงเป็นที่รักใคร่และนับถือของเขาไม่ต่างกับเพื่อนและพี่ชายร่วมสายโลหิต หลักฐานนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ และล้างมลทินให้กับอั๊ว นั่นคือเกียรติยศของลูกผู้ชาย ของชีวิตการทำงานของอั๊ว ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ลื้อต้องทำมันให้สำเร็จ ผมสัญญาพี่อาจ ผมสัญญา... พยายามแข็งใจบังคับน้ำเสียงมิให้สั่นสะท้านเมื่อตอบออกไป จากนั้นร่างในอ้อมแขนของผู้กองหนุ่มใหญ่ก็สั่นกระตุกเฮือกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนนัยน์ตาจะเบิกค้าง พระแสงขบกรามแน่นจนเป็นสันด้วยความสะเทือนใจขีดสุด นัยน์ตาทั้งคู่แดงก่ำเมื่อเขม็งมองไปเบื้องหน้า ในกำมือของเขา แฟลชไดร์ฟชิ้นนั้นเปรอะเลอะไปด้วยคราบเลือดขององอาจ และเขาสาบานกับตัวเองว่า ไม่ว่าคนพวกนั้นจะยิ่งใหญ่ล้นฟ้าสักเพียงใด พวกมันทุกคนจะต้องได้รับการชดใช้อย่างสาสม!!
**********************
เพื่อนของคุณมาตามแล้ว ศาปานต์ ทุกอย่างเหมือนอยู่ในม่านหมอกแห่งความฝัน เรื่องของเจ้าหญิงพระองค์นั้นราวกับเป็นนิทานที่จบลงด้วยความรันทด ศาปานต์ยกมือแตะซับความชื้นที่ปลายหางตา สิงหบดีถอยห่างออกไปช้าๆอย่างสุภาพ
เดี๋ยวค่ะคุณสิงห์ คุณยังเล่าไม่จบเลยนี่คะ แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหญิงติกาหลังหนึ่งหรัดพระองค์นั้น? หล่อนรีบเดินตามเขาออกมา เสียงของชายหนุ่มคล้ายแว่วผ่านมากับสายลมกระซิบระหว่างที่ร่างสูงโปร่งนั้นกำลังถอยห่างออกไปช้าๆนุ่มนวล
แล้วเราจะได้พบกันอีก เมื่อนั้นคุณจะได้รู้เรื่องทุกอย่างของเธอทุกอย่าง...
คุณสิงหบดี เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยว..!
เพียงพริบตาเดียว หล่อนก้าวออกมายืนอยู่ที่ระเบียงหน้าพิพิธภัณฑ์ สัมผัสเสียงอึกทึกจากด้านล่างของเนินแห่งนี้ลงไป และเสียงร้องเรียกของสิชลที่ดังขึ้นมา ป่าน... มาทำอะไรอยู่แถวนี้? สิชลหน้ามุ่ยเล็กน้อย หญิงสาวหิ้วถุงใส่ข้าวของพะรุงพะรังราวกับไปชอปปิ้งในห้างสรรพสินค้ามา นี่ดีนะที่ฉันถามลุงที่อยู่หน้าวัด แกบอกว่าเห็นเธอเดินขึ้นมาบนนี้คนเดียว แต่ก็พยายามมองหาตั้งนาน ไปอยู่ที่ไหนมาล่ะจ๊ะ แถวนี้เปลี่ยวจะตาย เปลี่ยวอะไรกัน? ศาปานต์หัวเราะ นี่ไง ฉันเพิ่งเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ มีอะไรน่าสนใจออกเยอะแยะ หล่อนพูดอย่างร่าเริง ในขณะที่สิชลกลับยิ่งขมวดคิ้วจนแทบจะผูกเป็นโบว์ได้ เธอพูดเล่นรึเปล่าป่าน ฉันยิ่งใจคอไม่ค่อยดีอยู่นะ ไม่เห็นมีอะไรเลยที่ว่าน่ะ หล่อนดึงมือเพื่อนสาวให้ก้าวตามลงมาจากเนิน ไปสู่ท้องถนนที่พลุกพล่านด้านล่าง ศาปานต์หันขวับกลับไป ก่อนที่จะเบิกนัยน์ตากว้าง พิพิธภัณฑ์ขนาดกว้างใหญ่ไพศาลเมื่อครู่นี้ บัดนี้เป็นเพียงเรือนหลังเล็กๆที่ปิดสนิท ไม่มีแสงไฟใดๆลอดผ่านออกมาและราวกับว่ามันไม่เคยเปิดเชื้อเชิญให้หล่อนก้าวเข้าไปเยี่ยมเยือนมาก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ลูกกุญแจขนาดใหญ่ที่คล้องสายเอาไว้แน่นสนิทย่อมเป็นหลักฐานอันดีที่สุดว่าคำพูดของสิชลเป็นความจริง!! นี่มันอะไรกัน? แล้วเมื่อกี้ คุณสิงหบดีที่ฉันพบล่ะ? เสียงพึมพำของหล่อนแผ่วเบา แต่มีผลทำให้มือที่จูงเร่งของสิชลหยุดไปชั่วขณะ ว่าไงนะป่าน? เธอน่ะเหรอที่พบกับคุณสิงหบดีที่นี่? แล้วเขาจะเข้ามาได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อพิพิธภัณฑ์นั่นก็ปิดเงียบสนิท เธอไม่เห็นหรือว่ามันเป็นเวลากี่โมงแล้ว ไม่ใช่เวลาทำงานนะ ป่านเธอฝันไปรึเปล่า? จริงๆนะสิ เขายังพาฉันเข้าไปดูเรือนแก้วติกาหลังปัตรา... หล่อนหยุดพูดทันที เมื่อเห็นสีหน้าไม่เชื่อถือของเพื่อนสาวคนสนิท ดูเหมือนสิชลกำลังคิดว่าหล่อนเพี้ยนไปแล้วหรือไม่ก็มีอะไรแปลกๆเสียมากกว่า แน่นอน ศาปานต์คิดอย่างกลุ้มใจ ในเมื่อตอนบ่ายวันนี้เธอก็ทำให้ทั้งยายสิและพี่ชายของเขาประหลาดใจมาแล้ว ช่างมันเถอะ! สิ ฉันว่าเราลงไปที่ข้างล่างดีกว่านะ บางทีเธออาจจะพูดถูกก็ได้ หล่อนตัดบทและเห็นอีกฝ่ายเริ่มมีท่าผ่อนคลายลง แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร เสียงโทรศัพท์ในมือหญิงสาวก็ดังขึ้นมาเสียก่อน สิชลรีบกดปุ่มสัญญาณยกขึ้นรับก่อนจะอุทานออกมาสุดเสียง... ว่าไงนะคะ พี่แสง!!
*********************** ติดตามตอนต่อไป วันจันทร์นะครับ หมอกมุงเมือง
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
วันจักรี 54 11:11:38
|
|
|
|